สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 348 ความจริง (1)
บทที่ 348 ความจริง (1)
ขณะเดียวกันนั้น จวงกุ้ยเฟยก็มาถึงตำหนักเหรินโซ่วเพื่อถามไทเฮาต่อหน้า
นางถามด้วยใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง “ท่านอา เรื่องนี้เป็นฝีมือของท่านใช่หรือไม่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านอานั้นมีฝีมือ ต้องหลอกฝ่าบาทได้สำเร็จแน่นอน! แผนการนี้ของท่านอาเรียกได้ว่าแยบยลนัก! จิ้งไท่เฟยคิดว่าย้ายกลับเข้ามาอยู่ในวังแล้วจะขัดแข้งขัดขาท่านได้ คงไม่รู้สินะว่าท่านนั้นเหนือชั้นกว่า ใช้เล่ห์กลนิดหน่อยก็คลายความขัดแย้งกับฝ่าบาทได้แล้ว! ว่าแต่เหตุใดท่านอาถึงไม่ทำเช่นนี้ตั้งนานแล้วล่ะเจ้าคะ”
จวงไทเฮามองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
จวงกุ้ยเฟยถูกจ้องมองจนหัวใจกระตุกโหวง หงอจนย่นคอพลางเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม “ทำไมหรือเจ้าคะ หรือว่าข้าพูดอะไรผิดไป ตอนนี้ลือกันให้ทั่วทั้งวังแล้วว่าจับคนร้ายที่วางยาพิษเซียวเหิงได้แล้ว ผู้นั้นคือจางซิ่ว ท่านอาคิดได้อย่างไรว่าต้องโยนความผิดให้จางซิ่ว จางซิ่วเป็นคนของฝ่าบาท ท่านอาไม่มีทางบงการนางได้อยู่แล้ว เช่นนี้ก็ล้างมลทินได้อย่างสะอาดหมดจด!”
“พูดจบหรือยัง” จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจะอ่านฎีกาต่อแล้ว”
จวงกุ้ยเฟยเม้มปากแน่น ถวาบบังคมก่อนจะออกไป
เรื่องที่จางซิ่วเป็นคนวางยาเซียวเหิงนั้นแพร่ไปทั่ว ไม่นานทั้งหกตำหนักก็รู้ความจริงเรื่องที่เซียวเหิงถูกลอบทำร้าย ฮ่องเต้เข้าใจผิดจวงไทเฮามานานหลายปี บัดนี้ความจริงไปเปิดเผยแล้ว หากเขาจะเป็นฝ่ายญาติดีกับจวงไทเฮาก่อนก็ดูจะสมเหตุสมผล
ว่ากันตามตรง มีคนไม่น้อยคิดว่านี่คือวิธีเบี่ยงเบนความสนใจของฮ่องเต้ มองผิวเผินเหมือนใช้โอกาสจากเรื่องของจางซิ่วเพื่อสำนึกตนและแสดงความกตัญญูต่อจวงไทเฮา แต่ความจริงแล้วเขากำลังหลอกล่อให้จวงไทเฮาตายใจ เข้าใกล้จวงไทเฮาเพื่อให้รับความไว้วางใจจางนาง เพื่อง่ายต่อการสังหารจวงไทเฮาในวันหน้า
เซียวฮองเฮาประทับอยู่ที่ตำหนักหวาชิงได้ครู่หนึ่งก็กลับไปดูแลฉินฉู่อวี้ที่ตำหนักคุนหนิง
ฮองเต้หันไปทางจิ้งไท่เฟย “บาดแผลของเสด็จแม่เป็นอย่างไรบ้าง”
จิ้งไท่เฟยยิ้ม เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก”
สีหน้าของฮ่องเต้ไม่ได้คลายกังวลลงเลยสักนิด เขาเอ่ยเสียงจริงจัง “หมอหลวงบอกว่าเสด็จแม่ต้องปรับอาหารการกินอย่างเคร่งครัด กินยาทุกวัน จะปล่อยปะละเลยไม่ได้ แม่นมไช่ เจ้าต้องดูแลท่านแม่อย่างใกล้ชิด”
“เพคะ” แม่นมไช่ขานรับอย่างนอบน้อม
