สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 360 ทาบทามตัว
บทที่ 360 ทาบทามตัว
วันรุ่งขึ้น ฟ้ายังไม่ทันสาง คนทั้งครอบครัวก็ตื่นกันหมดแล้ว
เมื่อก่อนกู้เจียวเป็นคนที่ตื่นเช้าที่สุด ทว่าทุกวันนี้เมื่อนางเดินออกมาจากห้องกลับพบว่าแม่นางเหยา จี้จิ่วอาวุโส แม่นมฝางและอวี้หยาร์ต่างอยู่กันพร้อมหน้าที่ห้องโถงแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น ฉินกงกงก็มาด้วยเช่นกัน
เกิดอะไรขึ้นกัน
“อรุณสวัสดิ์” กู้เจียวเอ่ยทักทาย
ทุกคนมอง ‘ปาน’ บนใบหน้านาง ก่อนจะพากันถอนหายใจโดยพร้อมเพรียง
กู้เจียว พวกเจ้าท่าทางเหมือนจะผิดหวังกันเลยนะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าตำแหน่งข้าในบ้านหลังนี้มันต่ำต้อยขนาดนี้เชียวรึ พวกเจ้าจึงไม่อยากเห็นข้า
ทุกคนส่งสายตากันอย่างรู้แจ้งแก่ใจ หลังจากกู้เจียวดื่มน้ำแกงบำรุงหมดถ้วยแล้ว ยามมื้อเช้ามาถึงตรงหน้าเซียวลิ่วหลังจึงมีน้ำแกงบำรุงเพิ่มขึ้นมาอีกชามด้วย
ฉินกงกงเน้นย้ำเป็นพิเศษ “เป็นน้ำแกงเนื้อกวาง บุรุษกินแล้วดียิ่งนัก!”
เซียวลิ่วหลัง “…”
โทสะในใจเซียวลิ่วหลังอัดแน่นจุกอยู่ในลำคอ จะข่มลงก็ข่มไม่ลง จะระบายออกมาก็ระบายไม่ได้
เมื่อคืนตอนที่คนบางคนนอนราบกับเตียงแล้ว เขาคิดจริงๆ ขึ้นมาแล้วว่านางเตรียมจะยั่วยวนให้ถึงที่สุด เขาลังเลด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นใต้ร่างก็มีเสียงกรนคร่อกๆ ของคนบางคนดังขึ้น
เขานิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้นตั้งนาน!
คนที่โดนยั่วคือเขา คนที่โดนยั่วจนไฟติดแต่ไม่ได้แอ้มก็คือเขา คนที่ถูกทำให้เข้าใจผิดว่าใช้การไม่ได้ก็เป็นเขา… เขาจะเรียกร้องความยุติธรรมจากที่ไหนได้บ้าง
เซียวลิ่วหลังดื่มน้ำแกงกวางด้วยสีหน้าอึมครึม
ฉินกงกงยิ้มตาหยีกลับไปรายงานที่วังหลวง
ขุนนางกรมพระคลังกับสำนักฮั่นหลินกลุ่มใหญ่หลังจากผ่านการเดินทางหนึ่งวันหนึ่งคืนอันแสนยาวนาน ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงเมืองหลวงกันแล้ว ซ่างซูรองเสนาบดีพระคลังไม่กล้ารีรอ เขาลากขาสองข้างที่ใกล้ขาดเต็มทีไปรายงานกับฮ่องเต้
เขาไม่ได้จัดการเซียวลิ่วหลังแต่อย่างใด และไม่ได้จงใจลบล้างคุณูปการของเซียวลิ่วหลังด้วย ประการแรกเพราะมีขุนนางฮั่นหลินจดบันทึกการเดินทางโดยเฉพาะ ประการที่สองเซวียนผิงโหวก็ยืนอยู่ ณ ตำหนักจินหลวนแห่งนี้ด้วย
ถูกต้องแล้ว คนผู้นี้ที่แต่ไหนแต่ไรมาเอาแต่นอนอุตุไม่เข้าร่วมประชุมเช้าวันนี้เข้าประชุมเช้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ซ่างซูกรมพระคลังไม่ได้มีความประทับใจแย่ๆ กับเซียวลิ่วหลัง แต่ว่าเขาได้รับคำสั่งจากราชครูจวงมาแล้ว ให้พยายามยกความดีความชอบให้อันจวิ้นอ๋อง ส่วนเซียวลิ่วหลังให้ไร้คุณูปการและความผิด ไม่เอ่ยถึงจะยิ่งดี
