สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 385 ขุดรากถอนโคน
บทที่ 385 ขุดรากถอนโคน
ตอนแรกฮ่องเต้เองไม่อยากเชื่อหูตัวเองสักเท่าไหร่ แต่ทุกประโยค ทุกถ้อยคำ ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นล้วนแต่ตรงกับคำบอกเล่าของเซียวลิ่วหลังทั้งสิ้น
เขาเกลียดความซื่อตรงของตัวเองนัก ท้ายที่สุด…ท้ายที่สุด…ก็ถูกหักหลังจนได้สินะ
เสด็จแม่ของเขาพูดอะไรออกมาน่ะ
แต่ละคำเหมือนดั่งมีดที่ทิ่มแทงดวงใจของเขามิปาน…
หัวใจของฮ่องเต้กำลังอาบเลือด…
ความรู้สึกเหมือนถูกคนควักหัวใจออกมาจากอกอย่างเลือดเย็น โหดเหี้ยมทารุณยิ่งกว่าแทงด้วยมีด
เขาทรุดลงก่อนจะล้มลงไป
ฝ่าบาท!
เว่ยกงกงไม่กล้าส่งเสียงดัง ทำได้เพียงรีบยื่นมือออกไปประคองเขาไว้
ว่ากันตามตรงแล้ว เขาตกใจจนแทบเสียสติ
เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าตนเองกับฝ่าบาทจะบังเอิญได้ยินจิ้งไท่เฟยเข้า ซ้ำยังไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะรุนแรงถึงเพียงนี้
ฟังจากน้ำเสียงของไท่เฟย เช่นนั้นก็แปลว่านางคือคนที่ส่งคนไปทำร้ายเซียวลิ่วหลังถึงสองครั้งสองคราอย่างนั้นหรือ
พอมาคิดดูแล้วก็จริงอย่างที่ว่า นอกเสียจากองครักษ์หลงอิ่งในตำนานแล้วจะมีใครสามารถเข้าไปก่อเรื่องวุ่นวายในสำนักจัดสอบได้อีก
นี่คือข้อสันนิษฐานของเว่ยกงกง แม้สถานที่อย่างสำนักจัดสอบจะคุ้มกันอย่างหนาแน่น แต่ยอดฝีมือที่ลอบเข้าไปได้ก็มีไม่น้อย
แต่ในเมื่อจิ้งไท่เฟยเป็นคนยอมรับเองว่า ‘พลาด’ เช่นนั้นเหตุการณ์ที่สำนักจัดสอบก็คงเป็นฝีมือนาง
แต่ที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ คำพูดของนางไม่หยุดเพียงเท่านั้น แต่กลับยิ่งทำให้คนตื่นตกใจราวกับถูกฟ้าผ่า
“พอเถิดเพคะไท่เฟย ท่านอย่าได้โมโหไปเลย ประเดี๋ยวจะพาลป่วยกายไปด้วย”
นั่นมันเสียงของแม่นมไช่!
“จะว่าไปก็โทษองครักษ์หลงอิ่งไม่ได้หรอกเพคะ คนพวกนั้นเจ้าเล่ห์นัก หากไม่เป็นเช่นนั้น ฝ่าบาทถูกพวกเขามอมเมาได้อย่างไร ข้าว่านะเพคะ หมอเทวดาอะไรนั่น เซียวจอหงวนอะไรนั่น ล้วนแต่ได้ดิบได้ดีเพราะมอมเมาฝ่าบาททั้งสิ้น”
“แต่พวกเขาจะมอมเมาฝ่าบาทได้อย่างไร หรือว่าพวกเขาจะวางยาฝ่าบาทเหมือนกัน”
นั่นเป็นเสียงของจิ้งไท่เฟย
หากได้ยินเพียงแค่ท่อนแรก ฮ่องเต้คงเพียงแค่กริ้ว แต่พอได้ยินถึงตรงนี้ ฮ่องเต้กลับเริ่มหวาดผวาขึ้นมา
วางยาเขาอย่างนั้นหรือ
เสียงของแม่นมไช่ดังขึ้นไม่หยุด “ยานั่นไม่ใช่ว่ามีเพียงไท่เฟยผู้เดียวที่ซื้อได้หรอกหรือ หรือว่าหมอยาแคว้นเยี่ยนผู้นั่นจะขายยาให้คนอื่นด้วย!”
