สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 345 ลงมือ
บทที่ 345 ลงมือ
กู้เจียวกลับไปที่ตรอกปี้สุ่ย
ส่วนเสี่ยวจิ้งคงที่เลิกเรียนตั้งนานแล้ว เลยมายืนชะเง้อไปมาที่หน้าประตู
“เจียวเจียว!” พอเห็นกู้เจียวกลับมา เสี่ยวจิ้งคงก็รีบปรี่เข้าไปหา
“อืม” กู้เจียวจูงมือเจ้าตัวเล็กเข้าเรือน แล้วก็พบว่าเสี่ยวจิ้งคงกำลังทำท่าชะเง้อราวกับกำลังรอใครอีกคน
“รอพี่เขยของเจ้าอยู่รึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
เซียวลิ่วหลังเดินทางไปชนบท กลับมาเร็วสุดน่าจะช่วงต้นเดือน แต่ถ้าช้าหน่อยก็อาจจะต้องรอถึงเดือนหน้า
เสี่ยวจิ้งคงพอได้ยินคำถามก็รีบถลึงตาพลางทำเสียงแข็ง “ข้าเปล่าซักหน่อย!”
กู้เจียวยิ้มมุมปาก “พี่เขยใกล้กลับมาแล้วนะ”
“เฮ้อ” เสี่ยวจิ้งคงถอนหายใจราวคนแก่ “ข้าก็แค่กลัวว่าเขาจะไปก่อเรื่องไม่ดีไว้น่ะสิ เพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาทำงานนอกสถานที่ ข้าเลยเตือนเขาไม่ทัน”
กู้เจียวหลุดหัวเราะออกมา
เด็กๆ เขาพูดจากันตลกแบบนี้รึ
“เจ้าจะเตือนเขาว่าอย่างไรล่ะ”
เสี่ยวจิ้งคงทำหน้าเคร่งขรึม “บอกเขาให้สามัคคีกับเพื่อนร่วมงาน อย่าทำให้เจ้านายโกรธ และอย่ารู้สึกเหนือกว่าคนอื่นเพียงเพราะเขาเป็นคนเก่ง! เขาต้องอดทน ทำตัวเหมือนอยู่ที่เรือนไม่ได้เด็ดขาด”
พูดจาใช้ได้ทีเดียว ไปฟังมาจากไหนกันนะ
กู้เจียวทั้งขำทั้งเอ็นดูเจ้าตัวเล็ก เลยหยิกแก้มกลมๆ ไปหนึ่งที
ตลกชะมัด
พวกเขาก็เดินเข้าเรือนไป
กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นออกไปเรียนงานฝีมือ ส่วนแม่นางเหยากำลังเย็บชุดเจ้าสาวให้กับกู้จิ่นอวี๋
วันแต่งงานของกู้จิ่นอวี๋ถูกกำหนดไว้ในช่วงปลายปีซึ่งค่อนข้างกระชั้นชิด สำหรับงานแต่งงานของสามัญชน กว่าจะผ่านพิธีรีตองอะไรไปได้ก็ต้องใช้เวลาปาเข้าไปครึ่งปีแล้ว ไหนจะการเตรียมการแจ้งข่าวให้ญาติผู้ใหญ่ได้ทราบ ก็หมดเวลาไปอีกครึ่งปี
แต่งงานของกู้จิ่นอวี๋นั้นเรียกได้ว่าเป็นกรณีพิเศษ เพราะฮ่องเต้ได้กำหนดไว้ว่าต้องจัดในช่วงปลายปี
“ชุดสวยจังเลย” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยปากชมพลางเอามือลูบไล้เนื้อผ้า “ทำให้ใครรึ”
“ชุดนี้เป็นของท่านพี่จิ่นอวี๋เขาน่ะ” แม่นางเหยาเอ่ยตอบเสี่ยวจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงเอียงหัว “ทำไมต้องทำชุดสวยๆ ให้นางด้วย แล้วของเจียวเจียวเล่า”
ไม่แปลกที่เขาจะถามด้วยความสงสัย เพราะเขามองว่าทั้งคู่ก็เป็นบุตรสาวขอแม่นางเหยา ในเมื่อจิ่นอวี๋ได้ เหตุใดเจียวเจียวถึงไม่ได้ด้วย
อีกทั้งเจียวเจียวมีศักดิ์เป็นพี่ ทำไมถึงไม่ทำให้คนเป็นพี่ก่อนล่ะ
แม่นางเหยาถึงกับไปต่อไปถูก
นั่นสินะ ตอนเจียวเจียวแต่งงานในชนบท นางไม่มีแม้แต่ชุดแต่งงานที่ดี ไม่มีพิธีรีตองอะไรทั้งสิ้น ไหนจะบิดามารดาที่ไม่ได้ไปร่วมงานด้วย ฟังดูน่าเศร้ายิ่งนัก
หรือพูดให้ถูกต้องก็คือ นางถูกไล่ออกจากเรือนนั้นโดยวิธีบังคับให้แต่งงาน
ทั้งสองคนถูกคลุมถุงชน จึงเป็นสามีภรรยากันแค่ในนาม จนบัดนี้พวกเขายงไม่ได้ทำพิธีเข้าห้องหอกันเลย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ความรู้สึกผิดแล่นวาบขึ้นในใจของแม่นางเหยา จนไม่สามารถแม้แต่จะตัดเย็บชุดแต่งงานได้อีกต่อไป
“มากินองุ่นสิ”
กู้เจียวล้างพวงองุ่นสีม่วงอย่างดีแล้วเรียกให้ทุกคนมากินด้วยกัน
เสี่ยวจิ้งคงตอบในทันที ก่อนจะวิ่งเข้าไปเด็ดลูกองุ่นที่ใหญ่และเงางามที่สุด แล้วป้อนให้กู้เจียว “ให้เจียวเจียวกินก่อน!”