ทว่า…ซ่างซูกรมพระคลังนึกถึงประสบการณ์เดินเกือบขาขาดของตัวเองแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิดว่าหากเขากล้าโกหกเรื่องเซียวลิ่วหลังแม้เพียงครึ่งคำ เซียวผิงโหวก็จะตัดขาเขาต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาททันที
ซ่างซูกรมพระคลังจึงได้ทูลรายงานไปตามความจริง
การทำงานของเซียวลิ่วหลังกับอันจวิ้นอ๋องต่างโดดเด่นและสร้างคุณูปการกันทั้งคู่ แม้ว่าซ่างซูกรมพระคลังจะตั้งใจให้โอกาสอันจวิ้นอ๋องได้สร้างความดีความชอบมากกว่า แต่เรื่องที่เซียวลิ่วหลังจัดการในชนบทก็มีมากมายจริงๆ
พอฮ่องเต้ได้ยินก็พอพระทัย ทั้งสองคนล้วนเป็นเสาหลักและผู้มีความสามารถของแคว้นเจา ในบรรดาจอหงวน ปั่งเหยี่ยนและทั่นฮวาสามอันดับต้นนี้ จอหงวนกับปั๋งเหยี่ยนได้เริ่มแสดงพรสวรรค์ออกมาในกรมทั้งหกแล้ว เหลือก็แต่ทั่นฮวาที่ยังคงเงียบเป็นเป่าสาก
แต่เรื่องนี้ไม่รีบร้อน อย่างไรเสียเซียวลิ่วหลังกับอันจวิ้นอ๋องก็เป็นคนที่มีคนคอยหนุนหลังอยู่ทั้งคู่ แสดงพรสวรรค์โดดเด่นออกมาก็ไม่ต้องห่วงว่าจะโดนใครสกัดดาวรุ่ง แต่ปูมหลังของหนิงจื้อหย่วนด้อยกว่าอยู่หน่อยๆ ยังต้องฝึกฝนเรียนรู้หาประสบการณ์ที่สำนักฮั่นหลินอีก
ฮ่องเต้พระราชทานภาพอักษรที่เขียนด้วยพู่กันอย่างงดงามแก่เซียวลิ่วหลังกับอันจวิ้นอ๋องคนละชุด และให้เว่ยกงกงนำไปส่งให้ที่สำนักฮั่นหลิน
หลังจากเลิกประชุมเช้า ฮ่องเต้ก็กลับไปที่ตำหนักฮว๋าชิง
“ฝ่าบาท” แม่ชีน้อยนางหนึ่งหิ้วกล่องอาหารเดินมาหา ก่อนจะถวายคำนับให้พระองค์พลางเอ่ย “ไท่เฟยลงมือทำขนมด้วยตัวเอง ให้หม่อมฉันนำมาถวายฝ่าบาทเพคะ และไท่เฟยถือโอกาสให้หม่อมฉันถามฝ่าบาทว่าหมู่นี้ทรงสบายดีหรือไม่ ไม่ได้พบฝ่าบาทมาหลายวันแล้ว ไท่เฟยเป็นห่วงยิ่งนัก”
ฮ่องเต้ชะงักไปเล็กน้อย
นั่นสิ
นึกไม่ถึงว่าหลายวันมานี้พระองค์จะไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนเสด็จแม่เลย
นี่มันเป็นสิ่งที่เมื่อก่อนเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ตราบใดที่เสด็จแม่อยู่ในวัง พระองค์ก็จะไปถวายพระพรทุกวี่วัน
หรือว่าพระองค์ยังคงโกรธที่เสด็จแม่ปิดบังความสัมพันธ์กับกู้เฉาอย่างนั้นรึ
แม้ว่าสุดท้ายเสด็จแม่จะเลือกพระองค์ แต่ในใจพระองค์ก็ยังคงมีปมอยู่ดี
“ฝ่าบาท หากไม่มีอะไรแล้ว หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ” แม่ชีน้อยส่งขนมให้เว่ยกงกงที่อยู่ด้านข้างแล้วหันหลังจากไป
ฮ่องเต้มองกล่องอาหารในมือเว่ยกงกง
เว่ยกงกงกระจ่างแจ้ง เขาเปิดฝากล่องพลางเอ่ย “ฝ่าบาท แป้งทอดกรอบชุบน้ำตาลไส้พุทราพ่ะย่ะค่ะ”
นี่เป็นขนมที่พระองค์โปรดปรานที่สุด จิ้งไท่เฟยไปเรียนทำมาจากห้องเครื่องเพื่อจะได้ทำให้พระองค์ด้วยตัวเอง
