สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 378 มีความสุข
บทที่ 378 มีความสุข
ฮ่องเต้กับจวงไทเฮามัวแต่สู้กันด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติของจิ้งไท่เฟยที่อยู่ตรงข้ามเลย ยามนี้จิ้งไท่เฟยกลับกลายเป็นอากาศธาตุในสายตาพวกเขาไปแล้ว
มีเพียงกู้เจียวคนเดียวที่จับตามองจิ้งไท่เฟยมาโดยตลอดที่เห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา
อันที่จริงนางไม่ค่อยเข้าใจนัก
จิ้งไท่เฟยจิตใจเหี้ยมโหดหักใจลงมือวางยากับฮ่องเต้ได้และสามารถจัดหาคนมาลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ได้…แม้ว่าการลอบสังหารในคืนนั้นอาจจะไม่ได้อยากจะเอาถึงชีวิตฮ่องเต้ เพียงแค่เพื่อให้ฮ่องเต้ได้รับความตกใจและได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพื่อใช้สิ่งนี้มาป้ายสีท่านย่าเท่านั้น ทว่าสุดท้ายก็หมายความว่านางไม่ได้รักเอ็นดูฮ่องเต้อยู่ดี
ถ้าอย่างนั้นฮ่องเต้ใกล้ชิดสนิทสนมกับใคร แล้วนางจะไปใส่ใจทำไมกันล่ะ
กู้เจียวไม่ใช่คนที่จะควบคุมความปรารถนาอันแรงกล้าได้เก่ง จึงย่อมไม่เข้าใจจิตใจของจิ้งไท่เฟย
ทว่าหากต้องมีการลองคิดแทนดูแล้ว เช่นนั้นก็คงเป็นเสี่ยวจิ้งคงที่เอาแต่เรียกเจียวเจียวทั้งวัน จู่ๆ อยู่วันหนึ่งไม่ชอบนางขึ้นมา แล้วหันไปติดหนึบกับคนนอกแทน นางก็คงปวดใจไม่น้อยเช่นกัน
ทว่าอย่างไรเสียเสี่ยวจิ้งคงกับนางก็ต่างกับฮ่องเต้กับจิ้งไท่เฟยอยู่ดี
ดังนั้นกู้เจียวจึงรู้สึกว่าคิดแทนนี้ไม่ได้แม่นยำมากนัก
ทว่ามันกลับไม่ได้ส่งผลต่อการจับตามองการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของจิ้งไท่เฟย
ไอ้หยา นี่นางกำลังโกรธขึ้นมาแล้ว!
ซ้ำยังโกรธไม่น้อยด้วย!
กู้เจียวเลยถือโอกาสยกสองมือขึ้นเท้าแก้มมองจิ้งไท่เฟยอย่างนึกสนุกมันเสียเลย
จิ้งไท่เฟยไม่เคยความรู้สึกช้าเท่านี้มาก่อน ทว่าอาจเพราะโกรธจนเลือดขึ้นหน้าเข้าจริงๆ แล้ว เนิ่นนานทีเดียวจึงเพิ่งมาสังเกตถึงสายตาแปลกๆ ที่มองมาที่ตนเอง
พอนางหันหน้ามาก็สบเข้ากับสายตากู้เจียว
โดยปกติแล้ว การลอบมองคนอื่นแล้วโดนจับได้เช่นนี้ล้วนกระอักกระอ่วนไม่น้อย ต้องรีบเบนสายตาหนีแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว
แต่กู้เจียวดันไม่เป็นเช่นนั้น
นางไม่กระอักกระอ่วน
ซ้ำนางยังมองจิ้งไท่เฟยจิกผ้าเช็ดหน้าจนเป็นรูพรุนอย่างอารมณ์ดีด้วย นางเลิกคิ้วขึ้นคล้ายส่งให้จิ้งไท่เฟยว่า
