สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 444-2 ปฐมาจารย์การเล่นแกล้งคน (2)
บทที่ 444 ปฐมาจารย์การเล่นแกล้งคน (2)
“อีกอย่างหลินหลังก็ไม่มีทางหักหลังข้าด้วย” ไท่จื่อเอ่ย
เป็นอย่างหลังจริงๆ ด้วย
ไท่จื่อเอ๋ยไท่จื่อ ท่านมันตาบอดไม่พอ แถมยังโดนสวมเขาอีกด้วย
แผนเดิมคือไท่จื่อได้ยินเสียงเวินหลินหลัง สงสัยว่านางมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับชายนอกวัง แล้วกู้เจียวค่อยโยนหินบอกทางสองสามประโยคชี้ไปทางหนิงอ๋อง
ขอแค่ยืนยันโทษลอบคบชู้กับไท่จื่อเฟยได้ หนิงอ๋องก็จบเห่แล้ว
ใครจะไปคิดว่าเพื่อนร่วมทัพหมูๆ อย่างไท่จื่อจะไม่ให้ความร่วมมือเช่นนี้
กู้เจียวไม่อยากสนใจเขาแล้ว
ไท่จื่อเอ่ยเสียงเย็น “ข้าต้องไปดูหน่อยว่าใครว่าร้ายวังหลังอยู่ตรงนั้น!”
ไปเถอะ ไปเถอะ เจอตัวสิแปลก!
ไท่จื่อย่อมไม่เจอตัวอยู่แล้ว หลังจากกู้เฉิงเฟิงแสดงจบก็ใช้วิชาตัวเบาหนีไปแล้ว
ไท่จื่อกำหมัดแน่น “บ้าเอ๊ย ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดแน่!”
กู้เจียวกลอกตามองบน
แผนแรกล้มไม่เป็นท่า
เพียงไม่นานเรื่องนี้ก็ลอยเข้าหูหนิงอ๋อง
ตั้งแต่หนิงอ๋องโดนกู้เจียวชกไปเปรี้ยงหนึ่งก็แอบส่งคนให้จับตาดูการเคลื่อนไหวของกู้เจียว
หนิงอ๋องกำลังดื่มยา ได้ยินคำก็หรี่ตาลง “…นางพาไท่จื่อไปจับชู้จริงน่ะรึ”
ฉีเฟยเอ่ย “น่าจะจับชู้ ไม่รู้ว่านางไปหาคนที่มีทักษะการเปล่งเสียงเก่งกาจเพียงนี้มาจากไหนมาเลียนเสียงไท่จื่อเฟย คนผู้นั้นสวมหน้ากาก ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่าเขาเป็นผู้ใด”
หนิงอ๋องยิ้มเย็น “แผนการแค่นี้ก็ยังคิดจะมาสู้กับข้า จับตามองนางต่อไป!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
จับตาดูกู้เจียวมาระยะหนึ่ง หนิงอ๋องก็ได้อะไรมาไม่น้อย
เข้าสู่ปลายเดือนโดยไม่รู้ตัว อาการบาดเจ็บของหนิงอ๋องหายดีแล้ว จึงเข้าวังไปถวายพระพรฮ่องเต้
กู้เจียวกับไท่จื่อก็อยู่ด้วย
กู้เจียวมาจับชีพจรถวายฮ่องเต้ ส่วนไท่จื่อมาทูลความคืบหน้าของร่องรอยเซียวลิ่วหลังในหลายวันมานี้แก่ฮ่องเต้
ผ่านไปนานเพียงนี้แล้ว เซียวลิ่วหลังยังคงไร้ข่าวคราว ไท่จื่อกับฮ่องเต้ต่างเริ่มคาเดาว่าอาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับเซียวลิ่วหลังไปแล้วก็ได้
กู้เจียวมาตำหนักฮว๋าชิงหลายคราแล้ว ฮ่องเต้ทราบดีว่านางก็ร้อนใจอยากรู้ร่องรอยของเซียวลิ่วหลังเช่นกัน
ฮ่องเต้ไม่กล้าบอกความคาดเดาของตัวเองกับกู้เจียว กลัวว่านางจะเสียใจและรับไม่ได้
เนื่องเพราะเรื่องของเซียวลิ่วหลัง ฮ่องเต้ทรงหนักพระทัยมาก มาเจอหนิงอ๋องหายดีแล้วก็ยังมีสีพระพักตร์ไม่ค่อยดีเท่าใด
“ลูกไม่เป็นไรแล้ว อีกเดี๋ยวก็ออกไปตามหาเซียวซิวจ้วนด้วยกันกับน้องรองได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทอดถอนใจ บาดเจ็บหนักเพิ่งจะหาย ตามหลักการแล้วควรนอนพักผ่อน แต่ฮ่องเต้ไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของหนิงอ๋อง พระองค์อยากจะหาตัวเซียวลิ่วหลังให้พบโดยไว ต่อให้เป็นเพียงร่างไร้วิญญาณก็ตาม
“จริงสิ มือสังหารที่ลอบทำร้ายเจ้าคราก่อนจับได้หรือยัง”
หนิงอ๋องปรายตามองกู้เจียวแวบหนึ่งโดยไม่มีใครสังเกตเห็น กู้เจียวไร้ซึ่งอาการกินปูนร้อนท้องแม้แต่น้อย หนิงอ๋องมุมปากกระตุก เอ่ยกับฮ่องเต้ “ทูลเสด็จพ่อ ตอนนี้ยังไม่เจอพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็น “หาต่อไป มาลอบสังหารองค์ชายใต้ฝ่าพระบาท กลัวไม่ได้เป็นกบฏรึ!”