พระองค์นึกถึงวันนั้นหลังจากที่จวงไทเฮาถูกจับเข้าตำหนักเย็นแล้ว พระองค์กับจิ้งไท่เฟยและหนิงอันก็โดนคนกีดกัน วันคล้ายวันเกิดของพระองค์ไม่มีแม้แต่อาหารร้อนๆ ที่เข้าท่าเข้าทาง เสด็จแม่จึงขึ้นไปเก็บพุทราด้วยตัวเอง ใช้พุทรากรอบมาทำเป็นขนมแป้งทอดกรอบชุบน้ำตาลไส้พุทรา
รสชาติไม่ได้นับว่าอร่อยเลิศเลอ แต่กลับเป็นรสชาติที่ดีที่สุดที่ตอนนั้นที่พระองค์จดจำไม่ลืม
ฮ่องเต้หยิบขนมไส้พุทรามาชิมคำหนึ่ง
ใช้พุทรากรอบมาทำเหมือนเดิม ภาพในความทรงจำพรั่งพรูปรากฏขึ้น เขาทอดถอนใจยาวเหยียด “เจ้าไปบอกเสด็จแม่ที่สำนักชีว่าคืนนี้เราจะไปร่วมโต๊ะกับนาง”
“…พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงขานรับ
หมู่นี้เถ้าแก่รองรับสมัครหมอมาเพิ่มหนึ่งคน จะพูดให้ถูกก็คือไปเอาหมอจากหุยชุนถังมาคนหนึ่ง เขาเคยถูกหุยชุนถังไล่ออก ทุกคนต่างรอเห็นความพ่ายแพ้จากเขา แต่เขากลับพาเมี่ยวโส่วถังไปโด่งดังในเมืองหลวงได้
กิจการของเมี่ยวโส่วถังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่ามีหมอตั้งเท่าใดที่อยากจะมาขอพึ่งพาเขา เขาถูกใจหมอแซ่เหมียวคนหนึ่งจากการคัดเลือกอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ฝีมือการแพทย์ไม่เลว เพียงแต่นิสัยแข็งกระด้างเกินไปหน่อย
เถ้าแก่รองไปทาบทามอยู่นานสองนานจึงโน้มน้าวหมอเหมียวมาได้
หลังจากที่หมอเหมียวมารับผิดชอบหน้าที่ตรวจคนไข้ไม่น้อย ทางกู้เจียวก็ไม่ได้ยุ่งอะไรมากเพียงนั้นแล้ว
วันนี้กู้เจียวไปหาขอทานชราเพื่อเล่นหมากรุกด้วย ที่เหนือความคาดหมายคือนึกไม่ถึงว่าขอทานชราจะไม่อยู่
กู้เจียวรออยู่พักหนึ่งเขาก็ยังไม่มา นางจึงสวมหน้ากากเปลี่ยนเส้นทางไปยังโรงประลองแทน
“น้องกู้!”
ชายวัยกลางคนพุงโย้ ใบหน้าแดงเรื่อแจ่มใสคนหนึ่งเอ่ยเรียกนางไว้
กู้เจียวหันไปมองเขา ใช้สายตาถามว่ามีอะไร
ท่าทีของนางไม่นับว่ากระตือรือร้นนัก ถึงขั้นว่าเย็นชาเลยก็ว่าได้
ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้ถือสา เพียงแต่คนที่เคยได้ประจักษ์กับฝีมือการประลองของกู้เจียวล้วนรู้ว่านิสัยนางขี้รำคาญนัก ยินยอมสนทนากับตนด้วยก็นับว่าไว้หน้ากันแล้ว
ชายวัยกลางคนยิ้มเอ่ย “น้องชาย ข้าเคยชมการประลองแต่ละคราของเจ้าหมด เจ้าใจกล้ายิ่งนัก ออกอาวุธอย่างห้าวหาญ ฝีมือก้าวหน้ามากเลยทีเดียว ขอโทษที่ข้าต้องพูดตรงๆ ว่าโรงประลองเล็กๆ พรรค์นี้ไม่เหมาะกับฝีมือของเจ้าแล้วล่ะ สนใจจะไปลองที่อื่นดูหรือไม่”
ที่แท้ก็จะมาทาบทามตัวนี่เอง
กู้เจียวมองเขา นางหยิบสมุดเล่มน้อยออกมาเขียนว่า “ที่ที่เจ้าพูดถึงมียอดฝีมือที่พอเข้าท่าเข้าทางหรือไม่ล่ะ”
ฟังสิ ฟังสิ นี่มันวาจาโอหังอวดดีอะไรเช่นนี้
แต่เขาชอบยิ่งนัก!
