สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 406-2 แม่สามีเจอสะใภ้ (2)
บทที่ 406 แม่สามีเจอสะใภ้ (2)
หลังกลับมาถึงโรงหมอ กู้เจียวมอบเห็ดหลินจือพันปีให้ผู้ดูแลหวัง “เอาอันนี้ไปขายให้ที”
เห็ดหลินจือพันปีเป็นของชั้นเยี่ยมตลอดกาล น่าเสียดายที่ที่เรือนไม่มีใครกิน เอาไปขายเอากำไรงามๆ จะดีกว่า
กู้เจียวเอายามหัศจรรย์พรรค์ลึกพวกนั้นมาให้ผู้ดูแลหวังอยู่บ่อยๆ ผู้ดูแลหวังจึงชินชาเสียแล้ว
“คราวนี้อะไรอีกเล่า” เขาเปิดออกดู แต่กลับตกใจจนแทบจะโยนกล่องทิ้ง “หะ…เห็ดหลินจือดอกใหญ่เพียงนี้ เอามาจากไหนรึ นี่มันเห็ดหลินจือพันปีกระมัง!”
ว่ากันตามตรง เห็ดหลิงจือมีอายุไม่ถึงพันปีหรอก เห็ดหลินจืออายุสิบปีก็หายากแล้ว ส่วนเห็ดหลินจือพันปีในตลาดโดยปกติแล้วล้วนเป็นเห็ดหลินจือที่อายุมากกว่าร้อยปี และหาได้ยากยิ่ง
กู้เจียวเอ่ย “คนให้มาน่ะ อย่าลืมขายให้ราคางามๆ ล่ะ”
“ขอรับ!”
ขายราคาไม่งามได้รึ ไม่ดูเสียบ้างว่านี่มันเห็ดหลินจือกี่ปี!
ฮ่าฮ่า หากปล่อยข่าวว่าได้เห็ดหลินจือพันปีออกไป เมี่ยวโส่วถังก็จะได้หน้าได้ตาในเมืองหลวงอีกครั้ง!
เรื่องกิจการค้าขายนั้นไม่ต้องให้กู้เจียวมาห่วง นางกะจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปโรงประลองใต้ดิน
เดิมทีควรจะไปตั้งแต่บ่ายเมื่อวานแล้ว แต่ดันมีเรื่องขึ้นเสียก่อน นางจึงมาวันนี้แทน
ในขณะที่นางกำลังเดินไปเรือนเล็กของตัวเองนั้น จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงบุรุษร้องเรียกเสียงดังอย่างรีบร้อน “หมอกู้! หมอกู้!”
กู้เจียวชะงักฝีเท้า หันกลับมา
เป็นผู้ป่วยที่มาเย็บแผลเมื่อวานนี้ บัณฑิตแซ่สวี่คนนั้น
“แผลผิดปกติอะไรหรือ” กู้เจียวมองเขาพลางถาม
บัณฑิตวิ่งมาหาอย่างร้อนรน หอบกระชั้นหายใจไม่ทัน นานทีเดียวจึงได้เอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่น “หมอกู้…จะ…เจ้าพูดจาเชื่อถือไม่ได้เช่นนี้ได้อย่างไร”
กู้เจียวชี้ตัวเองอย่างฉงน “ข้า…พูดจาเชื่อถือไม่ได้อย่างนั้นรึ”
บัณฑิตเอ่ยเสียงหอบ “ใช่น่ะสิ…เจ้ารับปากข้าว่า…จะไประ…รักษาปอดให้มารดาสหายร่วมชั้นข้า…มะ…มิใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ไปเล่า”
กู้เจียวเอ่ย “ข้าไปมาแล้ว นางไม่ได้เป็นวัณโรค”
บัณฑิตเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “เพ้อเจ้อ…วันนี้ข้าไปถามสหายมาแล้ว…บ้านเขายังไม่มีหมอมาสักคน…”
กู้เจียวแบมือ “ข้าไปมาแล้วจริงๆ”
บัณฑิตเห็นท่าทางนางเหมือนไม่ได้โกหก เขาชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าไปบ้านหลังไหนมา”
กู้เจียวนึกย้อนพลางเอ่ย “ตามที่เจ้าบอกมา ตรงไปเรื่อยๆ บ้านหลังแรกหลังต้นส้ม”
“ข้าบอกว่าต้นส้มที่ไหน ข้าบอกว่าต้นท้อแท้ๆ…” สีหน้าบัณฑิตชะงักไป “ข้าบอกว่าต้นส้มจริงๆ ด้วย…”
เขาตบหัวตัวเองฉาดใหญ่!
เขาบอกทางผิด!