เสียงของจิ้งไท่เฟยเอ่ย “ยานั้นหายากนัก ใช่ว่าเขาอยากขายก็ขายได้ วัตถุดิบทำยาพวกนั้นหาให้ทั่วแคว้นเจาก็ไม่พบหรอก!”
“หากมีเงินก็ปลุกผีให้ฟื้นขึ้นมาได้อยู่ดีนะเพคะ ไท่เฟย ท่านประมาทพวกเขามากเกินไปแล้ว!”
“เจ้าหมายความว่า…ที่ฝ่าบาทโปรดปรานเซียวลิ่วหลังและหญิงตระกูลกู้นั่น เพราะเซียวลิ่วหลังกับหญิงตระกูลกู้นั่นวางยาขาวฝ่าบาทอย่างนั้นรึ”
“ไท่เฟย ฤทธิ์ของยาขาวยาดำเป็นอย่างไรท่านเองก็สัมผัสเองกับตัวแล้ว ลองนึกถึงภายหลังที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น ท่านกับฝ่าบาทกลับมาญาติดีกันได้อย่างไร กลายเป็นศัตรูกับไทเฮาได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะฤทธิ์ของยาทั้งสองนั่น”
หลังจากนั้นพูดอะไรกันอีก ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ยินแล้ว ทั้งหัวของเขามีแต่เสียงอื้ออึง ภาพเบื้องหน้ามืดสนิท ท้องนภาพลิกกลับ กว่าเขาจะได้สติกลับคืนมาก็พบว่าจนเองนั่งทรุดอยู่บนพื้นแล้ว
เว่ยกงกงเองก็คุกเข่าอยู่ข้างกายเขา สีหน้าเป็นกังวลพลางเขย่าร่างเขาไม่หยุด “ฝ่าบาท…ฝ่าบาท…ฝ่าบาท…”
เหงื่อผุดซึมไปทั่วร่างของฮ่องเต้
เขาเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก “เสด็จแม่เล่า”
“ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ…ข้าน้อยไม่เห็นพวกเขาออกมา…คงเดินออกทางประตูหลัง” เว่ยกงกงขอบตาแดงก่ำ น้ำเสียงสะอื้น “ฝ่าบาท ท่านทำข้าน้อยตกใจแทบแย่…”
“พยุงเราลุกขึ้นที…” ฮ่องเต้ยื่นแขนให้เว่ยกงกงอย่างเอื่อยเฉื่อย
เว่ยกงกงปาดน้ำตา ก่อนจะประคองร่างของฮ่องเต้ขึ้นมา “ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ราวกับหุ่นกระบอกไร้วิญญาณ หันหลังกลับทั้งทียังสติเลื่อนลอย “กลับตำหนักฮว๋าชิง…”
ฮ่องเต้กับเว่ยกงกงเดินจากไปได้ไม่นาน ด้านหลังภูเขาจำลองใกล้กับห้องสุขาก็มีเงาร่างของคนสองคนเดินตามกันออกมา
ทั้งสองสวมชุดของขันทีหนุ่ม เพียงแต่รูปร่างนั้นสูงใหญ่กว่าขันทีทั่วไป
เซียวลิ่วหลังที่เป็นหนึ่งในขันทีก็เอ่ยขึ้น “เจ้าพูดนอกบท”
กู้เฉิงเฟิงที่เป็นขันทีอีกคนหนึ่งจิปากอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าเปล่าเสียหน่อย ก็พูดตามบทที่เจ้าให้มาทั้งนั้น”
เซียวลิ่วหลังมองบทพูดเล่มน้อยในมือของกู้เฉิงเฟิง ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ในบทไม่ได้เขียนว่าไอ้เป๋”
กู้เฉิงเฟิง “…เหอะ ข้าก็แค่เล่นไปตามอารมณ์น่ะ ผลที่ออกมาก็ดีกว่าไม่ใช่หรือ!”
