สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 419-2 สารภาพ (2)
บทที่ 419 สารภาพ (2)
หยวนถังรวบพัดด้ามจิ๋วลงบนฝ่ามือตัวเอง “แต่ว่านะ ยอดฝีมือนั่นเป็นผู้ใดกัน แคว้นเจามีคนเก่งกาจเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด”
หลิ่วอีเซิงเอ่ยเสียงเย็น “มาใส่ใจเรื่องนี้ทำไมกัน สู้เอาเวลาไปคิดเรื่องตัวเองไม่ดีกว่าหรือ ถูกคนไล่ฆ่าซ้ำยังมาลากคนอื่นให้ซวยไปด้วยอีก”
คนอื่นที่หลิ่วอีเซิงหมายถึงไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นกู้เจียว
หยวนถังเอ่ย “ข้ารู้น่าว่าข้าเป็นคนทำให้ท่านพี่มาซวยนิ้วขาดไปด้วย ข้าจะสืบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดแน่นอน ข้าจะต้องลากตัวไอ้สารเลวนั่นออกมาให้ได้! แล้วตัดนิ้วมันเพื่อล้างแค้นให้ท่านพี่! ท่านพี่เจ็บหรือไม่ มามะ ข้าจะเป่าฟู่ๆ ให้ท่านพี่เอง”
เขาเอ่ยแล้วยังคว้ามือขวาของหลิ่วอีเซิงมาหมายจะเป่าให้อีกฝ่ายด้วย
หลิ่วอีเซิงถูกเขาหยอกจนขนลุกขนพอง จึงนั่งเว้นระยะห่างกับเขาไปครึ่งตู้โดยสาร
กู้เจียวเป็นคนที่ชอบบอกข่าวดีไม่บอกข่าวร้าย ไม่สิ แม้แต่ข่าวดีนางก็ยังไม่บอก นางไม่ถนัดพูดเรื่องชีวิตประจำวันและสิ่งที่พบเจอมาของตัวเองให้คนอื่นฟังสักเท่าใดนัก
อาจเพราะผลจากวัยเด็กที่บอกไปก็ไม่มีใครอยากจะฟัง จึงค่อยๆ ทำให้นางไม่อยากบอก เหมือนว่าทำแบบนี้จะสามารถสร้างภาพลวงตาที่ทำให้เข้าใจได้ว่าพวกเจ้าไม่รู้เรื่องของข้า ไม่ใช่เพราะพวกเจ้าไม่ใส่ใจข้า แต่เพราะข้าปฏิเสธที่จะบอกต่างหาก
พอโตขึ้นนิสัยนี้ก็ยังอยู่
เรื่องของจิ้งไท่เฟยในตอนนั้นล้วนเป็นเซียวลิ่วหลังที่ขุดคุ้ยแล้วขุดคุ้ยอีก ผนวกกับเพื่อนร่วมขบวนการที่ฝีมือห่วยแตก ผลัดกันพลาดท่า นางจึงถูกเผยไต๋จนหมดเปลือก ไม่บอกก็คงไม่ได้
เซียวลิ่วหลังไม่มีทางเป็นคนไปถามหลิ่วอีเซิงหรอก อย่างไรเสียหลิ่วอีเซิงก็เป็นแค่คนไข้ของนาง ไปคิดบัญชีกับคนไข้มันเหมือนตัวเองใจแคบชัดๆ เลย
เซียวลิ่วหลังไปต้มน้ำที่ห้องครัวให้กู้เจียวเสียงดังโครมคราม
กู้เจียวเดินตามเข้ามานั่งลงบนม้านั่งเล็กๆ ข้างเขา แล้วหันไปมองเขา “เหมือนว่าเจ้าจะไม่พอใจนะ”
เซียวลิ่วหลัง “ไม่ใช่เสียหน่อย”
กู้เจียว “เจ้าหึงใช่หรือไม่”
เซียวลิ่วหลัง “ข้าไม่ได้ใจแคบเพียงนั้น”
กู้เจียว “อ๋อ”
เซียวลิ่วหลัง “ข้ากับเขาใครรูปงามกว่ากัน”
กู้เจียว “…”
กู้เจียวอาบน้ำเสร็จก็ไปเทน้ำที่เรือนท้าย นึกไม่ถึงว่าเซียวลิ่วหลังจะยังไม่นอน
