สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 439 ความจริง
บทที่ 439 ความจริง
พู่กันในมือขององค์หญิงซิ่นหยางหยุดลง
อวี้จิ่นนวดน่องขาของกู้เจียวไปพลาง จ้องมององค์หญิงซิ่นหยางไปพลาง
อันที่จริงอวี้จิ่นเองก็ไม่แน่ใจว่าองค์หญิงซิ่นหยางรู้สึกอย่างไรกับนายน้อยกันแน่ จะว่าห่วงใย นางก็ใจแข็งไม่ยอมรับเขาเสียที จะว่าไม่สนใจ แต่นางก็ยังทุกข์ใจจนหมดสติไปเพราะเรื่องร้ายที่เขาพบเจอ
หากบอกว่าหน้ามืดเพราะเดือดดาลนั้น อวี้จิ่นไม่เชื่อหรอก ไม่มีทางเป็นไปได้
คงเป็นเพราะยังทำใจไม่ได้กระมัง
กลัวว่านางทำดีกับนายน้อยแล้วจะรู้สึกผิดกับลูกที่เสียไป
กู้เจียวเคลิ้มไปกับแรงบีบนวดก็เริ่มง่วงงุนขึ้นมา ศีรษะน้อยก็ค่อยๆ คล้อยต่ำลง
อวี้จิ่นกวักมือเรียกสาวใช้ ส่งสัญญาณบอกให้นำฟูกมา
สาวใช้ทำตามคำสั่ง
อวี้จิ่นส่งสายตา สาวใช้ก็ปูฟูกไว้ด้านหลังกู้เจียว ก่อนจะประคองร่างกู้เจียวให้นอนลง
องค์หญิงซิ่นหยางจดจ่ออยู่กับการคัดอักษร ไม่รู้ว่ากู้เจียวกำลังจะผล็อยหลับไปแล้ว แววตาของนางสะดุดลง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาด้วยเสียงเย็นชา “ที่เจ้าชอบเที่ยวมีเรื่องกับคนไปทั่วเช่นนี้ ไปเอาเยี่ยงอย่างผู้ใดมากันล่ะ”
กู้เจียวพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะเถียงกลับ “ข้าไม่ได้ชอบมีเรื่องเสียหน่อย”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “ไปมีเรื่องกับผู้ใดมาล่ะ”
กู้เจียว “หนิงอ๋อง”
อวี้จิ่น “…“
“ที่เจ้าลงไม้ลงมือกับองค์ชายเชียวหรือ ใจกล้าไม่เบานี่” องค์หญิงซิ่นหยางยังคงบรรจงเขียนอักษรชิวตัวใหญ่ “เพราะเหตุใดหรือ”
กู้เจียวตอบตามตรง “ไม่ถูกชะตา”
องค์หญิงซิ่นหยาง “…”
“น้อยนักที่คนจะไม่ถูกชะตาหนิงอ๋อง” องค์หญิงซิ่นหยางคัดอักษรต่อไปด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
กู้เจียวเหลียวไปมององค์หญิงซิ่นหยาง “แล้วองค์หญิงเล่า องค์หญิงถูกชะตาหนิงอ๋องหรือไม่ ในสายตาขององค์หญิง หนิงอ๋องเป็นคนเช่นไร”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยเสียงนิ่งเรียบ “ข้ากับหนิงอ๋องไม่ได้ไปมาหากันสู่กันบ่อยนัก หากองค์หญิงหนิงอันอยู่ที่นี่ คงให้คำตอบเจ้าได้”
นั่นสินะ องค์หญิงซิ่นหยางแต่งงานกับเซวียนผิงโหว เซวียนผิงโหวเป็นญาติกับเซียวฮองเฮาและไท่จื่อ คนละฝั่งกับหนิงอ๋องและตระกูลจวง แถมจวงกุ้ยเฟยยังเป็นพวกชอบคิดเล็กคิดน้อย ไม่มีทางยอมให้หนิงอ๋องกับองค์หญิงซิ่นหยางได้พบกันหรอก
เพียงแต่ยามเอ่ยถึงหนิงอ๋อง เหตุใดสีหน้าขององค์หญิงซิ่นหยางถึงไม่มีท่าทีแปลกไปสักนิด นั่นหมายความว่านางไม่เคยสงสัยว่าการ ‘ตาย’ ของเซียวเหิงนั้นเกี่ยวข้องกับหนิงอ๋องอย่างนั้นหรือ
ว่ากันตามตรง เมื่อสี่ปีก่อนมีเพียงสองคนเท่านั้นที่มีแรงจูงใจที่จะเผาเซียวเหิงให้ตายทั้งเป็น คนหนึ่งคือหนิงอ๋อง อีกคนหนึ่งคือองค์หญิงซิ่นหยาง
ยิ่งหนิงอ๋องน่าสงสัยน้อยเท่าไร องค์หญิงซิ่นหยางก็ยิ่งน่าสงสัยมากขึ้นเท่านั้น
องค์หญิงซิ่นหยางไม่สงสัยในตัวหนิงอ๋องเลยสักนิด นั่นก็เป็นเพราะว่าคนร้ายคือตัวนางเอง หรือไม่ก็หนิงอ๋องนั้นเล่นละครตบตาทุกคนได้สำเร็จ