ท่านทำต่อสิ ไม่ต้องเกรงใจ อย่างไรเสียผ้าเช็ดหน้าก็โดนจิกจนเละไปหมดแล้ว ซ้ำยังไม่ใช่ของข้าด้วย
เรื่องที่หน้าอับอายที่สุดในโลกหาใช่ตัวเองเกิดความรู้สึกริษยาที่ไม่ควรเกิด แต่เป็นตอนที่กำลังริษยาอยู่นั้นถูกคนอื่นสังเกตเห็นเข้าต่างหาก ดังนั้นคนที่โดนจับได้มาตั้งแต่ต้นกลับกลายเป็นจิ้งไท่เฟยเสียแล้ว
จิ้งไท่เฟยพลันชะงักร่างแข็งทื่อ ความวิตกเกิดขึ้นในใจ
นางลุกพรวดขึ้น “ข้าไม่ค่อยสบาย ขอตัวก่อน”
เอ่ยจบนางก็หันหลังกลับอย่างรวดเร็วยิ่ง
นี่ย่อมเรียกความสนใจจากฮ่องเต้ได้ ใช้วิธีงอนมาเรียกร้องความสงสารและรู้สึกผิดจากฮ่องเต้ น่าเสียดายที่นางวางแผนผิดเสียแล้ว
ฮ่องเต้ถูกจวงไทเฮาใช้ผ้าสกปรกเช็ดปากให้ ก่อนจะขยับหลบด้วยความอับอายที่กลายเป็นโกรธ จวงไทเฮากดศีรษะพระองค์ไว้ทันที พระองค์ก็ง้างมือนางออก
ภาพตรงหน้านี้…พูดตรงๆ ว่าเหลือแค่ตีกันแล้ว
เว่ยกงกงกับฉินกงกงต่างทนดูไม่ได้แล้ว พากันหันหน้าหนีไปมองฟ้ากันหมด
นอกจากกู้เจียวกับคนสนิทของจิ้งไทเฟยอย่างแม่นมไช่แล้ว ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นจิ้งไท่เฟยที่จากไปด้วยความโมโหเลย
แน่นอนว่ากู้เจียวย่อมไม่มีทางสนใจนางอยู่แล้ว
ฝีเท้านางพลันชะงัก มองไปยังทั้งสองคนที่กำลังตีกันอุตลุด ก่อนจะสังเกตเห็นแววตาของกู้เจียว
นางมองไปยังกู้เจียวอีกหน
กู้เจียวทำท่าผายมือให้
จะไปแล้วมิใช่หรือไร
ก็ไปสิ
อย่ามัวโอ้เอ้!
จิ้งไท่เฟยโมโหจนควันออกหู สีหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาพลางเดินจากไป
เมื่อฮ่องเต้ดึงมือปีศาจของจวงไทเฮาออกไปได้ เงยหน้าขึ้นมามองจิ้งไท่เฟยนั้น กลับไม่เห็นเงาของจิ้งไท่เฟยแล้ว
ฮ่องเต้พลันกระอักกระอ่วนขึ้นมา พระองค์ถลึงตาใส่จวงไทเฮา “ยามนี้ดีนัก ทำเสด็จแม่โมโหกลับไปแล้ว ไทเฮาจะสงบเสงี่ยมต่อหน้าจิ้งไท่เฟยหน่อยไม่ได้เลยรึ แสดงให้มือสังหารดูนะ ไม่ใช่แสดงให้…”
พระองค์ตรัสมาถึงตรงนี้ จวงไทเฮาก็ใช้ผ้าสกปรกผืนนั้นคลุมหน้าพระองค์อย่างรวดเร็ว จากนั้นจวงไทเฮาก็ลุกขึ้น “เจียวเจียว กลับกันเถอะ!”
แม้ว่าเมื่อครู่จวงไทเฮาจะใช้ผ้าสกปรกเช็ดปากให้พระองค์ แต่น้ำเสียงและรอยยิ้มกลับไร้ความรำคาญแม้แต่น้อย เหมือนกับมารดาใจดีที่ชอบแกล้งหยอกตนเล่นยิ่งนัก
ฮ่องเต้เกือบจะคิดว่าเป็นของจริงเสียแล้ว นึกว่าจวงไทเฮาไม่ได้เล่นละครอยู่ แต่รักโอรสอย่างพระองค์จริงๆ!