เขายืนอยู่ในลานบ้าน จันทราส่องสว่างดาราพราวพร่าง สง่างามดุจหยกคล้ายกำลังรอนางอยู่
“เหตุใดจึงยังไม่นอนเล่า” กู้เจียววางกะละมังไม้ลง แล้วหันมาถาม
เซียวลิ่วหลังเดินมาหา ก่อนยกมือขึ้น ฝ่ามืออุ่นวางทาบลงบนศีรษะนาง
กู้เจียวชะงักเล็กน้อย “ทำไม…”
“ไม่รู้” เขาเอามือลง “แค่จู่ๆ ก็อยากจะลูบหัวเจ้าน่ะ”
รู้สึกเหมือนว่าเจ้าต้องการสิ่งนี้ แต่ก็อธิบายไม่ถูกเช่นกันว่าเพราะอะไรเจ้าจึงต้องการ
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ จ้องมองเขาอยู่เนิ่นนาน จากนั้นนางก็โคลงศีรษะไปมา แล้วโน้มใบหน้าเข้าหา “เช่นนั้นเจ้าก็ลองลูบอีกทีสิ”
ราวกับเด็กน้อยที่รอให้ลูบหัว
เซียวลิ่วหลังหัวเราะออกมาเบาๆ “ได้สิ”
…
วันรุ่งขึ้นเดิมทีเป็นวันที่กู้เจียวรับปากว่าจะไปร่วมงานหอการค้าด้วยกันกับเถ้าแก่รอง แต่เพราะงานนี้จู่ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน กู้เจียวจึงต้องแน่ใจในเรื่องบางอย่างก่อน
กู้เจียวให้เถ้าแก่รองล่วงหน้าไปก่อน ส่วนนางจัดการเสร็จแล้วจะรีบตามไป
“ได้ เจ้ารีบมาก่อนมื้อค่ำล่ะ”
เถ้าแก่รองเอ่ยจบก็นั่งรถม้าไปคฤหาสน์ซื่อไห่ที่อยู่แถบชานเมือง
กู้เจียวไปจวนรุ่ยอ๋อง
รุ่ยอ๋องไปจัดการราชกิจ เหลือเพียงรุ่ยอ๋องเฟยที่อยู่จวน
รุ่ยอ๋องเฟยได้ยินว่ากู้เจียวมาก็ดีใจพลางยกชายกระโปรงออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง
นางไม่ต้องกังวลว่ากู้เจียวจะรับได้หรือไม่ นางจึงวิ่ง…เอ๊ยไม่ใช่ เดินเร็วขึ้นมาก
นางมาถึงหน้าจวนก่อนยิ้มแย้มพลางเอ่ย “ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที! ท่านอ๋องบอกว่าตอนที่เจ้าส่งข้ากลับจวนเมื่อคราก่อน เขาเชิญเจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนข้าบ่อยๆ แต่ข้ารอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นเจ้ามาหาเสียที! วันนี้ลมอะไรหอบเจ้ามากันล่ะ”
สายตากู้เจียวมองผ่านรุ่ยอ๋องเฟยไปตกอยู่ตรงระเบียงทางเดินที่อยู่ไม่ไกล ตรงนั้นมีองครักษ์ลับเร้นกายอยู่สองคน
เมื่อก่อนนางไม่เคยเห็นอยู่ข้างกายรุ่ยอ๋องเฟยเลย
กู้เจียวถาม “สองคนนั้นคือคนที่หนิงอ๋องส่งมาคุ้มครองท่านหรือ”
รุ่ยอ๋องเฟยคุยกับนางทุกเรื่อง เรื่องที่หนิงอ๋องส่งคนมาคุ้มกันก็เล่าให้กู้เจียวฟังหมด
“เจ้าเห็นแล้วรึ” รุ่ยอ๋องเฟยหันกลับไปมอง ก่อนเอ่ยอย่างตกใจ “พวกเขาเป็นองครักษ์ลับ ตอนมาที่จวนได้คารวะข้าเพียงคราเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นข้าก็ไม่ได้เห็นมีอยู่ของพวกเขาอีกเลย”
