สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 399 ลิ่วหลังปกป้องภรรยา
บทที่ 399 ลิ่วหลังปกป้องภรรยา
เหยี่ยวเป็นสัตว์ที่ดุร้ายโดยธรรมชาติ อย่าเห็นว่าเป็นแค่นกที่เลี้ยงไว้ในตรอกปี้สุ่ย หากสัญชาตญาณดิบถูกปลุกขึ้นมาเมื่อใด ก็จะกลายเป็นพญาเหยี่ยวโดยแท้เช่นเดิม
ชายชุดดำไม่คิดไม่ฝันเลยว่าลูกธนูที่ตนเองยิงออกไปจะถูกเหยี่ยวตัวหนึ่งจับเอาไว้ได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น
เสี่ยวจิ่วปล่อยลูกธนูที่มันจับได้ทิ้งลงบนพื้น ก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาชายชุดดำที่ยิงธนูเมื่อครู่ แล้วจู่โจมจิกเข้าที่ดวงตาข้างหนึ่งของเขา
ชายชุดดำกุมดวงตาที่เลือดสดไหลอาบ ก่อนจะล้มลงพร้อมกับร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
กู้เจียวได้ยินเสียงเคลื่อนไหวตามหลังมา ฝีเท้าชะงักลง นางไม่กล้าหยุดนานเกินไปกว่านั้น จึงมุ่งหน้าวิ่งออกไป แทบจะวิ่งจากทางไปใต้ของป่าทะลุไปยังฝั่งเหนือแล้ว
สุดท้ายนางก็หมดแรงลง ทรุดตัวนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
นางหอบหายใจกระชั้น เนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะ ไม่รู้ว่าเลือดหรือเหงื่อกันแน่
นางกระหายเหลือเกิน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีน้ำติดตัวมาเลย ละแวกนี้ก็ไม่มีแหล่งน้ำหรือต่อให้มีนางก็ไม่มีแรงเดินไปแล้ว
นางหมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้วจริงๆ
เสี่ยวจิ่วกางปีกกว้างแล้วหยุดลงบนบ่าของกู้เจียว ใช้จะงอยปากนกคลอเคลียใบหน้าของนาง
กู้เจียวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เจ้ายังจำได้ด้วยหรือว่าตนเองเป็นนกเหยี่ยวตัวหนึ่ง
จำได้ว่าเป็นนกยังไม่เท่าไหร่ แต่ยังรู้จักเอาหน้ามาออดอ้อนซุกไซ้เหมือนเจ้าเสี่ยวปา หากเจ้ามีหางป่านนี้คงกระดิกเป็นแล้วเหมือนกันกระมัง
เสี่ยวจิ่วส่งเสียงร้องออกมาจากลำคอ ไม่รู้ว่าอยากจะบอกอะไร เพียงครู่เดียวก็กระพือปีกบินออกไป
พอเสี่ยวจิ่วกลับมา ก็มาพร้อมกับไข่นกหนึ่งฟอง
มันวางไข่นกลงบนชายผ้าของชุดกู้เจียวอย่างระมัดระวัง วางเสร็จก็บินออกไป พอกลับมาอีกครั้งนี้ปากก็คาบไข่นกมาอีกหนึ่งฟอง
บินไปบินกลับอยู่หลายหน จนชายผ้าของกู้เจียวมีไข่รวมทั้งหมดแปดฟอง
มองดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่ไข่ของนกชนิดเดียวกันเลยสักฟองเดียว งั้นเจ้านี่ไปขโมยลูกตัวอื่นมาจากกี่รังกันแน่
นกทั้งป่าคงไม่คาดคิดเช่นกันว่ากลางดึกเช่นนี้จะมีเหยี่ยวตัวหนึ่งออกมาขโมยลูกตัวเองไป
เสี่ยวจิ่วก็ยังใจดีมีเมตตา แต่ละรังจึงขโมยมาเพียงแค่หนึ่งฟองเท่านั้น
ที่นี่ก่อไฟไม่ได้ หากจะว่ากันตามตรงก็คือกู้เจียวไม่เหลือเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นมาก่อไฟแล้ว อุณหภูมิร่างกายของนางก็ลดฮวบ นางถึงขีดจำกัดของร่างกายแล้ว
กินไข่ดิบก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในชาติก่อน นางเองไม่ใช่คนขี้ขลาด ทั้งยังไม่ได้เป็นแม่พระขนาดนั้น อ่อนแอก็แพ้ไปต่างหากคือสัจธรรมของโลก
เสี่ยวจิ่วคงเห็นว่านางไร้เรี่ยวแรง จึงคาบเขาไข่นกมาให้…ก่อนจะใช้จะงอยปากจิกให้เป็นรู
กู้เจียวกรอกไข่เข้าปากจนหมด
เสี่ยวจิ่วใช้ปีกกระพือกวาดเปลือกไข่ กวาดออกไปไกล หลังจากนั้นก็โผเข้าหาอ้อมกอดของกู้เจียว ซุกไซ้ตัวเลียนแบบเจ้าเสี่ยวปา นอนอยู่ในวงแขนของกู้เจียวเพื่อหาความอบอุ่น
ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ของไข่ดิบหรือว่าเสี่ยวจิ่วกันแน่ อุณหภูมิร่างกายของนางก็ค่อยๆ เพิ่มกลับมาอีกครั้ง ริมฝีปากที่ขาวซีดก็เริ่มมีระเรื่อขึ้น
“กู!”
