สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 389 เจ้าข้าวเจ้าของ (2)
บทที่ 389 เจ้าข้าวเจ้าของ (2)
ฮ่องเต้ลูบจมูกไปมาอย่างโมโห พร้อมกับเอ่ยต่อ “พรุ่งนี้เข้าประชุมเช้าด้วยกันสิ”
เว่ยกงกงทนดูต่อไม่ได้อีกแล้ว
ไปขอบะหมี่เป็ดที่ตำหนักเหรินโซ่วมากินชามหนึ่งแล้ว ฮ่องเต้จึงสีพระพักตร์แจ่มใสขึ้น “เรารู้สึกว่าคืนนี้เรายังอ่านฎีกาได้อีกเป็นตั้งทั้งคืนเลย!”
ผลปรากฏว่ากลับถึงตำหนักบรรทมก็ล้มตัวลงแท่นบรรทมก็หลับไปเลย!
เว่ยกงกง “…”
หลับปุ๊บปั๊บเป็นอย่างไรให้มาดูนี่
ทรงหลับสนิทมาก ไม่ฝันร้ายอีกแล้วด้วย
วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่ทันสาง เว่ยกงกงก็ปลุกฮ่องเต้ให้ตื่นบรรทม “ฝ่าบาท ถึงเวลาประชุมเช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” ฮ่องเต้ไม่ได้เป็นคนขี้เซา พอถูกปลุกก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคลุมมังกรอย่างรวดเร็ว “จัดเกี้ยวไปตำหนักเหรินโซ่ว”
ต้องโทษฤทธิ์ยาสมควรตายนี่ให้หมด พระองค์จะไประชุมด้วยกันกับเสด็จแม่!
เว่ยกงกงรู้สึกว่าฤทธิ์มันแปลกๆ พิกล แต่เขานึกได้ว่าหมอเทวดาน้อยกับใต้เท้าเซียวไม่น่าโกหกหลอกลวงฝ่าบาท ดังนั้นฝ่าบาททรงกลับไปเหมือนตอนเด็กๆ จริงๆ กลายเป็นเด็กน้ำมูกย้อยติดคนคนนั้นแล้วรึ
ถูกต้อง ตอนเด็กๆ ฮ่องเต้มักจะน้ำมูกไหลบ่อยๆ
แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นกับตา แต่ได้ยินเหอกงกงบอก
ซ้ำยังมักจะติดไทเฮาด้วย ติดเสียจนแย่งความรักกันกับองค์หญิงหนิงอันเลยทีเดียว
เฮ้อ อดีตไม่อาจหวนคืนได้แล้ว!
“อ๊ะ ฝ่าบาท” จู่ๆ เว่ยกงกงก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “เมื่อครู่นี้เหอกงกงมาหา ถามฝ่าบาทว่าจะจัดการจิ้งไท่เฟยอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่ฮ่องเต้แตกหักกับจิ้งไทเฟย ก็กุมตัวจิ้งไทเฟยไว้ที่สำนักชี ให้เหอกงกงแอบเฝ้าไว้
สายตาฮ่องเต้พลันเย็นเยียบขึ้น “เรายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะจัดการนางอย่างไรดี แม้ว่านางจะทำผิดใหญ่หลวง แต่อย่างไรเสียก็เป็นเสด็จแม่ของเรา นางเลี้ยงดูเรามา ก็เหมือนนางเป็นมารดาแท้ๆ ของเรา เราจะฆ่ามารดาได้รึ”
นั่นน่ะสิ ไม่ว่านางจะทำผิดใหญ่หลวงเพียงใดสุดท้ายก็ยังเป็นมารดาของฮ่องเต้อยู่ดี ผู้คนใต้หล้าสามารถปราบปรามนางได้ แต่ฮ่องเต้ไม่อาจกำจัดนางด้วยมือพระองค์เองได้
เว่ยกงกงพึมพำ “หึ เรียกความโหดเหี้ยมที่ท่านมีต่อไทเฮาในตอนนั้นออกมาสิ!”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” ฮ่องเต้หันมองเขา
เว่ยกงกงตกใจยกใหญ่ รีบปิดปากตัวเองไว้ “ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
ปากบอนอีกแล้ว น่าตบนัก!