เด็กหนุ่มผู้นี้มีความอวดดีเป็นทุนเดิม
ชายวัยกลางคนยิ้มเอ่ย “แน่นอนอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเจ้าจะกล้าไปหรือไม่”
กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบ “ยมโลกรึ”
“ฮ่าๆ!” ชายวัยกลางคนถูกความอวดดีและความตลกของกู้เจียวทำเอาขบขันเสียแล้ว “น้องชาย เจ้าวางใจได้ ต้นกล้าดีๆ อย่างเจ้าเช่นนี้ข้าจะหักใจให้เจ้าไปที่พรรค์นั้นได้อย่างไรเล่า ไม่ต้องพูดมากแล้ว ข้าพาน้องชายไปเลยดีกว่า!”
กู้เจียวออกจากโรงประลอง ให้เสี่ยวซานจื่อกลับไปก่อน ส่วนนางนั่งรถม้าของชายวัยกลางคนไปโรงเย็บปักแห่งหนึ่งที่เมืองฝั่งเหนือ
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เจียวมายังเมืองฝั่งเหนือ
ตรอกปี้สุ่ยตั้งอยู่ทางใต้ของเมือง จวนติ้งอันโหวอยู่ตะวันออกเฉียงใต้ พื้นที่ที่นางออกตรวจคนไข้มากสุดก็บริเวณเมืองฝั่งใต้ไปจนถึงเมืองฝั่งตะวันออก
บริเวณนี้ทั้งหมดกู้เจียวจึงรู้สึกไม่คุ้นเคยเลย แต่ก็ให้ความรู้สึกดึงดูดอย่างประหลาดเช่นกัน
กู้เจียวเดินตามชายวัยกลางคนทะลุหอเย็บปักมายังโรงย้อมผ้าแห่งหนึ่ง ซึ่งชั้นใต้ดินของโรงย้อมผ้าก็คือโรงประลองใต้ดิน
ตามที่ชายวัยกลางคนว่ามา กู้เจียวรู้มาว่าโรงประลองแห่งนี้ไร้นาม ยามปกติทุกคนเอ่ยถึงมันก็จะพูดกันแค่ว่าโรงทอสุ่ยเซียน
โรงประลองมีขนาดใหญ่มาก ขนาดเท่าๆ กับสี่โรงประลองไท่เหอรวมกันก็ว่าได้ หากกู้เจียวไม่ได้มาเห็นกับตาก็คงไม่กล้าเชื่อว่าแผ่นดินนี้จะมีคนสร้างสถานที่ใต้ดินขนาดใหญ่โตเช่นนี้ไว้
ตรงกลางโรงประลองเป็นเวทีประลองสี่เวที เหมือนกันกับโรงประลอง แต่รอบด้านกลับเป็นห้องจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนเอาไว้ใช้ทำอะไรนั้นชายวัยกลางคนไม่ได้บอก
ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นชี้พลางเอ่ย “เจ้าเห็นประตูห้องพวกนั้นที่แขวนด้วยน้ำเต้าหรือไม่ อย่าได้เข้าไปเด็ดขาดเชียวนะ”
เพราะเหตุใดกัน กู้เจียวใช้สายตาถาม
ชายวัยกลางคนอธิบาย “นั่นล้วนเป็นห้องของยอดฝีมือทั้งสิ้น บุ่มบ่ามเข้าไปได้โดนตีตายแน่”
ดังนั้นแล้วที่นี่ฆ่าคนได้
บนเวทีประลองทั้งสี่ล้วนกำลังมีการประลองกันอยู่ เทียบกับโรงประลองไท่เหอแล้ว การต่อสู้ที่นี่ดุเดือดรุนแรงกว่ามากนัก ในบรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดฉุนจมูก กู้เจียวรู้สึกเพียงเลือดลมทั่วร่างเดือดพล่านขึ้นมา