“ได้สิ” กู้เจียวกินองุ่นที่เสี่ยวจิ้งคงป้อนให้
จากนั้นเสี่ยวจิ้งคงก็เอาไปป้อนแม่นางเหยา แม่นมฝาง อวี้หย่าร์และท่านปู่ของเขา
จะว่าไปแล้ว เสี่ยวจิ้งคงเรียกได้ว่าเป็นเด็กที่พอซนก็ซนสุดๆ จนปวดหัวไปหมด แต่พอทำตัวน่ารักรู้เรื่องราวก็ทำเอาใจบางสุดๆ เช่นกัน
จี้จิ่วอาวุโสไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมากินองุ่นของเสี่ยวจิ้งคง
เขากำลังกังวลกับหนังสือที่เขากำลังเขียนอยู่
เมื่อต้นเดือน เขาได้ส่งต้นฉบับของเล่มที่สาม โดยใจความเขียนว่าจื้อจื่อหยุนถิงได้ล้มล้างอำนาจของราชวงศ์ศัตรูและองค์หญิงหกก็ไม่ลังเลที่จะเสียสละตัวเองเพื่อหยุนถิง เพื่อรักษาราชวงศ์ของนางเองและกลายเป็นนางสนมของหยุนถิง
นายพลฝูกลับมาจากการปราบโจร และพบว่าคนรักของเขาถูกหยุนถิงพาตัวไป เขาจึงบุกขึ้นทางเหนือด้วยความโกรธ
เขาออกคำสั่งทางทหารต่อหน้าราชสำนัก โดยสาบานว่าจะไม่หวนกลับคืนมาที่ราชสำนักเว้นแต่เจ้าหญิงองค์หกจะได้รับการช่วยเหลือ!
เขานำกองทัพแสนนายไปที่ริมฝั่งแม่น้ำชางสุ่ย และต่อสู้จนตัวตายกับหยุนถิง
เมื่อตอนหยุนถิงเป็นเชลยในแคว้นซย่า เขาได้รับความกรุณาจากนายพลฟู่ อีกทั้งตัวนายพลฟู่เองก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากหยุนถิงเมื่อตอนเขาเดินทางไปต่างแดน
ทั้งสองควรจะเป็นพี่น้องที่ดี แต่พวกเขากลับเป็นศัตรูกันเพราะความกดดันจากแคว้น ตระกูล และเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง
เล่มที่สามจึงจบไว้เพียงเท่านี้
เล่มที่สี่เป็นเล่มสุดท้าย ในเล่มนี้นาลพลฟู่ถูกฆ่าตายด้วยดาบของหยุนถิง และทหารแสนนายจะถูกกวาดล้าง อย่างไรก็ตาม การตายของนายพลฟู่และทหารแคว้นซย่ากระตุ้นความเกลียดชังในใจขององค์หญิงหก
แม้ว่านางจะรักหยุนถิงอย่างสุดซึ้ง แต่สุดท้ายนางก็ตัดสินใจฆ่าหยุนถิงโดยใช้กริชที่หยุนถิงมอบให้นางในคืนวันแต่งงาน
วันที่นางสังหารหยุนถิง เป็นวันที่มีพายุฝนใหญ่ องค์หญิงหกเดินออกจากวังด้วยเท้าเปล่าทีละก้าวพร้อมกับกริชเปื้อนเลือด
นางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง สายฝนเปียกปอนเสื้อผ้าของนาง เผยให้เห็นหน้าท้องที่กำลังตั้งครรภ์สองเดือนที่แม้แต่หยุนถิงเองก็ไม่ได้สังเกตเห็น
องค์หญิงหกเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่เต็มไปด้วยหยดฝน