เสี่ยวจิ่วส่งเสียงร้องกูๆ มาจากลำคอ ผงกหัวขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก พลางมองไปยังอีกฟากหนึ่งของป่า
กู้เจียวไม่อยากจะเชื่อ “ไม่หรอกกระมัง ไล่ตามมาทันแล้วรึ”
นางมั่นใจอย่างมากว่ามือสังหารเหล่านั้นบาดเจ็บเอาการเพราะระเบิดของนาง นั่นแสดงว่ามีระลอกที่สามตามมาอีกอย่างนั้นหรือ
หญิงผู้นี้เลี้ยงมือสังหารไว้มากมายเพียงใดกัน
โชคดีที่กำลังของนางฟื้นคืนมาบ้างแล้ว ไม่ถึงขั้นต้องนั่งรอความตาย
“เสี่ยวจิ่ว พวกเรารีบหนีเร็ว!”
เสี่ยวจิ่วบินขึ้นสูง นำทางให้นาง
เจ้าพวกนั้นไล่ตามมาแล้วจริงๆ
มีทั้งหมดแปดคน
เยี่ยมมาก เยี่ยมจริงๆ
นางใช้ลูกแก้วเพลิงดำหมดไปแล้ว
เช่นนั้นนางก็คงต้องจัดการมันเสียตรงนี้
ทว่าการเข่นฆ่าในจินตนาการนั้นกลับไม่เกิดขึ้น วินาทีที่คนพวกนั้นกำลังพุ่งตัวเข้ามา ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งก็พลันปรากฏตัวขึ้นกลางป่า สวมชุดสีดำพร้อมหน้ากากปกปิดในหน้า ในมือถือกระบี่ส่องประกายเงาวับ
บุรุษผู้นี้วรยุทธ์สูงส่งนัก สูงส่งเพียงใดน่ะหรือ ดูจากที่เขาปลิดชีพมือสังหารทั้งแปดก็คงเข้าใจดี
แม้ศัตรูจะมีมากกว่า แต่กลับไม่ไหวหวั่นแม้แต่นิด
‘ผู้ใดกัน เหตุใดถึงได้เก่งกาจเช่นนี้ นั่นคือองครักษ์หลงอิ่งที่จิ้งไท่เฟยฝึกปรือมาเชียวนะ ห่างชั้นกับองครักษ์หลงอิ่งตัวจริงแค่เพียงก้าวเดียว…’
เทียบกับคำถามว่าคนผู้นี้คือใคร เหตุใดถึงได้ช่วยตน กู้เจียวกลับหลุดประเด็นอย่างเห็นได้ชัด
กู้เจียวนั้นไม่มีทางไว้เนื้อเชื่อใจคนผู้นี้เพียงเพราะเขาออกมาจัดการเหล่ามือสังหาร ปกติแล้วหากเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ย่อมเป็นโอกาสดีที่นางจะหนีเอาตัวรอดไป
ทว่านางไม่นานนางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยจากร่างของอีกฝ่าย
การออกอาวุธ กระบวนท่า และรังสีที่แผ่ออกมา…
เหตุใดถึงได้เหมือนองครักษ์หลงอิ่งนัก
กู้เจียวเคยประมือองครักษ์หลงอิ่ง และจำได้เป็นอย่างดี นางมั่นใจว่าไม่มีทางจำผิด
ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทรู้ว่านางออกจากเมืองหลวง เพียงแต่ฝ่าบาทไม่รู้ว่าไปตามหานางได้ที่ไหน จึงไม่ได้ตามมาทันที
หรือว่าจะตามมาทันแล้วจริงๆ
หากนี่คือองครักษ์หลงอิ่งของฝ่าบาท เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ยามนี้เขาคงไม่ทำร้ายนาง
กู้เจียวตัดสินใจว่าจะหยุดอยู่ตรงนั้น เพื่อตามหากู้เฉิงเฟิงกับท่านย่ากับเขา
แต่ก็ไม่รู้ว่า…เขาเอาชนะทั้งแปดคนนั่นได้อย่างไร
ความจริงปรากฏแล้วว่ากู้เจียวนั้นคิดมากไปเอง ต่อให้คนพวกนั้นฝีมือห่างชั้นกับองครักษ์หลงอิ่งเพียงแค่ก้าวเดียว แต่ก้าวนั้นคงยาวไกลเหมือนดั่งข้ามขอบฟ้า
เขาถึงได้จัดการมือสังหารของจิ้งไท่เฟยจนสิ้นซากภายในพริบตา