“ข้ามาเยี่ยมท่าน” กู้เจียวเอ่ยต่อบทสนทนาเมื่อครู่นี้ของนาง
“รีบเข้าจวนมานั่งก่อน!” รุ่ยอ๋องเฟยดึงมือกู้เจียว แล้วพานางเข้ามาในจวน
รุ่ยอ๋องไม่ใช่องค์ชายที่ได้รับความโปรดปรานมากมายนัก คฤหาสน์ที่ได้รับจัดสรรมาก็ไม่ค่อยน่าพอใจเช่นกัน ไม่ได้แม้แต่ครึ่งของจวนหนิงอ๋องด้วยซ้ำ ระหว่างทางมาเห็นคนรับใช้ก็น้อยนิดยิ่ง
รุ่ยอ๋องเฟยคล้ายไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ นางเชิญกู้เจียวเข้ามาในเรือนตัวเองอย่างมีความสุข
ห้องของนางมีเสื้อผ้าทารกไม่น้อยแล้ว บางส่วนนางอยู่ว่างๆ เบื่อๆ ก็ถักเอง บางส่วนคนจากบ้านเดิมก็ส่งมาให้
“น้องสาวข้าเคยมาพักอยู่สองสามวันน่ะ นางเสียงดังนัก ข้าจึงให้นางกลับไปแล้ว” รุ่ยอ๋องเฟยนั่งลงบนเก้าอี้กับกู้เจียว แล้วเรียกสาวใช้ให้ยกชามาให้กู้เจียว ส่วนนางเองดื่มน้ำอุ่น
น้องสาวของรุ่ยอ๋องเฟยคือตู้เสี่ยวอวิ๋น เป็นสาวกตัวยงของไท่จื่อเฟย ตู้เสี่ยวอวิ๋นชักชวนกู้เจียวให้ร่วมขบวนการอยู่หนหนึ่ง
ทว่าพูดถึงเรื่องเสียงดังนั้น…
กู้เจียวมองรุ่ยอ๋องเฟยแวบหนึ่ง พวกนางสองคนไม่ใช่ว่าเสียงดังด้วยกันทั้งคู่หรอกรึ
“เจ้าลองชิมอันนี้สิ” รุ่ยอ๋องเฟยดันขนมกุ้ยฮวาบนโต๊ะไปตรงหน้ากู้เจียว “เจ้าคงไม่รู้ว่าเมื่อสองเดือนก่อนข้าถูกขังไว้ น่าอนาถยิ่งยัก จนข้าทำขนมเป็นเลย!”
กู้เจียวลองชิมคำหนึ่ง รสชาติไม่เลวผิดคาด
“อร่อยหรือไม่” รุ่ยอ๋องเฟยถาม
“อร่อยเพคะ” กู้เจียวบอก
รุ่ยอ๋องเฟยยิ้มจนดวงตากลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว
ที่วันนี้กู้เจียวมาหาหลักๆ เพราะมีบางอย่างที่อยากจะยืนยันกับนาง “เรื่องที่ท่านได้ยินไท่จื่อเฟยลอบพบปะกับใครบางคนอยู่หลังภูเขาจำลองและเรื่องที่สงสัยว่าหยวนถังเป็นชายคนนั้นท่านได้พูดให้ใครฟังหรือไม่”
รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ยตอบตรงๆ “มีแค่เจ้า รุ่ยอ๋องแล้วก็พี่ใหญ่ อืม…พี่สะใภ้ใหญ่อยู่บนรถม้าด้วย นางอาจจะ…ได้ยินนิดหน่อย เหตุใดจู่ๆ จึงถามเรื่องนี้เล่า”
กู้เจียวเอ่ย “หยวนถังโดนลอบสังหารน่ะสิ”
“ว่าอย่างไรนะ เขา…โดนลอบสังหารรึ เป็นไปได้อย่างไร ใครจะฆ่าเขารึ” รุ่ยอ๋องเฟยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
พักใหญ่ๆ จู่ๆ นางก็ตบโต๊ะ “ข้ารู้แล้ว! เวินหลินหลัง! ต้องเป็นนางที่กลัวว่าเรื่องจะแดงแล้วตัวเองจะซวยจึงได้ตามฆ่าหยวนถังปิดปากทันที!”