แต่สุดท้ายกู้เจียวก็ผล็อยหลับไป
ยามนี้แสงแดดเจิดจ้าส่องแสงลอดผ่านกรอบหน้าต่างเข้ามา หน้าโต๊ะทั้งผืนร้อนผ่าว จนกู้เจียวเหงื่อผุดซึม
อวี้จิ่นค่อยๆ ลุกยืนขึ้น ยกท่อนขาของกู้เจียวขึ้นมาวางไว้บนตั่งที่ใช้เบาะรองเอาไว้ แบบนี้แล้วเท้าจะได้ไม่เย็น
“องค์หญิง ยังจะออกไปหรือไม่เพคะ” อวี้จิ่นถามเสียงแผ่วเบา
องค์หญิงซิ่นหยางที่คัดอักษรอยู่เอ่ยเสียงไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ไว้วันหลังก็แล้วกัน วันนี้ไม่อยากออกไปแล้ว”
อวี้จิ่นขานรับ ก่อนจะไปยังโรงเรือนดอกไม้แล้วตัดดอกไม้สดมาเป็นกำเพื่อจัดแจกัน
ภายในห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงขีดเขียนของพู่กัน เสียงตัดก้านดอกไม้รำไร และเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของใครคนหนึ่ง
รอบกายเงียบสนิท ทว่ากลับไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนอย่างเคย
“ผ้าห่ม” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยขึ้น นางไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง แต่ยังคงจดจ่อกับการคัดอักษร
“เพคะ” อวี้จิ่นวางกรรไกรและก้านดอกไม้ในมือลง ให้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือแล้วเปิดตู้เสื้อผ้าออก ก่อนจะหอบผ้าห่มขนแกะผืนบางออกมา
นางเดินเข้ามา ขณะที่กำลังจะห่มคลุมบนร่างขององค์หญิงซิ่นหยาง แต่กลับได้ยินองค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เสียก่อน “ให้นาง”
แม้นางจะไม่ได้บอกแน่ชัดว่าหมายถึงผู้ใด แต่ในห้องนี้มีเพียงแค่สามคน หากจะให้อวี้จิ่นก็คงพูดว่าให้เจ้า
อวี้จิ่นเดินอ้อมโต๊ะหนังสือมาหยุดอยู่ข้างตัวกู้เจียว ก่อนจะคลุมผ้าห่มให้นางอย่างเบามือ
อวี้จิ่นนวดฝ่ามือของกู้เจียว
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เมื่อครู่ยังเหงื่อออกอยู่เลย แต่ยามนี้กลับเย็นเฉียบ
เพราะดวงตะวันใกล้จะลับขอบฟ้าไปแล้ว แสงแดดจึงส่องไม่ถึงนาง บอกกับลมฤดูใบไม้ร่วงด้านนอกหน้าต่างที่พัดปะทะใบหน้าของนางพ่อดี
ตำแหน่งที่อวี้จิ่นนั่งนั้นไม่โดดลมแต่อย่างใด นี่คือเหตุผลที่ว่าเพราะอะไรอวี้จิ่นถึงไม่อาจสังเกตเห็นเหงื่อบนร่างของกู้เจียว
แววตาแฝงรอยยิ้มของอวี้จิ่นตกลงบนใบหน้าอ่อนเยาว์เหนือกาลเวลาขององค์หญิงซิ่นหยาง “องค์หญิง”
“มีเรื่องอันใดหรือ” องค์หญิงเอ่ยเสียงถามเสียงแผ่ว
อวี้จิ่นเม้มปากยิ้ม “ท่านเองก็ชอบท่านหมอกู้ใช่ไหมเพคะ”
นางใช้คำว่า ‘ก็ชอบ’
ไม่รู้ว่าหมายถึงใครที่ชอบกู้เจียวอีกคน หมายถึงเซียวลิ่วหลังหรือว่านางตัวเอง
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย “ข้าเคยบอกแล้ว ชีวิตนางมีราคา หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง ใครจะรักษาข้าเล่า”
กู้เจียวตื่นขึ้นมาฟ้าก็มืดแล้ว ข้างกายมีเพียงหลงอีที่นั่งแข็งทื่อราวกับรูปปั้นแกะสลัก
กู้เจียวราวกับพบศัตรูตัวฉกาจ ผุดลุกขึ้นนั่งตามสัญชาตญาณ ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “ข้าไม่หักดินสอนะ!”