พระองค์กำลังจะตรัสกับนางว่า ‘ท่านอย่าได้คิดไปจริงๆ เสียล่ะ เราก็แค่เล่นละครกับท่านแค่นั้น ในใจเราไม่มีทางมองท่านเป็นแม่เราจริงๆ อยู่แล้ว แม่ของเรามีแค่จิ้งไท่เฟยคนเดียว…’
ปรากฏว่าจวงไทเฮาแสดงจบก็กลับมาน่าเกรงขามดังเดิม เปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็วเสียจนฮ่องเต้พูดอะไรไม่ออกเลย
ฮ่องเต้ “จะ…จะไปแล้วรึ”
จวงไทเฮาแค่นเสียงเหอะคำหนึ่ง แม้แต่ส่งสายตาให้พระองค์ยังคร้านจะทำ นางวางท่าพากู้เจียวจากไป
ฮ่องเต้ “…”
อีกด้านหนึ่ง จิ้งไท่เฟยพาแม่นมไช่กลับมาที่สำนักชีแล้ว
นางรักษาสีหน้าใจดีมีเมตตามาตลอดทั้งทาง พอเข้ามาในอารามของตัวเองสีหน้าก็พลันเย็นชาขึ้นมาทันที
ในสายตาแม่นมไช่นั้น นายหญิงตนเป็นคนแกว่งเท้าหาเสี้ยนอยู่หน่อยๆ แม้ว่าฮ่องเต้จะโดนวางยาไปแล้ว แต่ความสนิทสนมกับนางกลับเริ่มลดลงเรื่อยๆ ทุกวัน ไม่ต้องไปตรวจสอบต่อหน้าฮ่องเต้อะไรเลยด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดๆ เลยว่าไม่มีหนทางแก้ไข
อันที่จริงนายหญิงก็คงจะรู้แก่ใจดีอยู่แล้วกระมัง เพียงแต่ทำใจยอมรับไม่ได้
หลายปีมานี้ฮ่องเต้ดีต่อนางเหลือเกิน ดียิ่งนัก ถึงขั้นที่ว่านางลืมไปแล้วว่านางได้ความดีนี้มาอย่างไร หรืออาจจะไม่ได้ลืมหรอก แต่นางก็เสียกำลังใจลงไปไม่น้อยแล้ว คิดว่าระหว่างนางกับฝ่าบาทจะเกิดความรักระหว่างมารดากับบุตรที่ไม่อาจทำลายได้ขึ้น
พูดให้เข้าใจหน่อยก็คือความเคารพในตัวเองและความเย่อหยิ่งมันค้ำคอ รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรไร้เสน่ห์เพียงนี้ แม้แต่โอรสยังทำให้รักไม่ได้
เขาต้องมีความรักระหว่างมารดากับบุตรกับข้า
ประโยคนี้จิ้งไท่เฟยไม่ได้พูดกับแม่นมไช่แค่ครั้งเดียว
แม่นมไช่ยังคงจำรอยยิ้มตอนนั้นของจิ้งไท่เฟยได้ นั่นเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขที่สุด แต่ไม่ใช่ความรู้สึกของมารดากำลังโอ้อวดบุตรชาย มันเหมือนนายพลผู้คว้าชัยที่โอ้อวดของที่ริบมาได้ของตัวเองมากกว่า
ยามนี้ไร้ซึ่งของที่ริบมาในศึกนี้เสียแล้ว
ความเคารพตนเองและความเย่อหยิ่งถูกเหยียบย่ำป่นปี้ไปหมดแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรจิ้งไท่เฟยก็เป็นนายหญิงของตน ในฐานะบ่าว แม่นมไช่ไม่ทางมีใจเป็นอื่นเกิดขึ้นอยู่แล้ว
นางแค่ไม่อยากจะเห็นนายหญิงตกอยู่ในอารมณ์แย่ๆ ที่ไม่พึงมีเช่นนี้อีก
“ไท่เฟย…” นางมองอีกฝ่ายอย่างลุ่มลึก
จิ้งไท่เฟยกลับยกแขนเสื้อกว้างขึ้นเรียกองครักษ์หลงอิ่งมาแทน
แม่นมไช่พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในใจ นางถามอย่างกระวนกระวาย “ไท่เฟย…ท่านจะทำอะไรเพคะ”
จิ้งไท่เฟยมองเครื่องสังหารคนอย่างองครักษ์หลงอิ่งที่อยู่ตรงหน้า พลางเอ่ยเสียงเย็น “ไปตำหนักเหรินโซ่ว ฆ่าจวงไทเฮาเสีย!”
แม่นมไช่ตกใจจนหน้าถอดสี “ไท่เฟยเพคะ! ทำเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ! หากถูกพบเข้าท่านจะไร้ทางถอยนะเพคะ! ท่านได้ร่วมกลบฝังไปกับไทเฮาแน่!”