สัญชาตญาณโหดเหี้ยมและกระเหี้ยนกระหือรือได้ตื่นขึ้น
กู้เจียวข่มความกระหายอยากจะฆ่าคนของตัวเองเอาไว้ นางเดินมาถึงห้องบัญชีของเถ้าแก่ภายใต้การนำทางของชายวัยกลางคน
“โอ๊ะ ดูสิว่าวันนี้เหล่าเหอล่อลวงพาใครมา” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจัดการสมุดบัญชีอยู่เงยหน้าขึ้นมามองกู้เจียวอย่างมีเลศนัย “คุณชายน้อยหน่อมแน้มเช่นนี้ เหล่าเหอ เจ้าก็หักใจพามาได้ ไม่กลัวเขาถูกคนตีตายเอาหรือไร”
ดังนั้น…บนเวทีก็สามารถฆ่ากันได้เช่นกัน
กู้เจียวเข้าใจในโรงประลองใต้ดินแห่งนี้ได้แจ่มชัดขึ้นอีกขั้น
“มัดจำไว้ก่อนห้าสิบตำลึง!” ชายหนุ่มเอ่ยกับกู้เจียว
กู้เจียวขมวดคิ้ว ซ้ำยังเอาเงินด้วยรึ
“ข้าเอง ข้าเอง! เงินนี้ข้าออกให้น้องชายเอง!” ชายวัยกลางคนล้วงตั๋วเงินห้าสิบตำลึงใบหนึ่งออกมาอย่างใจกว้าง ก่อนจะตบลงบนโต๊ะ
ชายหนุ่มมองแววตากู้เจียวแล้วยิ่งอยากทำความเข้าใจ “สามารถทำให้คนขี้เหนียวอย่างเหล่าเหอควักเงินให้เจ้าได้ ดูท่าแล้วเจ้าจะเป็นคนมีความสามารถอยู่บ้าง ก็ได้ ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี จะพยายามไม่ให้เจ้าตายไวนักก็แล้วกัน”
“ข้าเดินดูรอบๆ ได้หรือไม่” กู้เจียวเขียนลงบนสมุดเล่มน้อย
เหล่าเหอเอ่ย “ได้สิ! แต่จำคำที่ข้าเพิ่งบอกไปเมื่อครู่ไว้ล่ะ อย่าได้เข้าใกล้ประตูห้องที่แขวนน้ำเต้า”
กู้เจียวพยักหน้า
นางออกมาจากห้องบัญชี
เสียงสนทนาของชายหนุ่มกับเหล่าเหอลอยมาจากด้านหลัง
“ไม่หรอกกระมัง เจ้าจะให้ไอ้เด็กนี่ไปประลองจริงๆ น่ะรึ เขาผอมกว่าข้าอีกนะ! ซ้ำยังเป็นใบ้อีก! เจ้าจำบทเรียนคราก่อนไม่ได้รึ พาคนที่บอกว่าอะไรนะเป็นยอดฝีมือกลับมา สุดท้ายหมัดเดียวก็ไปเฝ้ายมบาลแล้ว!”
“เจ้าเชื่อสายตาครานี้ของข้าได้เลย ยกแรกอย่าจัดหาคนที่เก่งกาจเกินไป ให้เขาได้ฝึกฝีมือก่อน…”
กู้เจียวเดินห่างออกไปเรื่อยๆ เสียงสนทนาของทั้งคู่ค่อยๆ กลบด้วยเสียงตะโกนจากด้านล่างเวทีประลองจนมิด
กู้เจียวมาวันแรกแค่อยากจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมก่อน แต่ว่านางคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นคนคุ้นหน้าคนหนึ่งเข้า
คนผู้นั้นสวมชุดคลุมกันลมสีดำเดินผ่านหน้าไป สวมใส่มิดชิดเสียจนมองไม่เห็นใบหน้า เพียงแต่ชั่วขณะที่อีกฝ่ายผลักประตูห้องเปิด หมวกจากชุดคลุมกันลมกลับเลื่อนลงมา
พอกู้เจียวจ้องมอง ‘เป็นนางอย่างนั้นรึ’