พร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวดที่ท้อง
และแล้วเรื่องราวก็จบลงเพียงเท่านี้
เนื่องจากเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้มีไม่มากนัก จี้จิ่วอาวุโสจึงส่งต้นฉบับก่อนกำหนด และสามเล่มแรกก็ขายดีมาก ทันทีที่ส่งต้นฉบับให้กับโรงพิมพ์ก็ได้มีการสั่งตีพิมพ์ภายในคืนนั้นทันที
หนังสือเล่มนี้ดึงดูดผู้อ่านจำนวนมาก บทความ บทกวี เพลง และความวุ่นวายในนั้นเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่สำนวนการเขียนชั้นเยี่ยมไม่น้อยหน้าไปกว่าสามนักปราชญ์
บางคนคาดเดาว่า วรรณกรรมเรื่องบันทึกหยุนถิงนั้นเขียนโดยจอหงวนคนใหม่ เนื่องจากพรสวรรค์ทางวรรณกรรมของทั้งสองคนคล้ายกันและรูปแบบการเขียนของพวกเขาคล้ายกันเล็กน้อย แต่เทียบๆ กันแล้วถือว่าก็ยังไม่เฉียบคมเท่ากับฝีไม้ลายมือการเขียนของเซียวจอหงวนนัก
และย่อมต้องมีบางคนที่คิดว่าวรรณกรรมเล่มนี้นั้นต้องเป็นฝีมือของเซียวจอหงวน ถึงขั้นต้องไปสืบกันที่สำนักฮั่นหลิน และก็ได้คำตอบที่ผิดหวังกลับไป
เนื่องจากได้รับความนิยมมาก พอตอนจบถูกเขียนออกมา ทำให้เกิดความเห็นที่ต่างกันออกไปของผู้คน
ผู้คนต่างพากันข้องใจว่าเหตุใดคนเก่งอย่างหยุนถิงและนายพลฟู่ถึงได้มีจุดจบแบบนั้น
โดยเฉพาะนายพลฟู่ที่ต่อสู้เพื่อองค์หญิงหกมาตลอดชีวิต และเขาไม่เคยบอกให้นางรู้ถึงความรู้สึกของตัวเองแม้แต่ครั้งเดียว สุดท้ายดันมาด่วนจากไปก่อน ช่างน่าหดหู่ใจยิ่งนัก!
แล้วไหนจะองค์หญิงหกอีก นางท้องลูกของหยุนถิงแล้วมิใช่รึ แล้วที่ตอนท้ายนางจู่ๆ ปวดท้องขึ้นมาแปลว่านางแท้งหรือเปล่า
เสียงวิพากษ์ของผู้คนนั้นน่ากลัวเกินกว่าร้านหนังสือและสำนักพิมพ์จะรับมือไหว
ในท้ายที่สุด ชายหนุ่มคนหนึ่งมาจากไหนไม่รู้และเขียน ‘บันทึกให้หลังของหยุนถิง’ ซึ่งเป็นวรรณกรรมที่มีจำนวนคำไม่มากนักและมีเพียงไม่กี่หน้า แต่มันกลับตรงกันข้ามกับเนื้อหาในเล่มเดิมอย่างสมบูรณ์แบบ
โดยในนั้นเขียนไว้ว่าทั้งหมดนี้คือความฝันของหยุนถิง หลังจากตื่นขึ้น หยุนถิงก็เข้าใจว่าองค์หญิงหกเป็นเพียงสตรีที่อกตัญญูและใจร้ายที่แทงข้างหลังตัวเองในช่วงเวลาวิกฤต เขาเลือกที่จะไม่ช่วยองค์หญิงหก หยุนถิงเลือกที่จะไปหานายพลฟู่และสร้างโลกที่มีความสุขของพวกเขา!
เขาไม่สนฐานะอีกต่อไป!
ทิ้งทุกคนไว้ข้างหลัง!
เพื่อจะผจญภัยในยุทธจักรกับนายพลฟู่!