จิ้งไท่เฟยมององครักษ์หลงอิ่งอย่างเย็นเยียบ “อำพรางเสียหน่อยล่ะ อย่าให้ใครพบเข้า มิฉะนั้นเจ้าก็อย่าได้กลับมา!”
องครักษ์หลงอิ่งเป็นคนที่มีความสามารถเร้นกายเข้าไปฆ่าคนในตำหนักเหรินโซ่วได้
ที่เมื่อก่อนไม่ได้ทำเช่นนี้ก็เพราะไม่จำเป็น จวงไทเฮาเป็นปรปักษ์กับฮ่องเต้อยู่ทุกคืนวัน ซ้ำไทเฮาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากด้วย เห็นไทเฮาใช้ชีวิตอย่างรู้สึกผิดย่อมดีกว่าฆ่าให้ตายเป็นไหนๆ มิใช่รึ
ทว่าองครักษ์หลงอิ่งกลับนิ่งงันไม่ขยับ
จิ้งไท่เฟยขมวดคิ้ว “ข้าให้เจ้าไปตำหนักเหรินโซ่ว แล้วฆ่าจวงไทเฮาซะ!”
องครักษ์หลงอิ่งก็ยังคงนิ่ง
เมื่อแน่ใจว่าองครักษ์หลงอิ่งได้ยินแล้ว แต่องครักษ์หลงอิ่งไม่ยอมไปทำตามคำสั่งนี้ จิ้งไท่เฟยจึงเอ่ยซ้ำอีกหน
ตอนที่องครักษ์หลงอิ่งถูกส่งมายังข้างกายนางนั้น คำสั่งที่ฮ่องเต้สั่งองครักษ์หลงอิ่งคือการฟังคำสั่งนางทั้งหมด
ทว่านางก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คำสั่งขององครักษ์หลงอิ่งมีการแบ่งลำดับขั้นด้วย
คำสั่งที่ทำตามคำสั่งแรกของเขามาจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน คำสั่งที่สองมาจากฮ่องเต้
เมื่อคำสั่งของนางขัดแย้งกับคำสั่งก่อนหน้า องครักษ์หลงอิ่งจึงไม่ทำตามคำสั่งของนาง
ตั้งแต่ฮ่องเต้มอบองครักษ์หลงอิ่งให้นาง ก็ไม่เคยพูดคุยอะไรกับพวกเขาอีกเลย
อีกนัยหนึ่งคือ ก่อนที่นางจะได้องครักษ์หลงอิ่งมาก็มีคนออกคำสั่งต่อองครักษ์หลงอิ่งไว้แล้วว่าไม่ให้ทำร้ายจวงจิ่นเซ่อ
แล้วใครเป็นคนออกคำสั่งนี้กับองครักษ์หลงอิ่งกันเล่า
ฮ่องเต้หรือว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อน
หากเป็นฮ่องเต้พระองค์ก่อน แล้วราชโองการนั้นมันคืออะไร
หากเป็นฮ่องเต้ ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมอบองครักษ์หลงอิ่งแก่ฮ่องเต้ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ ตอนนั้นความสัมพันธ์ของพระองค์กับจวงไทเฮาเริ่มร้าวฉานแล้ว แต่ยังออกคำสั่งให้องครักษ์หลงอิ่งอย่าได้ทำร้ายนางอย่างนั้นรึ
จิ้งไท่เฟยคิดไม่ตก นางไม่รู้ว่าบุรุษสองคนนี้ใครกันแน่ที่ปกป้องจวงจิ่นเซ่อ จวงจิ่นเซ่อไร้ค่าถึงเพียงนั้นแท้ๆ!
ในฐานะภรรยา นางไม่เคยรักสามีตัวเองอย่างจริงใจเลย นางใช้ประโยชน์จากฮ่องเต้พระองค์ก่อนจนเขาตาย นางทำให้วังหลังของฮ่องเต้พระองค์ก่อนกลายเป็นกุยช่ายในกระถางของนาง
ในฐานะเสด็จแม่ นางก็ไม่เคยตั้งอกตั้งใจช่วยเหลือโอรสตัวเองเลยเช่นกัน นางนั่งฟังราชการอยู่หลังม่าน เหิมเกริมยึดครองอำนาจมากมายในราชสำนัก ทำให้ฮ่องเต้กลายเป็นฮ่องเต้หุ่นเชิดที่ใครต่อใครต่างหัวเราะเยาะ
จวงจิ่นเซ่อเป็นไทเฮาปีศาจทำลายชาติบ้านเมือง เป็นตัวชั่วร้ายทั้งปวงที่ใครต่อใครก็อยากจะฆ่า!
