สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 407 หลงอีลำเอียง (1)
บทที่ 407 หลงอีลำเอียง (1)
หลังจากที่กู้เจียวออกมาจากถนนจูเชวี่ยก็ตรงไปขึ้นรถม้าเปลี่ยนเสื้อผ้าไปยังโรงประลองใต้ดิน
ไท่จื่อรออยู่ที่โรงประลองใต้ดินนานแล้ว
ความกระตือรือร้นของบุรุษผู้นี้สูงเสียยิ่งกว่าขุนเขา ลึกเสียยิ่งกว่ามหาสมุทร!
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือวันนี้หนิงอ๋องติดธุระจึงไม่ได้มา
อ๋อ กำลังจะให้พวกเขาสองคนแข่งกันปั่นราคาอยู่เลย
กู้เจียวดันหน้ากากบนใบหน้า บอกลาเหล่าเหอกับจูอวิ่นแล้วออกมาจากห้องบัญชี เลี้ยวไปที่ห้องของไท่จื่อ
นางไปสืบมาแล้วว่าเดิมทีห้องนี้โรงประลองใต้ดินแบ่งให้ยอดฝีมือคนหนึ่งที่มีอันดับสิบเก้าอยู่ ไท่จื่อใช้ทองคำกองโตซื้อสิทธิ์การใช้ห้องมาจากอีกฝ่าย
ส่วนได้ซื้อตัวยอดฝีมือคนนั้นมาหรือไม่นั้นเหล่าเหอก็ไม่แน่ใจ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างยอดฝีมือกับลูกค้า โรงประลองจึงไม่สอดมือไปยุ่ง
อันดับที่สิบเก้า
กู้เจียวทอดมองอันดับยอดฝีมือที่แขวนไว้กับเสา ยามนี้นางยังไม่เป็นแม้แต่ที่โหล่ด้วยซ้ำ
แต่นางก็ไม่ได้รีบร้อน
กู้เจียวมาที่หน้าห้องกุ้ยช่าย…ถุย ไม่ใช่ ห้องของไท่จื่อ ก่อนจะเคาะประตูเบาๆ
ประตูห้องถูกเปิดออกจากด้านใน
ครานี้ไท่จื่อกลับไม่ได้นั่งอยู่หลังฉากบังลมของตัวเองเหมือนคราที่แล้ว เขานั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูงทรงหมวกขุนนาง สวมหน้ากากบังครึ่งหน้าเอาไว้
หน้ากากชิ้นนี้งามเหมือนตัวเขา เลือกใช้หยกชั้นเยี่ยมที่สุดมาทำ เทียบกับหน้ากากของหนิงอ๋องแล้วฝีมือประณีตกว่านัก
ทั่วทั้งร่างล้วนแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ของราชนิกูลออกมา เหลือแต่เขียนใส่หน้าว่านอกจากตัวข้าแล้วเสด็จพ่อของข้าเป็นอันดับหนึ่งบนผืนแผ่นดินนี้
กู้เจียวไม่ได้เอ่ยอะไร เพราะตัวละครที่นางสวมบทบาทนั้นห้ามพูด
แต่ไท่จื่อกลับคิดว่ากู้เจียวตื่นตะลึงกับกลิ่นอายสูงส่งของตัวเองเข้าแล้ว กำลังจะยกมือขึ้นมาเชิญนางให้นั่งลงอย่างใจกว้าง คิดไม่ถึงว่ากู้เจียวจะลากเก้าอี้นั่งลงไปโดยไม่เกรงใจสักนิด
ไท่จื่อที่แขนค้างอยู่กลางอากาศ “…”
ช่างเถอะ เขารับปากกับหลินหลังแล้วว่าจะซื้อตัวเจ้าเด็กนี่ จึงใช้ฐานันดรข่มเหงอีกฝ่ายไม่ได้
ไท่จื่อชักมือกลับ แล้วเอ่ยกับกู้เจียว “จะนัดเจ้าสักครั้งช่างยากเย็นนัก”
กู้เจียวจุดธูปครึ่งดอกบนโต๊ะ
ไท่จื่อ “…”
ไท่จื่อเอ่ยถาม “เหตุใดจึงจุดเพียงครึ่งก้าน”
กู้เจียวหยิบสมุดเล่มเล็กออกมาเขียนอย่างเชื่องช้าว่า ‘ขึ้นราคาแล้ว’
ไท่จื่อ “…” อีกครา
โชคดีที่ไท่จื่อมีเงินเพียงพอ ขึ้นราคาก็ขึ้นไป เขาควักออกมาทีเดียวสองร้อยตำลึง “สองก้านธูป!”