กู้เจียวพยักหน้า ฝีมือการต่อสู้ระดับนี้ สมกับเป็นองครักษ์หลงอิ่งจริงๆ
แต่ใครจะไปคาดคิดว่า วินาทีต่อมาจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น องครักษ์หลงอิ่งผู้นั้นกลับวาดดาบมาทางกู้เจียว มองด้วยแววตาอาฆาตแค้นเสียด้วย
กู้เจียวมองเขาด้วยความสงสัย
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
แม้แต่นางก็โดนฆ่าด้วยหรือ
กระบี่เล่มยาวขององครักษ์หลงอิ่งเล็งมาที่ท่อนแขนของกู้เจียว เสี่ยวจิ่วบินถลาลงมา พุ่งเข้าใส่องครักษ์หลงอิ่งอย่างไม่กลัวตาย
นี่คือองครักษ์หลงอิ่งตัวจริง แม้เสี่ยวจิ่วจะกระแทกอย่างแรงเพียงใดอีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน แต่ตัวมันเองต่างหากที่ตกใจกับฝ่ามือปัดรำคาญขององครักษ์หลงอิ่งจนบินหนีไป
ทว่านั่นก็ทำให้องครักษ์หลงอิ่งเสียจังหวะไม่น้อย ช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที ชะตาชีวิตของใครคนหนึ่งก็สามารถพลิกผันได้
วินาทีที่องครักษ์หลงอิ่งวาดกระบี่มาทางกู้เจียวอีกครั้ง ร่างผอมบางขาวซีดของใครคนหนึ่งก็ขวางหน้ากู้เจียวเอาไว้
กระบี่ขององครักษ์หลงอิ่งหยุดอยู่ห่างจากเหนือศีรษะของอีกฝ่ายไม่ถึงคืบ
เขาคนนั้นเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใบหน้างดงามดุจภาพวาด ประณีตจุดหยก แววตาลุ่มลึกดั่งสายน้ำ นัยน์ตาสีนิลสะท้อนภาพกระบี่ยาวขององครักษ์หลงอิ่งที่วาดมาที่ตน
สายตาขององครักษ์หลงอิ่งหยุดลงที่ตรงหน้าชายหนุ่มผู้นั้น เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าของชายหนุ่ม ไม่รู้ว่าต้องการพินิจสิ่งใด ทั้งยังไม่รู้ว่าได้ทำตอบหรือไม่
แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ปลิดชีพชายหนุ่มผู้นั้น
ทั้งยังไม่ฆ่าเด็กสาวที่ชายหนุ่มผู้นั้นพยายามปกป้องอย่างสุดชีวิต
แววตาขององครักษ์หลงอิ่งอ่อนลงก่อนจากไป
ในที่สุดกู้เจียวก็ขยับตัวได้ เมื่อครู่องครักษ์หลงอิ่งใช้พลังปราณควบคุมนางไว้ แม้เสียงยังเปล่งออกมาไม่ได้ นางพลันรู้สึกว่าองครักษ์หลงอิ่งคนเมื่อครู่อาจไม่ใช่คนที่นางเคยประมือด้วยเมื่อคราวก่อน
แตกต่างกันอย่างลิบลับ
หากนางเจอองครักษ์หลงอิ่งที่ฝีมือเหนือชั้นเช่นนี้ตั้งแต่ครั้งแรก นางคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะล้วงลูกแก้วเพลิงดำออกมาด้วยซ้ำ
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” เซียวลิ่วหลังพยุงนาง
“ข้าไม่เป็นอะไร” กู้เจียวส่ายหน้า ใช้หลังมือเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก
ทว่าทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมา
ให้มันได้เช่นนี้สิ
สักวันหนึ่งนางจะเอากระสอบคลุมหัวองครักษ์หลงอิ่งคนนั้นให้ได้!