“ขออภัยขอรับ! แม่นางกู้ ข้าจะจ่ายค่ารักษาให้อีกหน โปรดตามข้าไปทีเถอะ! ท่านป้าซุนป่วยหนักมาจริงๆ…”
กู้เจียวมองสีท้องฟ้า ยังพอมีเวลา นางจึงตามเขาไปถนนใหญ่จูเชวี่ย หาบ้านหลังนั้นเจอแล้วตรวจอาการให้อีกฝ่าย
เป็นวัณโรคจริงๆ
วัณโรคไม่ใช่โรคที่รักษาไม่หายสำหรับนาง เพียงแต่ต้องใช้เวลารักษาที่ยาวนาน ปริมาณยาที่กินก็มาก ค่ายาก็ไม่ใช่ถูกๆ
บัณฑิตแสดงออกว่าเขาจะรับผิดชอบทั้งหมด ขอเพียงกู้เจียวยอมรักษาให้อีกฝ่ายหายได้
กู้เจียวจึงหยิบยาสี่ชนิดที่ใช้รักษาวัณโรคออกมาจากกล่องยา แล้วแบ่งใส่ขวดเล็กๆ ที่พกติดตัวได้ พร้อมกับเขียนวิธีกินและปริมาณเอาไว้ “อีกเจ็ดวันข้าจะมาตรวจซ้ำอีกรอบ”
แม่นางซุนซาบซึ้งเสียจนร้องไห้ “ขอบคุณแม่นางยิ่งนัก”
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก หากจะขอบคุณก็ขอบคุณบัณฑิตสวี่เถอะ” เมื่อกู้เจียวเอ่ยประโยคนี้ นางสังเกตเห็นร่างเล็กที่สนใจใคร่รู้ยืนอยู่ตรงประตู
ทว่าเมื่อกู้เจียวเดินออกมา ร่างเล็กนั้นกลับหายไปแล้ว
กู้เจียวเลิกคิ้ว
สหายร่วมชั้นอย่างนั้นรึ
เพื่อน้องสาวของสหายร่วมชั้นมากกว่ากระมัง
กู้เจียวออกมาจากบ้านตระกูลซุน ปลดหน้ากากอนามัยใส่ถุงผ้าเฉพาะเอาไว้ แล้วเดินไปพลางคิดไปพลาง ในเมื่อเมื่อวานนางไปผิดหลัง เช่นนั้นฮูหยินคนนั้นที่นางรักษาให้เป็นใครกัน
อีกด้านหนึ่ง องค์หญิงซิ่นหยางกับอวี้จิ่นก็กลับมาถึงถนนใหญ่จูเชวี่ยแล้ว
องค์หญิงซิ่นหยางมีจวนองค์หญิงที่เป็นของตัวเองในเมืองหลวง แต่ทุกคนต่างรู้ว่านางไม่มีทางเข้าพักในสถานที่ปวดใจนั้นอีก
เพราะหลงอีมอบเห็ดหลินจือให้คนอื่นไปแล้ว องค์หญิงซิ่นหยางจึงต้องสั่งให้อวี้จิ่นไปเลือกของขวัญเหมือนกันให้ไท่จื่อเฟย
องค์หญิงซิ่นหยางเรียกสาวใช้คนหนึ่งให้มารับใช้
สาวใช้เทชาให้องค์หญิงซิ่นหยาง นางเพิ่งเปิดฝาถ้วยออกก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ “เอ๋ เหตุใดในถ้วยจึงมีของอยู่”
“อะไรรึ” องค์หญิงซิ่นหยางถาม
สาวใช้ยกถ้วยชามาให้ กลิ่นหอมของดอกไม้อันเข้มข้นก็โชยมา ครู่เดียวเท่านั้น ทั่วทั้งห้องก็อวลไปด้วยกลิ่นของดอกไม้ร้อยชนิด
องค์หญิงซิ่นหยางมองยาลูกกลอนสีน้ำตาลในถ้วยชา พลางเผยสีหน้าครุ่นคิดบางอย่างออกมา
“อวี้จิ่น”
“องค์หญิง”
“เจ้าไปวังบูรพาที…”
หนึ่งชั่วยามต่อมา อวี้จิ่นก็มาปรากฏตัวที่เรือนอุ่นของวังบูรพา
ไท่จื่อเฟยมาต้อนรับนางด้วยตัวเอง “ใต้เท้าอวี้จิ่นมาได้อย่างไรเล่า”
อวี้จิ่นเอ่ยอย่างนอบน้อม
“องค์หญิงให้ข้านำของขึ้นชื่อจากเขาเฟิงตูมาให้ไท่จื่อเฟยเพคะ”
ไท่จื่อเฟยยิ้มอ่อนโยน “ท่านอาหญิงช่างใส่ใจนัก”
อวี้จิ่นเอ่ย “แล้วก็…ข้ายังมีอีกเรื่องอยากจะไหว้วานไท่จื่อเฟยหน่อย”
ไท่จื่อเฟยรีบเอ่ย “ใต้เท้าอวี้จิ่นว่ามาได้เลย”
อวี้จิ่นยิ้มอย่างลุแก่โทษพลางเอ่ย “เมื่อครู่ข้าเก็บกวาดห้อง ไม่ทันระวังทำยาลูกกลอนไป่ฮวาที่ไท่จื่อเฟยมอบให้ผสมปนกับยาลูกกลอนเสริมความงามที่ฮองเฮาประทานให้เสียแล้ว ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นยาลูกกลอนไป่ฮวา อันไหนเป็นยาเสริมความงาม”