ฮ่องเต้เองก็รับคำ พลางเอ่ยกับจิ้งไทเฟย “เช่นนั้นลูกขอตัวไปที่ห้องทรงอักษรก่อน หากเสด็จแม่รู้สึกว่าตำหนักหวาชิงอุดอู้ ก็นั่งเกี้ยวไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้หลวงก็ได้ หมอหลวงเองก็บอกว่าเขาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องก็ไม่ดีก่อนการพักฟื้นเช่นกัน”
“ฝ่าบาทอย่าได้เป็นห่วงเขาไปเลย มีบารมีของฝ่าบาทคอยคุ้มครองอยู่ ร่างกายข้าแข็งแรงจะตายไป ฝ่าบาทต่างหาก…” จิ้งไทเฟยเอ่ยทว่าสายตากลับหยุดอยู่ที่ใบหน้าซีดเซียวของเขา “สีหน้าฝ่าบาทดูเหนื่อยล้านัก แก้ฎีกาข้ามวันข้ามคืนอีกแล้วกระมัง”
ฮ่องเต้ไม่ใส่ใจพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้หลายพื้นที่ฝนตกหนัก ภัยพิบัติร้ายแรง ฎีกาจึงมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
จิ้งไทเฟยคว้ามือเขากุมไว้ กำชับเสียงจริงจัง “เช่นนั้นก็รักษาพระวรกายด้วยเถิด”
ฮ่องเต้ตบๆ บนหลังมือเขาจิ้งไท่เฟย เอ่ยด้วยเสียงหัวเราะ “ลูกจะระวังเป็นอย่างดี”
ใบหน้าของจิ้งไท่เฟยถึงได้คลายกังวลลงไปบ้าง ทว่าพอนึกเรื่องอะไรขึ้นได้บางอย่างก็ถามออกมา “ธูปสงบจิตที่ให้แม่นมไช่เอาไปถวายให้ ได้ใช้บ้างหรือไม่”
“ใช้พ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้เอ่ย
“พอใช้ได้หรือไม่” จิ้งไท่เฟยถาม
ฮ่องเต้ยิ้มเอ่ย “ธูปหอมที่ท่านแม่ลงมือทำเองกับมือ แน่นอนว่าต้องใช้ดี”
ฮ่องเต้เอ่ยชมธูปหอมของจิ้งไท่เฟยต่อครู่ใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วยังห้องทรงอักษร
ช่วงเที่ยงเขาไม่ได้ร่วมโต๊ะกับจิ้งไท่เฟย แต่กินมื้อเที่ยงที่ห้องทรงอักษร
เว่ยกงกงไปยังห้องพระเครื่องเพื่อสั่งการแม่ครัวให้ทำของอร่อยสักสองสามอย่าง ไม่ได้มากมายอะไร
แต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้พิถีพิถันเรื่องความหรูหราโอ่อ่าของอาหาร ทว่าหลังจากที่ไปอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ยมาก็ลดจำนวนลงจากวันละสามมื้อ
เว่ยกงกงออกมาจากห้องทรงอักษร แล้วกลับไปที่ตำหนักหวาชิง หยิบฎีกาสามสี่ฉบับที่วางไว้บนโต๊ะในห้องหนังสือเมื่อคืนวาน
เมื่อออกมาจากห้องหนังสือ เขาก็บังเอิญเจอกับจิ้งไท่เฟยและแม่นมไช่กำลังเดินสวนมาพอดี
“ถวายบังคมจิ้งไท่เฟยพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงหอบฎีกาพลางคำนับ
แม่นมไช่ส่งยิ้มให้แล้วโค้งให้
เขาเองก็โค้งให้เช่นกัน
หากว่ากันตามยศแล้ว เขานั้นอยู่เหนือแม่นมไช่ แต่แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า วังหลวงแห่งนี้มิใช่ที่ที่ว่ากันด้วยยศตำแหน่งเพียงอย่างเดียว ฮ่องเต้เคารพนับถือจิ้งไท่เฟย นางได้รับสิ่งใด คนที่อยู่ใต้อาณัติของนางย่อมได้รับไปด้วย
แววตาอ่อนโยนของจิ้งไท่เฟยมองมาที่เขา “เว่ยกงกง เจ้ารับใช้ข้างกายฝ่าบาทมากี่ปีแล้วหรือ”