เซียวลิ่วหลัง “หักยาปลูกผมหนึ่งขวด”
กู้เฉิงเฟิง “?!”
เกินไปแล้วนะ!
เขาอุตส่าห์ตบปากรับคำว่าจะแสดงละครดัดเสียงเป็นผู้หญิง แถมยังต้องเล่นทั้งสองบทอีกต่างหาก! นางเด็กนั่นให้เขาเลียนเสียงผู้หญิงเขาก็แทบแย่แล้ว แต่เจ้าหมอนี่เหตุใดถึงได้โหดเหี้ยมเสียยิ่งกว่านางอีก
ไม่สิ นางเด็กนั่นใจเหี้ยมโดยแท้ แต่เจ้าหมอนี่หน้าเนื้อใจเสือ!
ดูท่าทางไร้พิษภัย แต่ความจริงเคี้ยวลากดินยิ่งกว่าใคร!
เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเรียบ “เอาละ ไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้าแล้ว ข้ากลับไปดูแลเจียวเจียวล่ะ”
กู้เฉิงเฟิงเดือดดาลจนไม่รู้จะเดือดอย่างไร “อย่างนางยังต้องดูแลอีกหรือ ใช่ว่าบาดเจ็บจริงเสียหน่อย! กระโดดโลนเต้นได้ถึงเพียงนั้น ปีนต้นไม้แข่งกับลิงยังไหวเลย!”
…
เมื่อฮ่องเต้กลับมาถึงตำหนักฮว๋าชิงก็อ่อนแรงทรุดลงในทันที เขาไม่ได้หมดสติ แต่ไม่มีกำลังใจจะหยัดยืนอีกต่อไป เขานอนลงบนแท่นบรรทมมังกร บนใบหน้ามีแต่ความสับสนและความสิ้นหวัง
เรื่องบางเรื่อง หากเร็วกว่านี้ หรือช้าอีกสักหน่อย ผลที่ออกมาคงไม่เป็นเช่นนี้ ทว่าช่างประจวบเหมาะเหลือเกิน ยาดำที่ออกฤทธิ์กับไทเฮากำลังสิ้นฤทธิ์พอดี ส่วนยาดำที่ออกฤทธิ์กับจิ้งไท่เฟยนั้นกลับกำลังแผลงฤทธิ์อย่างรุนแรง
เซียวลิ่วหลังคาดเดาเรื่องราวที่ฮ่องเต้พอจะรับไหวได้อย่างพอดิบพอดี เริ่มต้นจากสิ่งที่เชื่อได้ง่ายที่สุด จากนั้นก็ตามด้วยเรื่องที่น่าตกใจมากที่สุด จากนั้นก็ตบท้ายด้วยความจริงที่เจ็บปวดที่สุด
หัวใจของฮ่องเต้ราวกับถูกมีดกรีดเป็นทางยาว เรื่องราวในอดีตอันโหดร้ายก็ได้ทะลักออกมาพร้อมกับเลือดแดงสด
แน่นอนว่าฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้อยู่วันยังค่ำ แม้จะไม่มีข้อครหามากมายดั่งฮ่องเต้พระองค์ก่อน แต่เขาก็เป็นประมุขแห่งแคว้น ไม่ควรลงโทษใครสักคนเพียงเพราะคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค
คำพูดของเซียวลิ่วหลังนั้นเผยเบาะแสสำคัญออกมามากมาย…สังหาร องครักษ์หลงอิ่ง วางยา หมอยาจากแคว้นเยี่ยน
องครักษ์หลงอิ่งนั้นคือเครื่องสังหารโดยแท้ ไม่มีความคิดความอ่านเหมือนคนทั่วไป ไม่สามารถเค้นความจริงออกมาจากปากของพวกเขาได้ แต่ภายในข้อเท็จจริงมากมายนั้น หากพิสูจน์ได้เพียงหนึ่งอย่าง ก็สามารถทำให้เขาเชื่อเรื่องราวทั้งหมดได้
“เรียกเซวียนผิงโหวมา” ฮ่องเต้ตรัส
“ฝ่าบาท เซวียนผิงโหวไปเยี่ยมองค์หญิงซิ่นหยางที่เขาเฟิงตูพ่ะย่ะค่ะ ท่านลืมไปแล้วหรือ” เว่ยกงกงเอ่ย
เซวียนผิงโหวเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก หากจะออกนอกเมืองหลวงสักวันสองวันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากเดินทางไกลอย่างไรก็ต้องรายงานต่อราชสำนัก
“เราลืมไปเสียสนิทเลย…” ฮ่องเต้รู้สึกว่าหัวสมองของตัวเองนับวันยิ่งไม่ได้เรื่อง เขากดความปวดหัวเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยกับเว่ยกงกง “เช่นนั้นก็เรียกกู้เฉามา”
เว่ยกงกงรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ”
“ช้าก่อน” ฮ่องเต้เอ่ยรั้งเขา
เว่ยกงกงค้อมตัว “ฝ่าบาทมีรับสั่งอะไรอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้อยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออกจึงโบกมือปัด “ช่างเถิด เรียกกู้เฉามาก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยกงกงสั่งให้ยอดฝีมือของวังหลวงสองนายไปตามตัวท่านเหล่าโหวมาโดยเร็วที่สุด
ท่านเหล่าโหวไม่รู้ว่าฮ่องเต้มีเรื่องอันใดถึงเรียกตน นึกว่าฮ่องเต้ยังคงขุ่นข้องหมองใจเรื่องความสัมพันธ์ของตนกับจิ้งไท่เฟย เขาสาบานว่าเขากับจิ้งไท่เฟยนั้นตัดสัมพันธ์กันอย่างเด็ดขาดแล้ว ไม่ได้ไปมาหาสู่อีกต่อไป
“เราถามเจ้า ในแคว้นเจามีหมอยาแคว้นเยี่ยนอยู่หรือไม่”
นี่คือประโยคแรกของฮ่องเต้ ในใจของฮ่องเต้สับสนวุ่นวาย ไม่มีพิธีรีตรองกล่าวนามของประมุขใดๆ ทั้งสิ้น
ท่านเหล่าโหวชะงักไป ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฮ่องเต้ถึงถามเช่นนี้ แต่ก็ตอบออกไปตามความจริง “ในเมืองหลวงมีโรงประลองใต้ดินอยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีหมอยาจากแคว้นเยียน ฝ่าบาทประสงค์จะเชิญหมอยามาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เอ่ยด้วยน้ำเสี่ยงห่อเหี่ยว “ไม่ต้องหรอก เจ้าช่วยไปซื้อยาให้ข้าสองอย่าง ยาดำกกับยาขาว แล้วก็ถามด้วยว่า ยานี้ใช้ทำอะไร มีใครเคยซื้อบ้าง”
“…พ่ะย่ะค่ะ”
แปลกนัก อะไรคือยาดำยาขาว
สงสัยก็ส่วนสงสัย แต่ท่านเหล่าโหวก็น้อมรับบัญชา
หมอยาแคว้นเยียนนั้นเป็นคนใหญ่คนโตในโรงประลองใต้ดิน คนทั่วไปไม่มีทางได้เข้าพบเขา โชคดีที่ฮ่องเต้นั้นถามท่านเหล่าโหว