หนิงอ๋องเอ่ย “เรื่องนี้มอบให้จวนจิงเจ้าไปจัดการแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะได้ข่าวคราวพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้ากู้เจียวยังคงไร้การเปลี่ยนแปลง นางชักมือที่จับชีพจรให้ฮ่องเต้กลับมา “ฝ่าบาท หมู่นี้ร้อนในหนัก ต้องเสวยของอ่อนๆ หน่อยนะเพคะ”
ฉินกงกงเอ่ย “ฝ่าบาทหมู่นี้เสวยอะไรไม่ลงเลย! แม่นางกู้ เจ้าช่วยเกลี้ยกล่อมฝ่าบาททีสิ ถ้อยคำข้าไร้ค่าไปแล้ว!”
ฉินกงกงเป็นเพื่อนร่วมทัพที่ดีงามมาก ไม่ได้เตี๊ยมบทก่อนก็ยังรู้ใจกันเพียงนี้!
กู้เจียวถอนใจเอ่ย “เช่นนั้นอีกเดี๋ยวข้ารั้งอยู่ร่วมโต๊ะอาหารกับฝ่าบาทดีกว่า จะได้ฉลองที่หนิงอ๋องหายดีพอดีด้วย”
หนิงอ๋องมองกู้เจียวอย่างหยั่งเชิง
ฮ่องเต้ไม่ได้สังเกตความเคลื่อนไหวลับๆ ของทั้งคู่ พระองค์พยักหน้า “ดี พวกเจ้าสองคนพี่น้องก็รั้งอยู่ทานด้วยกันสิ” หยุดเว้นแล้วตรัสต่อ “เรียกเจ้าเจ็ดมาด้วย”
ฉินกงกงยิ้มเอ่ย “วันนี้องค์ชายเจ็ดมีเรียน อยู่ที่กั๋วจื่อเจียนโน่นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หัวเราะพลางตบหน้าผาก “เราลืมสนิทเลย”
กู้เจียวเอ่ย “ฝ่าบาท ไทเฮาชอบขนมเปี๊ยะดอกไม้สดที่ข้าทำมาก ข้าก็จะทำให้ฝ่าบาททรงลิ้มลองด้วยสักหน่อย”
ฮ่องเต้ยิ้มตรัส “เอาสิ”
มื้อเที่ยงผ่านไปไม่นาน ขนมเปี๊ยะดอกไม้สดของกู้เจียวก็ออกจากเตา นางยกขนมเปี๊ยะสดๆ ร้อนๆ ไปที่ห้องทรงอักษรด้วยตัวเอง ขนมเปี๊ยะวางอยู่ในจานเล็กๆ อันประณีต ซ้ำยังผสมดอกไม้แห้งกับดอกไม้สดไปด้วย หน้าตาน่าทานยิ่ง
“ฝ่าบาท” กู้เจียวหยิบขนมให้ฮ่องเต้ชิ้นหนึ่ง แล้วหยิบอีกชิ้นให้ไท่จื่อ
ฮ่องเต้ทรงทราบดีว่ากู้เจียวมีฝีมือ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เสวยลงไปทันที
ไท่จื่อค่อนข้างรังเกียจ สิ่งของที่เด็กสาวชนบทคนหนึ่งทำจะไปอร่อยเท่าใดกันเชียว
เขามองเสด็จพ่อของตัวเองแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ฝืนกินมันลงไป
เพียงคำเดียว ทั่วทั้งร่างก็มีชีวิตชีวาขึ้น
เหตุใดฝีมือของเด็กคนนี้จึงได้ดีเพียงนี้!