กุยช่ายกระถางนี้ราคาดีไม่เลวทีเดียว จ่ายเงินได้ใจกว้างยิ่ง
กู้เจียวพออกพอใจมาก
นางออกตรวจคนไข้ทีหนึ่งได้มาไม่ถึงสิบตำลึงด้วยซ้ำ แต่ออกตรวจทีก็ใช้เวลาระหว่างทางไม่ถึงสองก้านธูปเลย
แน่นอนว่านางยังชอบรักษาคนมากกว่า ถือเป็นการบำเพ็ญตนตามหลักของนาง
ทว่าไม่เป็นปัญหาต่อความก้าวหน้าในอาชีพที่สองอย่างการถลุงกุ้ยช่ายของนางเลยสักนิด
กู้เจียวเก็บตั๋วเงินเรียบร้อย ก็หยิบธูปออกมาอีกก้าน จุดไว้บนโต๊ะอย่างใจกว้าง
ไท่จื่อก็พอใจเช่นกัน
ธูปหนึ่งก้านเมื่อคราก่อนมันสั้นไป ทำให้พูดยังไม่ทันจบ ครานี้มีเพิ่มมาอีกก้านหนึ่ง เพียงพอให้เขาซื้อตัวคนได้
ทว่าไท่จื่อนึกถึงความเร็วเป็นเต่าคลานในการเขียนของคนบางคนแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองจะมามัวโอ้เอ้ไม่ได้ต้องรีบเข้าเรื่องเลย
เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “อันที่จริงที่ข้ามาหาจอมยุทธ์น้อยก็เพราะมีธุระ ข้าหวังว่าจอมยุทธ์น้อยจะมาเป็นคนของข้า ขึ้นสังเวียนให้ข้า ขอแค่เจ้าสู้จนติดสามอันดับแรกได้ ลองดูก่อนก็ได้ ระ…ข้ามีรางวัลให้อย่างงาม!”
เกือบเผยตัวตนเข้าแล้ว!
ไท่จื่อไหนเลยจะรู้ว่าตัวตนของตัวเองนั้นเปิดโปงออกมาแม้แต่กางเกงก็ไม่เหลือแล้ว
กู้เจียวมองเขาอย่างไม่ใส่ใจแวบหนึ่ง ก่อนจะเขียนลงในสมุดเล่มน้อย ‘เจ้าก็อยากไปแคว้นเยี่ยนเหมือนกันรึ’
ไท่จื่อชะงัก “เจ้ารู้ได้อย่างไร” เขาชะงักไป ก่อนขมวดคิ้ว “ช้าก่อน เหตุใดจึงใช้คำว่าก็อยากเหมือนกัน ยังมีคนอยากไปอีกรึ”
ใช่น่ะสิ พี่ชายใหญ่เจ้าอย่างไรเล่า หนิงอ๋องน่ะ
โชคดีที่กู้เจียวเป็นคนมีจรรยาบรรณในวิชาชีพ นางจึงไม่ได้เปิดเผยความลับลูกค้า แต่เขียนสมุดเล่มเล็กต่อ ‘บอกไม่ได้’
“เจ้า…” ไท่จื่อสำลัก
ประโยคนี้เขียนก็เหมือนไม่เขียน บอกไม่ได้มันหมายความว่าอย่างไร นั่นก็หมายความว่ามีน่ะสิ แต่ไม่สะดวกจะบอกก็เท่านั้น
ไท่จื่อพลันขมวดคิ้วขึ้น เกิดอะไรขึ้นกัน ปีนี้คนอยากไปแคว้นเยี่ยนมากมายเชียวรึ มาหาจอมยุทธ์น้อยได้ อย่างน้อยๆ ก็หมายความว่าอีกฝ่ายถูกใจในฝีมือของจอมยุทธ์น้อยเช่นเดียวกันกับเขาและหลินหลังน่ะสิ
ใครมันสายตาเฉียบแหลมได้เพียงนี้
เดิมทีไท่จื่อเพียงแค่มาหาจอมยุทธ์น้อยเพราะเชื่อฟังหลินหลังเท่านั้น ยามนี้ได้ทราบว่าจอมยุทธ์น้อยเนื้อหอม ความเสี่ยงในการแข่งขันพลันสูงขึ้นมาทันที
ทว่าเขาเป็นถึงไท่จื่อ เขาไม่เชื่อว่าแผ่นดินนี้จะมีคนสู้เขาได้!
ยกเว้นเสด็จพ่อกับท่านลุง
ทว่าเสด็จพ่อกับท่านลุงไม่มีทางมาสถานที่พรรค์นี้นี่นา
ไท่จื่อเอ่ยอย่างยโสโอหัง “อีกฝ่ายให้เจ้าเท่าใด ข้าให้เป็นสองเท่า!”