หลงอีที่กอดกล่องดินสออยู่ทั้งบ่าย “…”
อวี้จิ่นขอให้กู้เจียวอยู่กินมื้อค่ำ
กู้เจียวเหลือบมององค์หญิงซิ่นหยางที่รดน้ำดอกไม้อยู่กลางสวน ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ย “หากไม่ใช่องค์หญิงขอให้ข้าอยู่กินข้าว ข้าก็ไม่กินหรอก ข้าไปล่ะ”
พรวด…
องค์หญิงซิ่นหยางเกือบจะทำดอกไม้สำลักน้ำตายเข้าให้แล้ว!
อวี้จิ่นกลั้นไม่ไหว เผลอหัวเราะออกมา
เมื่อครู่กู้เจียวเพียงแค่เอ่ยทีเล่นทีจริง มีหรือนางจะไม่รู้ว่าหากองค์หญิงซิ่นหยางไม่อนุญาต อวี้จิ่นคงไม่มีทางเอ่ยปากขอให้นางอยู่กินข้าวเย็นต่อ
แต่นางนั้นมีธุระจริงๆ ต้องรีบกลับแล้ว
อวี้จิ่นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปเตรียมรถม้าให้หมอกู้เจ้าค่ะ”
“ข้า…” กู้เจียวตั้งใจว่าจะปฏิเสธ นางกลับเองได้
อวี้จิ่นตอบ “หรือว่าจะให้หลงอีไปส่งท่าน”
กู้เจียวหน้าเคร่งขรึมในทันที “รถม้าเถิด ขอบใจท่านนัก”
อวี้จิ่นสั่งการบ่าวให้ไปเตรียมรถม้า ก่อนหันไปเอ่ยกับองค์หญิงซิ่นหยาง “หม่อมฉันไปส่งหมอกู้นะเพคะ”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ขานตอบ หิ้วบัวรดน้ำเคลื่อนไปรดน้ำดอกไม้อีกกระถางหนึ่ง
อันที่จริงกู้เจียวไม่จำเป็นต้องให้อวี้จิ่นไปส่งนางก็ได้ แต่นางสัมผัสได้ว่าวันนี้อวี้จิ่นอยากไปส่งนางเป็นพิเศษ
ทั้งสองออกจากเรือนไป
อวี้จิ่นบอกกับพลขับ “ตั่งไม้นี้ตั้งไม่ค่อยมั่นแล้ว เจ้าไปเปลี่ยนตัวใหม่มาที”
นั่นเป็นการหาข้ออ้างให้พลขับปลีกตัวออกไป
หน้าประตูเหลือเพียงแค่สองคน และหลงอีที่กอดกล่องดินสอแววตาเศร้าสร้อยอยู่ริมกำแพงอีกหนึ่งคน
อวี้จิ่นคว้ามือของกู้เจียวขึ้นมาพลางกระซิบเอ่ย “แม่นางกู้ ท่านเป็นคนกันเอง ข้าก็จะไม่อ้อมค้อมกับท่าน ข้าขอพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน หวังว่าท่านจะเข้าใจ”
มีเรื่องอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย
กู้เจียวพยักหน้า “ท่านว่ามาเถิด”
อวี้จิ่นเอ่ยสีหน้าจริงจัง “เรื่องของท่านโหวน้อย…ไม่รู้ว่าท่านได้ยินมามากน้อยเท่าไร แต่ไม่ว่าท่านจะได้ยินอะไรมา แต่ขอท่านได้โปรดเชื่อองค์หญิงซิ่นหยาง นางเคยเกลียดท่านโหวน้อยก็จริง แต่ที่เกลียดยิ่งกว่าคือตัวนางเอง เกลียดที่ปล่อยให้มือสังหารพวกนั้นวางยาลูกชายของนางและ….ที่ฆ่าลูกชายด้วยน้ำมือของเขา”
ราวกับสัญชาตญาณบอกว่าตัวตนของคนหลังนั้นค่อนข้างสุ่มเสี่ยง หรือไม่ก็นางอาจยังไม่มั่นใจนักว่ากู้เจียวรู้เรื่องราวมากน้อยเพียงใด
อวี้จิ่นชะงักไปก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “คนร้าย องค์หญิงเคยจะลงมือฆ่าเขาแล้ว แต่สุดท้ายนางก็ใจอ่อน นางทำไม่ลง และนางไม่ได้เป็นคนจุดไฟ”