ไท่จื่อเฟยยิ้มจางๆ “ข้ารู้ เจ้าเอายามาด้วยหรือไม่”
อวี้จิ่นส่งขวดกระเบื้องให้ไท่จื่อเฟย
ไท่จื่อเฟยให้คนเอาจานสะอาดมา แล้วเทยาในขวดกระเบื้องลงไป ด้านในมียาทั้งหมดสามชนิด ชนิดแรกเป็นยาเม็ดสีขาว อีกสองชนิดเป็นยาลูกกลอนสีน้ำตาลขนาดเดียวกัน
ไท่จื่อเฟยไม่มองยาเม็ดสีขาวพวกนั้นเลยสักนิด นางลงมือเลือกยาลูกกลอนไป่ฮวาออกมาอย่างเดียว
“เรียบร้อย!” ไท่จื่อเฟยยิ้มพลางใส่ยาลูกกลอนไป่ฮวาลงไปในขวดกระเบื้องพลางส่งให้อวี้จิ่น
อวี้จิ่นรับขวดกระเบื้องมา แล้วหยิบผ้าออกมาเงียบๆ “จริงสิ ลายมือบนผ้านี้ ไท่จื่อเฟยเคยเห็นมาก่อนหรือไม่”
“ไม่เคยเลย ใครเขียนรึ”
แปลก นางคิดในใจ
อวี้จิ่นกลับมาที่คฤหาสน์บนถนนใหญ่จูเชวี่ย ก่อนจะรายงานให้องค์หญิงซิ่นหยางฟัง
องค์หญิงซิ่นหยางมองไปยังยาเม็ดแบนๆ สีขาวกับลายมือบนโต๊ะ แล้วมองยาลูกกลอนไป่ฮวาในขวดกระเบื้อง หากยังเดาไม่ได้อีกว่ามีคนแตะต้องยาก็คงจะเกินไปหน่อย
อีกทั้งดูจากปฏิกิริยาของหลงอีในสวนหลวงแล้ว คนที่แตะต้องก็คือคุณหนูแห่งจวนติ้งอันโหวคนนั้น
หลงอีไม่ขัดคำสั่งของนาง เขาแค่ส่งของขวัญขอบคุณให้กับคนที่ควรให้อย่างแท้จริง
ทว่าจุดที่น่าสงสัยของเรื่องนี้ค่อนข้างมาก
หลงอีไม่มีทางไม่เห็นอีกฝ่าย แต่หลงอีไม่เพียงแต่จะไม่ห้ามนางเข้าห้องมาแล้ว ยังปล่อยให้นางเปลี่ยนยาตนอีก
นี่เป็นเรื่องแรก
เรื่องที่สอง เหตุใดอีกฝ่ายจึงแอบมาเปลี่ยนยาของนางเล่า ทำร้ายนางรึ แต่ยาเม็ดสีขาวพวกนั้นได้ผลดีกว่าชัดๆ นี่
ช่วยนางอย่างนั้นรึ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เหตุใดต้องช่วยนางด้วยเล่า
แต่นางช่วยตนจริงๆ แล้ววันนี้ที่ศาลาเหตุใดต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักตนด้วย
นี่มันอะไรกัน วิธีเรียกร้องความสนใจจากนางรึ
ไหนจะเรื่องที่นางพักอยู่ที่ถนนจูเชวี่ยนี่อีก ไม่ได้มีคนรู้เท่าใดนัก ไท่จื่อเฟยมาที่นี่ได้ก็เพราะนางส่งอวี้จิ่นเข้าวังไปทูลฮ่องเต้ว่าเดินทางปลอดภัยดี ไท่จื่อเฟยจึงเห็นเข้า
คุณหนูแห่งจวนติ้งอันโหวคนหนึ่งมีพรสวรรค์รู้ชะตาฟ้าดินมาจากไหนจึงได้หาที่นี่เจอ
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ใช่องค์หญิงอ่อนแอเหมือนหนิงอันที่ถูกปกป้องอยู่ใต้ปีกฮ่องเต้และไทเฮา นางผ่านมรสุมและคลื่นใต้น้ำมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ซ้ำยังเคยสูญเสียเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวไปแล้วด้วย
นางไม่มีทางเชื่อใครง่ายๆ และไม่มีทางไปประเมินเจตนาของใครบนโลกนี้ต่ำแน่นอน
นางมองดวงจันทร์กระจ่างนอกหน้าต่าง ปลายนิ้วเคาะบนโต๊ะเบาๆ ทุกครั้งที่เคาะลงไป ฟากฟ้าราวกับเงียบงันไปครู่หนึ่ง
ทันใดนั้น ปลายนิ้วนางก็พลันชะงัก ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ไปพาตัวเด็กคนนั้นมา”