“ไท่เฟย ไท่เฟย…” แม่นมไช่เห็นสีหน้าจิ้งไท่เฟยแปลกขึ้นเรื่อยๆ จึงเดินไปหาอย่างเป็นห่วง ประคองแขนนางเบาๆ “ท่านเหนื่อยแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรแล้วเพคะ บ่าวพยุงท่านไปพักที่เตียงดีกว่า”
จิ้งไท่เฟยเงยหน้าขึ้นอย่างเหม่อลอย ชั่วขณะที่หันหลังกลับ เลือดลมพลันพลุ่งพล่านกระอักเลือดออกมา
ณ ตำหนักเหรินโซ่ว
วันนี้จวงไทเฮามีความสุขไม่น้อย
ไม่เพียงแต่ได้อุดปากโตๆ ของลูกชายหน้าโง่ไปหลายรอบเท่านั้น ยังได้ผลไม้เชื่อมห้าเม็ดที่ตัวเองได้มาด้วยความลำบากเลือดตาแทบกระเด็นมาด้วย ไม่สิ รวมกับเมื่อวานก็สิบลูก!
นางเอาโหลลูกอมของตัวเองออกมา กินไปแค่ห้าเม็ด ก่อนจะเก็บอีกห้าเม็ดที่เหลือไว้ รอให้ภายหน้าขาดแคลนอาหารค่อยเอาออกมากิน!
ไทเฮาปีศาจทำลายชาติบ้านเมือง มีอำนาจมาก สามารถทำให้สถานการณ์สำคัญเปลี่ยนแปลง ฉลาดปราดเปรื่องเช่นนี้แหละ!
กู้เจียวทานมื้อเที่ยงที่ตำหนักเหรินโซ่วก่อนแล้วค่อยกลับ
ฉินกงกงให้รถม้าไปส่งนาง
กู้เจียวไม่ได้กลับไปที่โรงหมอ นางบอกสถานที่อีกแห่งแก่คนขับรถแทน
ความเร็วของรถม้าไม่ช้าไม่เร็ว รักษาการขับขี่ที่ไม่ทำให้กู้เจียวกังวลและไม่โคลงเคลงมากเกินไป
สมกับที่เป็นคนขับรถของตำหนักเหรินโซ่ว กู้เจียวพอใจยิ่งนัก
วันนี้กู้เจียวอารมณ์ดีเช่นกัน ซ้ำนางยังฮัมเพลงกลอนอยู่บนรถที่ได้ยินจากกู้เฉิงเฟิงด้วย เพียงแต่เสียงของนางน่ะร้องเพลงสมัยนิยมในชาติก่อนยังพอทำเนา ให้ร้องเพลงกลอนแบบนี้ค่อนข้างไม่เป็นที่น่าพอใจนัก
คนขับรถเกือบจะทนไม่ไหวขับรถม้าลงคูข้างทางตั้งหลายครั้ง!
คนขับรถจอดลงหน้าประตูโรงเย็บปักสุ่ยเซียน
คนขับเอ่ย “แม่นางกู้ บ่าวรอท่านตรงนี้นะขอรับ”
กู้เจียวบอก “ไม่ต้องหรอก อีกเดี๋ยวข้ากลับเอง เจ้ากลับวังเถิด”
คนจากตำหนักเหรินโซ่วล้วนมีแต่ยอดเยี่ยมทั้งนั้น เขาฟังออกว่ากู้เจียวต้องการทำธุระของตัวเอง จึงไม่ได้ยืนกรานต่อ แต่ขับรถกลับไปที่วังแทน
กู้เจียวเดินทะลุผ่านโรงเย็บปักสุ่ยเซียนมายังโรงประลองที่อยู่ใต้โรงย้อม
เหล่าเหอเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าประตูมานานแล้ว ในที่สุดก็เห็นกู้เจียว เขาพรูลมหายใจโล่งอกออกมา “ไอ้หยา ข้าตกอกตกใจจะตายแล้วน้องชายกู้ ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มาแล้วเสียอีก!”