และไม่นาน บันทึกให้หลังของหยุนถิงเล่มนี้ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ในตอนแรก มีการเผยแพร่เพียงวงเล็กๆ ในงานกวีนิพนธ์และงานเลี้ยงน้ำชา จากนั้นก็เริ่มพิมพ์ออกมาและขายให้กับนักวิชาการและสาวงามที่มีความสามารถจำนวนมากในเมืองหลวง
จี้จิ่วอาวุโสไม่เข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น นี่มันหนังสือบ้าอะไร ใช้คำก็ไม่สละสลวย อ่านแล้วติดๆ ขัดๆ ทั้งหยาบทั้งเละเทะ นี่มันหนังสือให้คนอ่านจริงหรือ
จี้จิ่วอาวุโสได้แต่มองว่าหนังสือ ‘บันทึกให้หลังของหยุนถิง’ เล่มนี้มีจุดประสงค์ที่จะดูหมิ่นงานของเขา เขาจึงตัดสินใจจะไปที่ร้านหนังสือเพื่อให้พวกเขาเลิกจำหน่ายมันเสีย
เขาจะไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบเขาแบบนี้เด็ดขาด
แต่กลับกลายเป็นว่า เจ้าของร้านหนังสือบอกเขา “ตอนนี้ท่านกำลังเอาเปรียบคนอื่นอยู่ต่างหาก”
เพราะเล่มหลังขายดีกว่า ทำให้ผู้คนต่างพากันไปซื้อเล่มเดิมที่จี้จิ่วอาวุโสเขียน เพราะพวกเขาอย่างรู้ว่าตัวละครสามตัวนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
เดิมทีองค์หญิงหกเป็นตัวละครที่น่าสงสารที่สุด แต่พอหลังจากได้อ่านจบ พวกเขากลับรังเกียจและต่อว่าตัวละครองค์หญิงหก รวมถึงต่อว่าผู้เขียนด้วย
จี้จิ่วอาวุโสไม่เข้าใจ
ผู้ใดกันนะที่เป็นคนเขียนเล่มนั้นออกมา
ช่างไม่มีจรรยาบรรณเอาเสียเลย!
แต่ในท้ายที่สุด จี้จิ่วก็ไม่ได้บังคับให้นำหนังสืออีกเล่มออกจากชั้นวาง เพราะกลิ่นเงินนั้นช่างหอมหวาน
เงินที่จี้จิ่วอาวุโสได้มาก็ทำไปลงทุนกับรถม้าคันใหม่ เอาไว้ให้พวกเจียวเจียวได้ใช้กัน
ส่วนรถม้าคันเก่าเขาเอาไว้ใช้เองได้ เขาไม่ใช่คนเรื่องมาก เดิมเขาตั้งใจไว้ว่าถ้าได้เงินมาก็จะยกให้พวกเด็กๆ
ช่วงปลายเดือนหกยังคงมีพายุฝนกระหน่ำ เหล่าขุนนางที่เตรียมตัวจะกลับสำนักฮั่นหลินเป็นอันต้องเปลี่ยนแผนและอยู่ต่อในชนบท
ท่านโหวกู้ที่เพิ่งจะซ่อมทางเดินน้ำเสร็จไปไม่นาน ก็ถูกเรียกให้กลับไปซ่อมถนนอีกครั้ง
ช่วงนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวจากจิ้งไท่เฟย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางรู้ตัวแล้วหรือไม่ว่าตัวเองกำลังถูกจับตามอง ก็เลยยังไม่มีแผนการอะไร
และในช่วงเวลาแบบนี้นี่แหละ
ที่เหมาะแก่การ…!
…หาเรื่องให้นาง!
“เจียวเจียว”
จี้จิ่วตะโกนเรียกกู้เจียวให้มาทีครัว วันนี้แม่นมฝางกลับเรือนลูกชาย จี้จิ่วอาวุโสจึงมารับหน้าที่เป็นพ่อครัวแทน
“ท่านปู่เรียกข้าหรือ” กู้เจียวที่กำลังผ่าฟืนอยู่ก็วางขวานลงแล้วเดินเข้าไปหาจี้จิ่ว
แม้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะถูกเปิดเผยแล้ว แต่ทุกคนต่างก็ติดปากที่จะเรียกจี้จิ่วแบบนั้น
ส่วนจี้จิ่วอาวุโสเองก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมาก เขาไม่สนหรอกว่าเขาจะอยู่ในสถานะใด ขอแค่ไม่ทำให้เด็กๆ ผิดหวังก็พอ
“เดี๋ยวเจ้าตามข้าเข้าไปในวังนะ ข้าจะไปพบฝ่าบาท ส่วนเจ้าไปหาไทเฮา พูดตามนี้นะ…”