กู้เจียว …อคติที่ท่านมีต่อไท่จื่อเฟยไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ
ไม่พูดคงไม่ได้ การคาดเดาของรุ่ยอ๋องเฟยทำให้กู้เจียวเกิดความคิดใหม่จากมุมมองของแรงจูงใจ ไท่จื่อเฟยน่าสงสัย
เมื่อลองนึกย้อนถึงบทสนทนาของทั้งคู่อย่างถี่ถ้วนแล้ว บุรุษผู้นั้นเป็นคนเข้าใกล้ประชิดตัวไท่จื่อเฟย แล้วไท่จื่อตบหน้าเขา เพียงพอที่จะอธิบายได้ว่าบุรุษคนนั้นอาจทำให้นางขุ่นเคืองทางวาจา
จะด้วยความขุ่นเคืองจนกลายเป็นความแค้นก็ดี หรือเพื่อกำจัดตัวปัญหาก็ดี ไท่จื่อเฟยอาจจะลงมือฆ่าหยวนถังก็ได้
เพียงแต่กู้เจียวรู้สึกว่าบุรุษผู้นั้นก็น่าสงสัยมากเช่นกัน
อย่างไรเสียการโยนความผิดให้หยวนถังเป็นแพะรับบาปในเรื่องพรรค์นี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะคาดคิดถึง และใช่ว่าจะสามารถโน้มน้าวให้ใครเชื่อได้โดยไม่มีหลักฐาน
มันไม่มีประโยชน์ที่จะฆ่าใครสักคนโดยไม่ตั้งใจ
แต่ถ้าเป็นหยวนถังก็ไม่แน่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของสถานะ รูปลักษณ์ หรือพรสวรรค์หยวนถังล้วนเข้าข่ายหมด หากใครสักคนบอกว่านี่เป็นชายที่ไท่จื่อเฟยลอบนัดพบ จะน่าเชื่อถือหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้นหยวนถังถูกรุ่ยอ๋องเฟย ‘ตัดสิน’ ไปแล้วด้วย
เพียงไม่นานกู้เจียวก็นึกถึงอีกเรื่องขึ้นมาได้ ตอนที่อีกฝ่ายลอบสังหารหยวนถังนางก็อยู่ที่เกิดเหตุด้วย อีกทั้งนางยังกำจัดมือสังหารของอีกฝ่ายไปมากมายด้วย อีกฝ่ายจะมองความสัมพันธ์ของนางกับหยวนถังอย่างไร
อีกฝ่ายจะเดาได้หรือไม่ว่านางรู้ว่าหยวนถังถูกใส่ร้ายว่าเป็นบุรุษหลังภูเขาจำลองคนนั้น
หากเป็นนางละก็ อย่างไรนางก็เดาได้
อย่างไรเสียหลังจากที่รุ่ยอ๋องเฟย ‘จำ’ หยวนถังได้ก็เคยไปหานางที่โรงหมอ จากความสัมพันธ์ของรุ่ยอ๋องเฟยกับนาง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่บอกข่าวซุบซิบกับนางว่าหยวนถังเป็นชู้
ส่วนคืนนั้นนางที่อยู่ด้วยกันกับหยวนถัง ยากที่จะให้คนสงสัยว่านางไปหาหยวนถังเพื่อตรวจสอบความจริงหรือไม่
“แม่นางกู้ เป็นอะไรไปรึ ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ” รุ่ยอ๋องเฟยเห็นกู้เจียวจู่ๆ ก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา จึงอดกระวนกระวายขึ้นไม่ได้
อันที่จริงนิสัยของนางไม่มีอะไรไม่น่าพอใจ เพียงแต่นางมักจะปะทะกับเวินหลินหลังบ่อยๆ คนที่ชอบเวินหลินหลังมีมากมาย จึงเข้ากับนางไม่ได้อย่างยากจะเลี่ยง
“เจ้าคงไม่ได้ชอบเวินหลินหลังไปอีกคนกระมัง” นางถามเสียงเบา
กู้เจียวส่ายหน้า “ข้าชอบท่าน”
รุ่ยอ๋องเฟยพลันอารมณ์ดีขึ้นมา นางกุมมือกู้เจียวไว้ แล้วเอ่ยด้วยแววตาจริงใจ “ข้าก็ชอบเจ้า!”
รุ่ยอ๋องที่เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูแล้วได้ยินคำสารภาพนี้เข้า “…”
จู่ๆ ก็รู้สึกว่าบนหัวมีเขางอกขึ้นมา…