กู้เจียวไม่ได้ปฏิเสธในทันที นางกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้อยู่ นางไม่มีทางขายตัวเองให้กับใคร แต่โอกาสในการไปแคว้นเยี่ยนสามารถขายได้ เงื่อนไขแรกคือนางสามารถเบียดเข้าสู่ยอดฝีมืออันดับสามไปก่อนหน้านั้นได้
ว่ากันว่าอันดับแรกกับอันดับที่สองหลีกเร้นกายในยุทธภพ ไม่ปรากฏตัวหลายปีแล้ว หนิงอ๋องกับไท่จื่อจึงไม่อาจเสียเวลากับพวกเขาได้ จึงต้องจับตามองตำแหน่งที่สามเอาไว้
ทว่ายามนี้ยอดฝีมืออันดับสามไม่ใช่ชาวแคว้นเจา จากจุดยืนของไท่จื่อกับหนิงอ๋องนั้นยากที่จะไปร่วมมือกับเขาได้
ดังนั้นทั้งสองจึงอยากหาคนกำจัดอันดับสามนี้ทิ้งอย่างมีเหตุมีผล
สมกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ วิธีการไปแคว้นเยี่ยนเหมือนกันราวกับแกะ
‘เหตุใดเจ้าจึงอยากไปแคว้นเยี่ยน’ กู้เจียวถาม
นางต้องกระจ่างแจ้งในเจตนารมณ์ของเขา เกิดเขาต้องการไปร่วมมือกับศัตรูก่อกบฏขึ้นมา นางจะไม่กลายเป็นคนสมคบคิดด้วยรึ
ไท่จื่อเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าจะถามไปไย เจ้าแค่ตอบตกลงเงื่อนไขของข้าก็พอแล้ว ข้าไม่มีทางเอาเปรียบเจ้าหรอก! อีกอย่างข้ายังสรรหาสิ่งของที่ดีกว่าเงินตรามาให้เจ้าได้อีกด้วย!”
เขาเป็นไท่จื่อ อย่าว่าแต่เงินกองโตเลย ให้แต่งตั้งนางเป็นขุนนางประทานยศศักดิ์ให้ยังได้
เงื่อนไขแรกคือเขาสามารถเบียดเข้าอันดับสามได้จริง
อันที่จริงไท่จื่อไม่ค่อยเชื่อมั่นในฝีมือเขาเท่าใดนัก อย่างไรเสียในมือเขาก็ยังมียอดฝีมืออันดับสิบเก้าอยู่ จะไม่เก่งกว่าเจ้าหนุ่มนี่รึ
ทว่าหลินหลังบอกว่าไข่ไก่จะอยู่ในตะกร้าไม่ได้ เดิมพันยอดฝีมือหลายคนหน่อยก็ไม่เลว
กู้เจียวค่อยๆ เขียน ‘ไม่บอก ข้าก็ไม่พิจารณา’
ไท่จื่อสูดหายใจลึกเฮือกใหญ่
เจ้าหมอนี่นี่รู้หรือไม่ว่าตัวเองข่มขู่ใครอยู่
ไท่จื่อแห่งแคว้นนะโว้ย!
ไท่จื่อข่มโทสะไว้ พลางเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าอยากไปพบท่านอาวุโสเมิ่งปรมาจารย์ด้านหมากรุกแห่งแคว้นทั้งหก”
อ๋อ
เมิ่งเหล่า
ไม่เคยได้ยินมาก่อน
กู้เจียวมองออกว่าไท่จื่อไม่ได้โกหก ก็แค่ไปพบคนเอง ไม่มีความเสี่ยงทางด้านการเมือง
ไท่จื่อเอ่ยเสียงเย็น “สิ่งที่ควรพูดข้าก็พูดไปหมดแล้ว ยามนี้เจ้าจะเห็นด้วยได้หรือยัง”
กู้เจียวพยักหน้าอย่างจริงจัง ‘ยินดีจะพิจารณา’
ไท่จื่อที่โดนหลอกอีกหน “…”
เวลาหลังจากนั้นไท่จื่อล้างสมองกู้เจียวด้วยวิธีการเดียวกับที่เขาให้ในเล่นกลการเมือง กู้เจียวฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
ไท่จื่อพูดจนคอแหบคอแห้งแล้ว กู้เจียวจึงพับปิดสมุดเล่มเล็ก
หมดเวลาแล้ว!
ไท่จื่อ “…”
กู้เจียวออกมาจากโรงประลองใต้ดิน ขึ้นรถม้าเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วให้เสี่ยวซานจื่อขับรถม้าไปที่สำนักฮั่นหลิน
ยามนี้ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อยถึงจะเลิกงาน กู้เจียวจึงแวะร้านขนมเปี๊ยะใกล้ๆ ก่อน
นางบังเอิญพบว่าขนมเปี๊ยะบ๊วยแห้งร้านนี้อร่อยมาก แป้งเปี๊ยะกรอบนอก ไส้บ๊วยแห้งด้านในเต็มปากเต็มคำ
แต่ดันราคาแพงไปหน่อย ชิ้นหนึ่งราคายี่สิบทองแดงแหน่ะ
เสี่ยวซานจื่อจอดรถม้าอยู่ข้างร้าน
กู้เจียวลงจากรถม้ามา นางสั่งทีเดียวสิบชิ้นเลย
“สิบชิ้นรึ ทำหม้อเดียวไม่หมด แม่นางต้องรอหน่อยนะ จะเข้ามานั่งหรือไม่” เถ้าแก่เนี้ยะบอก
“ไม่ต้องหรอก ข้ารอข้างนอกนี่ล่ะ” อากาศร้อนอบอ้าว นางจะตากลมอยู่ข้างนอก
ยามนี้มีลูกค้าแค่นางคนเดียว คนขายสองคนกำลังตั้งอกตั้งใจทำขนมเปี๊ยะให้นางสิบชิ้น และไม่ได้ให้นางต้องคอยนาน