กู้เจียวเปลี่ยนเสื้อผ้าและสวมหน้ากากตั้งแต่อยู่บนรถม้าแล้ว
นางหยิบสมุดเล่มเล็กขึ้นมาเขียนอย่างรวดเร็วว่า ‘วันนี้ถึงตาข้าขึ้นสังเวียนแล้วหรือ’
เหล่าเหอรีบเอ่ย “ถึงแล้ว ถึงแล้ว! เจ้าวางใจได้เลย สังเวียนแรกสู้ไม่ยาก ข้าได้บอกเอาไว้แล้ว จากศักยภาพของเจ้าไม่มีปัญหาหรอก! ข้าบอกกฎกับเจ้าไปหมดแล้วกระมัง เจ้ายังจำได้หรือไม่”
กู้เจียวพยักหน้า
กฎของโรงประลองใต้ดินไม่ต่างกันกับโรงประลองไท่เหอมากนัก นั่นคือระบบเลื่อนขึ้นเหมือนกัน เพียงแต่รุนแรงและโหดเหี้ยมกว่า ที่นี่มีระดับตั้งแต่หนึ่งถึงสิบ ยกตัวอย่างอย่างมือใหม่ ทุกๆ สิบยกที่ชนะจะได้รับการเลื่อนขั้นหนึ่งระดับ
สามารถท้าข้ามระดับกันได้ แต่จะไม่เหมือนโรงประลองที่ชนะแล้วสามารถชิงผลงานของอีกฝ่ายไปได้
กู้เจียวมองรายชื่ออันดับโรงประลองสีดำทองที่แกะสลักแขวนอยู่บนกำแพงสูงสะดุดตา บนนั้นแขวนป้ายไม้เล็กๆ เอาไว้ตามลำดับด้วย
‘นั่นคืออะไรรึ’ กู้เจียวเขียน
เหล่าเหอมองตาม ก่อนจะเผยสีหน้าเคารพยิ่งออกมา “นั่นเป็นอันดับของยอดฝีมือแห่งโรงประลองใต้ดิน ร้อยอันดับแรกล้วนอยู่บนนั้น”
‘ขึ้นป้ายแล้วมันมีอะไรรึ’ กู้เจียวเขียนต่อ
เหล่าเหอหัวเราะ “ได้รับการเซ่นจากโรงประลองใต้ดินน่ะสิ”
มีเงินเดือนหรือนี่
แววตากู้เจียวเป็นประกายขึ้นมา ‘ได้ค่าเซ่นเท่าใด’
เหล่าเหออธิบายอย่างใจเย็น “ห้าสิบอันดับลงมาไม่ค่อยได้เท่าใดหรอก เดือนเดือนหนึ่งได้ไม่ถึงสิบตำลึงด้วยซ้ำ แต่ห้าสิบอันดับขึ้นไปได้ยี่สิบตำลึงต่อเดือน สี่สิบอันดับขึ้นไปได้ห้าสิบตำลึงต่อเดือน สามสิบอันดับขึ้นไปได้ร้อยตำลึงต่อเดือน ในยี่สิบอันดับก็ได้ค่าเซ่นตามค่าตัวแต่ละคนเลย”
กู้เจียวเขียนอีกว่า ‘มากสุดได้เท่าใด’
เหล่าเหอคิดว่านางแค่ถามด้วยความสนใจใครรู้ ไม่ได้คิดว่านางจะทะเยอทะยานถึงขั้นนี้ เหล่าเหอเอ่ยว่า “ไม่มีขีดจำกัด”
กู้เจียวเขียนต่อว่า ‘เช่นนั้นก็มีเท่าใดได้เท่านั้นหรือ’
“คุ้มเงินเท่าใดก็ให้เท่านั้น จากที่ข้ารู้มามีอันดับต้นๆ คนหนึ่งได้ค่าเซ่นสูงที่สุดเท่านี้เลย” เหล่าเหอบอกพลางยกนิ้วขึ้นมานิ้วหนึ่ง
กู้เจียวเขียนด้วยความตกใจ ‘หนึ่งพันตำลึง’
เหล่าเหอหัวเราะ “ทองคำต่างหากล่ะ”
กู้เจียวมองเวทีประลองที่แผ่กลิ่นอายสังหารออกมา พลางหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมกับเลียริมฝีปาก
นางชอบที่นี่