ทว่าเซียวลิ่วหลังกลับไม่คิดว่านางไม่เป็นอะไร ทั้งตัวนางเต็มไปด้วยคราบเลือด ใบหน้าซีดเผือด ฝ่ามือและหลังมือมีแต่คราบเลือดเกรอะกรัง
กู้เจียวไม่เก็บบาดแผลเหล่านั้นมาใส่ใจด้วยซ้ำ หากเทียบกับบาดแผลเหล่านี้แล้ว ร่างกายของนางเหนื่อยล้าอ่อนกำลังเสียมากกว่า หากได้พักสักคืนก็คงไม่มีปัญหา
นางเหลียวไปมองเซียวลิ่วหลัง “เจ้ามาได้อย่างไรกัน บอกให้เจ้ารอที่เรือนมิใช่หรือ อีกอย่าง เกิดอะไรขึ้นกับองครักษ์หลงอิ่งคนเมื่อครู่ เหตุเขาถึงจะฆ่าข้า เขาคือองครักษ์หลงอิ่งของฝ่าบาทหรือ”
กู้เจียวรู้มาว่าองครักษ์หลงอิ่งในมือฝ่าบาทมีสามคนที่ไปยังค่ายชายแดน แต่นางไม่แน่ใจนักว่าในมือของฝ่าบาทมีองครักษ์เพียงแค่สี่คนหรือเปล่า แต่หนึ่งในนั้นเคยประมือกับนาง นางจึงตัดความเป็นไปได้ข้อนี้ออก เพราะอย่างนั้นไม่ว่าอย่างไรองครักษ์หลงอิ่งคนเมื่อครู่ก็ไม่มีทางเป็นองครักษ์หลงอิ่งของฝ่าบาทแน่นอน
ทั้งสี่คำถามนี้ เซียวลิ่วหลังตอบกลับเพียงแค่ข้อสุดท้าย “ไม่น่าจะใช่”
หากไม่ใช่องครักษ์หลงอิ่งของฝ่าบาท เช่นนั้นหากคิดจะฆ่านางก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
ไม่สิ ก็ยังแปลกอยู่ดี
นางไม่ได้มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอะไรกับเขานี่!
กู้เจียวทอดสายตามองไปทางที่องครักษ์หลงอิ่งจากไป
พอเหลียวไปมอง นางถึงได้พบว่าตนเองวิ่งกลับมาถึงถนนหลวงโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งห่างออกไปไม่ไกลยังมีรถม้าจอดอยู่หลายคัน
องครักษ์หลงอิ่งคนเมื่อครู่ที่เพิ่งเกือบเอาชีวิตนางและฆ่ามือสังหาร กำลังคุ้มกันรถม้าคันหนึ่ง สองมือกอดอกแน่น กลางอกมีกระบี่ด้ามยาว
หากเป็นองครักษ์ธรรมดาย่อมรายงานเจ้านายว่าตนพบเจอสิ่งใดมา แต่องครักษ์หลงอิ่งนั้นไม่
พวกเขาไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง เป็นเพียงแค่อาวุธสังหารเพียงเท่านั้น
ลูกกระเดือกของเซียวลิ่วหลังขยับขึ้นลงอย่างยากลำบาก เรียวนิ้วเสียดสีกันไปมา เหลียวหน้ากลับมา บังคับให้เบนสายตาไปทางอื่น
กู้เจียวมองไปอีกทาง ไม่ทันได้สังเกตความยุ่งเหยิงที่แวบผ่านบนสีหน้าของเซียวลิ่วหลัง นางเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดองครักษ์หลงอิ่งถึงได้ตามไล่ล่าพวกนาง เป็นไปได้ว่าเพราะคิดว่าพวกนางเป็นมือสังหารของศัตรู
แล้วเหตุใดเขาถึงไว้ชีวิตเซียวลิ่วหลัง
แถมยังลูบหน้าเซียวลิ่วหลังอีกต่างหาก
เดี๋ยวนะ หรือว่าเขาถูกใจสามีของนาง
องครักษ์หลงอิ่งเหตุใดถึงสัปดนเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ว่าทั้งแคว้นเจามีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นมิใช่หรือที่มีองครักษ์หลงอิ่ง
แล้วเหตุใดตรงนั้นถึงมีอีกคน
ผู้ใดอยู่บนรถม้าคนนั้นกันแน่