เว่ยกงกงไม่ต้องคิดให้นาน แทบจะตอบออกไปทันที “ข้าติดตามฝ่าบาทตั้งแต่ฝ่าบาทอายุได้สิบสี่ปีพ่ะย่ะค่ะ จวบจนวันนี้ก็สามสิบปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้งไท่เฟยพยักหน้า “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าตอนนั้นผู้ใดเลือกเจ้าให้มาคอยรับใช้ข้างกายฝ่าบาท”
เว่ยกงกงชะงักไป ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ จิ้งไท่เฟยถึงถามเรื่องนี้ เขาตอบไปตามตรง “จิ้งไท่เฟยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้งไท่เฟยจ้องมองเขา “เช่นนั้นข้าเชื่อใจเจ้าได้หรือไม่”
นางใช้คำว่า ‘ข้า’
สีหน้าของเว่ยกงกงพลันเคร่งเครียดขึ้นมา มือหนึ่งกำฎีกาไว้แน่น มืออีกข้างหนึ่งถลกชายชุดแล้วคุกเข่าลงในทันที “ไท่เฟยมีรับสั่งอันใด ข้าจะพร้อมจะถวายชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้งไท่เฟยยื่นมือออกไปพยุงเขาขึ้น “ลุกขึ้นยืนแล้วพูด ถวายชีวิตอันใดกันเล่า เจ้าเป็นคนสนิทเก่าแก่ของฝ่าบาท ฝ่าบาทขาดเจ้าไม่ได้หรอก ข้าเพียงแค่เป็นห่วงฝ่าบาท คำคนอื่นพูดนั้นข้าไม่ไว้ใจ ถึงมาถามเจ้า”
เว่ยกงกงเหงื่อแตกพลั่ก ไม่กล้าให้จิ้งไท่เฟยช่วยพยุงร่างกายอันต่ำต้อยของตน เขารีบลุกยืนขึ้นพลางก้มหน้าเอ่ย “ไท่เฟยประสงค์จะถามเรื่องใด โปรดว่ามาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้งไท่เฟยถาม “อาการของฝ่าบาทแท้จริงแล้วเป็นอย่างไรบ้าง”
เว่ยกงกงนึกว่าจิ้งไท่เฟยจะถามว่าเรื่องที่ฮ่องเต้ญาติดีกับจวงไทเฮาแล้วนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ใครจะไปคิดกันว่าจะเป็นห่วงสุขภาพพลานามัยของฮ่องเต้
เว่ยกงกงหน้าชาไปหมดที่ตนเองเข้าใจผิดจิ้งไท่เฟย เขาตอบ “ทูลจิ่งไท่เฟย ช่วงนี้ฝ่าบาทนอนไม่หลับเป็นบางครา ทั้งยังไม่ค่อยเจริญอาหารนัก”
แววตาของจิ้งไท่เฟยไหววูบ “คงเป็นเพราะจิตใจไม่สงบ ตกดึกจึงฝันร้ายใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ…” เว่ยกงกงชะงักไป “เอ๊ะ ไทเฟยรู้ได้อย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้งไท่เฟยทอดถอนใจพลางเอ่ย “เดาดูก็รู้แล้ว เมื่อครู่ข้าพูดคุยกับเขา เขาเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงถามเขาว่าอ่านฎีกาจนถึงดึกดื่นหรือ เขาบอกว่าฎีกามีมากมายเหลือเกิน ข้าจึงเดาว่าเขานอนไม่หลับ เหมือนตอนสมัยเด็ก เด็กคนนี้หนอ พอรู้สึกกดดันก็จะฝันร้าย จากนั้นก็มาอ้อนขอนอนกอดข้า… คิดว่าผ่านมานานหลายปีแล้ว เขาเติบใหญ่แล้วจะไม่เป็นเหมือนตอนเด็ก”
เว่ยกงกงเอ่ย “ไท่เฟยทรงเป็นห่วงฝ่าบาทยิ่งนัก”
จิ้งไท่เฟยยิ้มขื่น “เขาเป็นลูกชายของข้า ข้าป้อนข้าวป้อนน้ำเขาจนโตมา จะไม่ให้ข้าเป็นห่วงเขาได้อย่างไร ว่าแต่ธูปสงบจิตที่ข้าถวายฝ่าบาท ฝ่าบาทได้ใช้บ้างหรือไม่ เขาไปขอสูตรมาจากนักพรตชั้นสูงท่านหนึ่ง ช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับของฮ่องเต้ได้”
เว่ยกงกง “ใช้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้งไท่เฟยถาม “ใช้แล้วจริงหรือ”