ฮ่องเต้กรอกตาใส่เขาก่อนเอ่ย “เจ้าคิดว่าเราให้เหอซานไปเฝ้าสำนักชีไว้เพื่อการใดกันล่ะ”
เว่ยกงกงชะงัก “ฝ่าบาททรง…”
ฮ่องเต้สีพระพักตร์ซับซ้อน “เราอยากรู้ว่าหลายปีมานี้นางเป็นคนวางแผนเองคนเดียว หรือว่ามีคนสมคบคิดด้วย ต้องจับรวบมาให้หมดจะเป็นการดีที่สุด”
ความรู้สึกที่มีต่อจิ้งไท่เฟยไม่มีทางจืดจางไปได้เพียงไม่กี่วัน พูดถึงจิ้งไท่เฟยแล้วฮ่องเต้ก็ยังคงเสียพระทัยอยู่ แต่ไม่ได้เห็นอกเห็นใจอีกแล้ว
ความไว้เนื้อเชื่อใจเหล่านี้พังทลายลงภายในคืนเดียว และไม่มีทางสร้างขึ้นได้อีก
ฮ่องเต้เอ่ยเสียงขรึม “เจ้าส่งคนไปจับตาดูที่จวนหย่งอันป๋อด้วย”
จวนหย่งอันป๋อเป็นบ้านเดิมของจิ้งไท่เฟย ฮ่องเต้ไม่ได้สงสัยพวกเขามากนัก ทายาทของจวนหย่งอันป๋อล้วนเป็นพวกที่เข็นไม่ขึ้นแล้ว แม้แต่หย่งอันป๋อเองก็ยังเป็นคนไร้สามารถ
เพียงแต่ยามนี้จิ้งไท่เฟยโดนกักบริเวณสถานเบาแล้ว หากนางมีคนสมคบคิดด้วยจริงๆ บางทีจวนหย่งอันป๋ออาจจะเป็นโอกาสเดียวที่นางไปมาหาสู่ด้วยที่สุด
ฮ่องเต้หยุดเว้นก่อนเอ่ยต่อ “ยังมีอีกเรื่องที่เรายังคิดไม่ตก”
เว่ยกงกงเอ่ย “ฝ่าบาทรับสั่งมาพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เอ่ยอย่างฉงน “ตอนนั้นเราให้องครักษ์หลงอิ่งกับนางไปสี่คน เหตุใดจึงเหลืออยู่แค่คนเดียว อีกสามคนไปไหนแล้ว เรื่องนี้ก็ต้องไปสืบมาด้วย เราไม่อยากไปถามนางด้วยตัวเอง เราไม่เชื่อถ้อยคำใดๆ จากปากนางอีกแล้ว และเราก็ไม่อยาก…เห็นหน้านางอีกแล้วด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงขานรับ
……
ณ ตรอกปี้สุ่ย คนทั้งครอบครัวทานข้าวเช้ากันเรียบร้อย กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นไปสำนักบัณฑิตชิงเหอแล้ว จี้จิ่วอาวุโสพาเสี่ยวจิ้งคงไปกั๋วจื่อเจียนแล้ว กู้เจียวส่งเซียวลิ่วหลังไปสำนักฮั่นหลินแล้วเช่นกัน
เซียวลิ่วหลังใจลอย เหมือนได้ย้อนกลับไปใช้ชีวิตที่ชนบทที่นางไปส่งเขาเรียนที่สำนักบัณฑิตเทียนเซียงเลย
เขายังจำได้ว่ามีอยู่คราหนึ่งบนรถเกวียนไม่เหลือที่ว่างแล้ว นางก็เดินเท้าสิบกว่าลี้ เพื่อไม่ให้ระหว่างทางมีใครมารังแกเขาและไล่เขาลงจากรถอีก
“ถึงแล้ว” กู้เจียวเอ่ยกับเซียวลิ่วหลัง
เซียวลิ่วหลังเบนสายตาตกลงบนแก้มแดงระเรื่อของนางที่เกิดจากการเดินเท้า หน้าผากนางมีเม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดออกมา เซียวลิ่วหลังยกมือขึ้นไปซับเหงื่อให้นาง