ท่านเหล่าโหวกลับมาอย่างรวดเร็ว “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมซื้อมาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ หมอยาผู้นั้นบอกว่ายาทั้งสองขนานใช้ควบคุมคน ขนานแรกทำให้รู้สึกรักใคร่คนที่วางยา ส่วนอีกขนานนั้นทำให้เกลียดชังคนที่วางยา ยานั้นขายหมดแล้ว ส่วนขายให้ผู้ใดนั้นเขาไม่สะดวกเปิดเผย เพราะเป็นกฎการค้า แต่เขาบอกกับกระหม่อมว่า คนที่ซื้อยาประเภทนี้มีไม่มาก ประการแรกเป็นเพราะราคาสูง ประการที่สองเป็นเพราะตัวยานั้นหายากนัก ต่อให้ใช้เวลาหลายปีก็ใช่ว่าจะสามารถหาวัตถุดิบยาได้ครบ ปีนี้เขาปรุงยาออกมาได้ไม่ถึงสิบเม็ดด้วยซ้ำ แล้วก็ถูกลูกค้าคนหนึ่งเหมาไปทั้งหมด”
คนเดียว
เช่นนั้นก็แปลว่าไม่มีทางที่ทั้งสองฝ่ายจะวางยาเขาได้
ส่วนเป็นฝ่ายใดนั้น คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ก่อนที่จะได้เห็นยานั้นกับตา ฮ่องเต้ยังอยากจะให้โอกาสจิ้งไท่เฟยอีกสักครั้ง
เขาไม่อยากเชื่อว่าความรักใคร่ที่ตนมีต่อนางมานานหลายปีนั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
ท่านเหล่าโหวเอ่ย “หมอยาผู้นั้นบอกว่า หากต้องการซื้อยา เกรงว่าต้องรออีกหลายปี หรือเป็นสิบปีก็ไม่แน่…”
“เจ้ากลับไปเถิด” ฮ่องเต้ตัดบทเขา
ท่านเหล่าโหวชะงักไป สัมผัสได้ว่าสีหน้าท่าทางของฮ่องเต้นั้นดูแปลกไป เขาถามอย่างเป็นกังวล “ฝ่าบาท พระองค์เป็นอะไรไปหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พึมพำ “เราไม่เป็นอะไร เรื่องนี้เจ้าห้ามบอกใครเป็นอันขาด”
ท่านเหล่าโหวเก็บความสงสัยไว้ในใจ ก่อนจะยกมือคำนับ “กระหม่อมขอทูลลา”
หลังจากท่านเหล่าโหวกลับไป ฮ่องเต้ก็เรียกยอดฝีมือของวังหลวงคนหนึ่งมา แล้วยื่นป้ายหยกให้เขา “เจ้าไปตามองครักษ์หลงอิ่งมาสักคน อย่าให้ผู้ใดจับได้เป็นอันขาด”
“พ่ะย่ะค่ะ” ยอดฝีมือผู้นั้นรับป้ายหยกมาแล้วออกไป
ฮ่องเต้มอบองครักษ์หลงอิ่งให้กับจิ้งไท่เฟยเพื่อให้คุ้มครองความปลอดภัยแก่นาง แต่มิได้หมายความว่าเขาไม่ใช่นายขององครักษ์หลงอิ่งอีกต่อไป
องครักษ์หลงอิ่งนั้นเชื่อฟังคำสั่งของฮ่องเต้พระองค์ก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อสิ้นพระชนม์ก็ย่อมเชื่อฟังเขา
คำสั่งของเขานั้นอยู่เหนือคำสั่งของจิ้งไท่เฟย
ไม่นานองครักษ์หลงอิ่งก็มาถึง
ฮ่องเต้ถาม “เจ้าลอบสังหารหมอเทวดาน้อยใช่หรือไม่”
องครักษ์หลงอิ่งไม่ตอบ
ฮ่องเต้หัวเราะเยาะตัวเอง นั่นสินะ องครักษ์หลงอิ่งจะตอบได้อย่างไร เพราะเขาไม่ได้ให้องครักษ์หลงอิ้งดูภาพเหมือนของหมอเทวดาน้อย
แต่ก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าเขาทำตามคำสั่งก็พอ
ฮ่องเต้หันไปทางองครักษ์หลงอิ่ง เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “นำยาทั้งหมดในสำนักชีมาให้เรา!”