เว่ยกงกงยิ้มเจื่อน “ใช้แล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ หากไท่เฟยไม่เชื่อ ข้าจะเถ้าธูปมาให้ท่านดูก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
จิ้งไท่เฟยยิ้ม “ไม่จำเป็นหรอก ข้าเชื่อเจ้า ทั้งตำหนักหวาชิงนี้ นอกจากข้าแล้ว ก็มีเพียงแค่เจ้าที่จริงใจต่อฝ่าบาทเป็นที่สุด”
เว่ยกงกงค้อมกายลง “ข้าน้อยมิบังอาจ”
จิ้งไท่เฟยยื่นกล่องใบหนึ่งให้กับเขา “นี่คือธูปสงบจิตอันใหม่ ฤทธิ์ยาดีกว่าคราวก่อนไม่น้อย เจ้าเอาไปให้ฝ่าบาทใช้เถิด หวังว่าฝ่าบาทจะไม่ถูกฝันร้ายรบกวนอีกต่อไป หากใช้ดี เจ้าค่อยมาขอจากข้าอีก ข้ายังมีอีกเยอะ”
เว่ยกงกงรับกล่องมาแล้วตอบกลับ “พ่ะย่ะค่ะ”
จิ้งไท่เฟยเอ่ย “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
เว่ยกงกงโค้งคำนับ “ส่งเสด็จไท่เฟยพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากจิ้งไท่เฟยเดินจากไป เว่ยกงกงก็นำฎีกาและธูปสงบจิตไปยังห้องทรงอักษร พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวที่ได้พบกับจิ้งไทเฟยให้ฮ่องเต้ได้รับรู้
ฮ่องเต้หลุดยิ้มออกมา “เรื่องสมัยเด็ก เราจำไม่ได้แล้วล่ะ เจ้าเองก็เหมือนกัน ใครใช้ให้เจ้าพูดมากความบอกอาการเรากับเสด็จแม่ ทำให้นางพลอยเป็นกังวลไปด้วย”
เว่ยกงกงเอ่ยอธิบาย “ฝ่าบาท ไท่เฟยมองออกว่าพระองค์ร่างกายไม่แข็งแรง หากปิดบังไปรังแต่จะทำให้นางคิดมากกว่าเดิมมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ส่ายหน้า “ช่างเถิด”
เว่ยกงกงยิ้ม “ธูปสงบจิตนี้…”
ฮ่องเต้เอ่ย “ในเมื่อเสด็จแม่มีน้ำใจมอบให้มา เช่นนั้นก็วางไว้เถิด ตอนกลางคืนจะลองใช้ดู”
ตกดึก เว่ยกงกงจุดธูปสงบจิตที่จิ้งไท่เฟยมอบให้มาใหม่ กลิ่นธูปคราวนี้ไม่ต่างจากธูปสงบจิตคราวก่อนนัก เพียงแต่เข้มข้นกว่าเล็กน้อย
ไม่นานฮ่องเต้เข้าสู่ห้วงแห่งความฝันจริงๆ
เว่ยกงกงคิดในใจ คราวนี้หลับจริงๆ แล้วสินะ เขาเองก็ได้จะไปพักผ่อนเช่นกัน
แต่ใครจะไปคาดคิดกันว่า ฮ่องเต้หลับไปได้ไม่นานก็ฝันร้ายอีกครั้ง
คราวนี้เขาไม่ได้ฝันว่าตัวเองนอนร่างแข็งทื่อขยับตัวไม่ได้บนเตียง ปล่อยให้คนใช้มีดแทงโดยไม่อาจขัดขืน ทว่าคราวนี้เขาเห็นตัวเองตกจากหน้าผา วินาทีที่จะร่วงลงไปนั้นเขาคว้าเถาวัลย์เครือหนึ่งริมหน้าผาไว้ได้
ด้านล่างนั้นคือเหวลึก หากเถาวัลย์ขาดผึง ร่างของเขาที่ตกลงก็จะแหลกละเอียด
เขาร้องตะโกนสุดชีวิต “ช่วยด้วย…ช่วยด้วย…”
ในที่สุดก็มีคนผ่านมา
นั่นคือจิ้งไท่เฟย!
จิ้งไท่เฟยถลาลงมาช่วย
เขาซาบซึ้งใจจนแทบน้ำตาไหล เสด็จแม่นั้นรักเขาที่สุดในโลกแล้ว
ทว่าจิ้งไท่เฟยกลับไม่ดึงเขาขึ้นมา แต่กลับใช้กริชฟันเถาวัลย์จนขาด
“อ๊ากกก…”
ความวูบโหวงยามตกลงไปในเหวลึกทำให้ฮ่องเต้ผวาตื่นขึ้นมาจากความฝันของตน เขาผุดลุกขึ้นนั่ง หอบหายใจถี่รัว!