แต่กู้เจียวกลับกางแขนออก แล้วขยับไปใกล้อ้อมอกเขาเบาๆ กอดเอวแกร่งของเขาไว้
ร่างเขาพลันแข็งทื่อ “เจ้า…”
“ไม่อยากกอดหรือ” ยื่นมือออกมาเสียขนาดนี้แล้ว
เซียวลิ่วหลังอ้าปากพะงาบ
นั่นเพราะจะเช็ดเหงื่อให้เจ้าต่างหากเล่า
“…อืม” คำพูดติดอยู่ปลายลิ้นแล้วเขากลับเปลี่ยนเป็นขานรับแทน เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดจึงไม่เอาอ่าวเช่นนี้
กู้เจียวยืดตัวขึ้นจากอ้อมอกเขา ดวงตาประกายสดใสคู่นั้นจ้องมองเขา “เจ้าเลิกงานแล้วข้าจะมารับนะ”
“…ได้สิ”
สุดท้ายก็หมดทางจะปฏิเสธ
กู้เจียวหยักยกมุมปากขึ้น “เจ้าเข้าไปเถอะ ข้ากลับแล้ว”
“อืม” เซียวลิ่วหลังขานรับเบาๆ แต่ยังไม่เดินเข้าไป “เจียวเจียว”
“หืม” กู้เจียวหันกลับมา ดวงตาสดใสมองเขา
“ครอบครัวของหนิงจื้อหย่วนมาเมืองหลวง เชิญพวกเราให้ไปเป็นแขกบ้านเขา”
“ได้สิ” กู้เจียวเอ่ย “ไปเมื่อใดล่ะ”
เซียวลิ่วหลังครุ่นคิด “วันหยุดหน้ากระมัง ตอนสิ้นเดือน”
“ได้สิ” กู้เจียวขานรับรวดเร็วไร้ความลังเลเลยแม้แต่น้อย
เด็กโง่ รู้หรือไม่ว่าไปครานี้ต้องไปในฐานะภรรยาข้า ต่อไปนี้หากคิดจะบายเบี่ยงก็ยากแล้ว
กู้เจียวโบกแขนเสื้อจากไป
เซียวลิ่วหลังจ้องมองแผ่นหลังนางนิ่ง มองส่งนางหายลับไปจากหัวมุมถนนแล้วจึงได้หันหลังเดินเข้าสำนักฮั่นหลิน
ทว่าไม่รู้เหมือนกันว่าบังเอิญหรือไม่ นึกไม่ถึงว่าอันจวิ้นอ๋องจะยืนอยู่หน้าประตูสำนักฮั่นหลินพอดี และไม่รู้ว่ายืนอยู่นานเท่าใดแล้ว กำลังมองไปยังทิศทางเมื่อครู่ที่เขามอง
“จวงเปี้ยนซิว” เซียวลิ่วหลังเอ่ยทักทายนิ่งๆ
อันจวิ้นอ๋องไร้ความเขินอายที่โดนจับได้สักนิด เขาดึงสายตากลับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ก่อนมองไปยังเซียวลิ่วหลัง “เซียวซิวจ้วน”
เซียวลิ่วหลังแววตาเป็นประกายเย็นเยียบ ทว่าสีหน้ากลับสบายๆ “ยินดีกับจวงเปี้ยนซิวด้วย”
อันจวิ้นอ๋องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “ยินดีอะไรกับข้า”
“เรื่องหมั้นหมายน่ะสิ”
“กับน้องสาวภรรยาข้า”
“ได้ยินว่าฝ่าบาททรงพระราชทานสมรสให้ กำหนดฤกษ์ยามแล้วด้วย”
“ข้ากับพี่สาวของพวกเจ้าจะไปร่วมงานด้วยนะ”
“ขอให้ครองคู่กันไปจนแก่เฒ่า”
อันจวิ้นอ๋องกำหมัดแน่น
เขาแค่แอบมองกู้เจียวแค่นี้ ก็โดนเซียวลิ่วหลังแทงใจดำอย่างไร้เยื่อใยเลย
นึกไม่ถึงว่าความหึงหวงของบุรุษผู้นี้จะน่ากลัวถึงเพียงนี้