หนิงอ๋องนั่งอยู่ไกล กู้เจียวจึงส่งให้เขาเป็นคนสุดท้าย
หนิงอ๋องรับมาแล้วกลับนิ่งเฉย
กู้เจียวเอ่ยถาม “เหตุใดหนิงอ๋องจึงไม่เสวยเล่า รังเกียจฝีมือข้ารึ”
หนิงอ๋องแย้มยิ้ม “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร”
เขาเอ่ยพลางหยิบขนมเปี๊ยะขึ้นมาชิมคำหนึ่งอย่างเชื่องช้า
“อร่อยหรือไม่” กู้เจียวถาม
“รสชาติดีมาก” หนิงอ๋องเอ่ยเสียงนุ่ม
ปากเขาเอ่ยเช่นนี้ แต่เมื่อกู้เจียวหันกลับไป เขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ใช้จังหวะเช็ดปากบ้วนออกมาโดยไร้ร่องรอย
เฮอะ แผนกระจอกๆ!
หลังมื้อเที่ยง หนิงอ๋องก็ประสานมือให้ฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ ได้เวลาแล้ว ลูกขอตัวไปตามหาเซียวซิวจ้วนก่อน”
ฮ่องเต้พยักหน้า “เจ้าไปเถิด”
แม้ว่าคนเป็นบิดาจะสงสารร่างกายบุตรมาก แต่อย่างไรเสียก็ไร้อันตรายถึงชีวิตให้ห่วง ยามนี้ตามหาร่องรอยเซียวลิ่วหลังสำคัญกว่า
หนิงอ๋องไปตามหาคนแล้ว ไท่จื่อย่อมรั้งท้ายไม่ได้ เขาก็ลุกขึ้นยืน ประสานมือเอ่ยกับฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ ลูกก็ขอตัวก่อน”
“อืม พวกเจ้าเดินทางระวังกันด้วย” ฮ่องเต้ค่อนข้างเป็นห่วงว่ายอดฝีมือที่ลอบทำร้ายหนิงอ๋องจะย้อนกลับมาอีก
“ฝ่าบาท ข้าก็ขอตัวกลับก่อน” กู้เจียวเอ่ย
ฮ่องเต้พยักหน้า “ได้ เจ้าไปเถอะ”
กู้เจียวสะพายตะกร้าใบน้อยออกจากตำหนักฮว๋าชิง นางไปเอ่ยลาท่านย่าที่ตำหนักเหรินโซ่วก่อน ท่านย่าใส่ขนมจากห้องเครื่องมาให้นางจำนวนหนึ่ง
กู้เจียวพกขนมออกจากวัง ที่เหนือความคาดหมายก็คือหนิงอ๋องรอนางอยู่หน้าประตูวัง
“หมอกู้ หนิงอ๋องเชิญตัวขอรับ” คนขับรถของหนิงอ๋องเดินมาหา เอ่ยกับกู้เจียวอย่างมีมารยาท
กู้เจียวปรายตามองรถม้าของหนิงอ๋อง หนิงอ๋องเลิกม่านหน้าต่างเปิด ส่งยิ้มอ่อนโยนให้กู้เจียว “หมอกู้ไม่ยอมนั่งรถม้าข้า คงไม่ได้เพราะกลัวว่าข้าจะทำอะไรหมอกู้หรอกกระมัง”
กู้เจียวไม่ได้เอ่ยอะไร สาวเท้าก้าวยาวๆ ขึ้นรถม้าไป
นางไม่ใช้กิริยาสำรวมของสตรีทั่วไป การกระทำของนางล้วนเผยความองอาจผึ่งผายของเด็กหนุ่มออกมา
หนิงอ๋องยิ้มบาง “ความกล้าหาญของหมอกู้ช่างน่าเลื่อมใสจริงๆ”
กู้เจียวหาที่นั่งข้างกายหนิงอ๋อง เอ่ยอย่างไม่ยี่หระสักนิด “ประโยคนี้ข้าควรเป็นคนพูดกับหนิงอ๋องถึงจะถูก”
“เช่นนั้นรึ” หนิงอ๋องยิ้มขันมองนาง “อาศัยแค่เจ้าโชคดีลอบทำร้ายข้าครั้งหนึ่ง นั่นก็แค่เพราะข้าไม่ได้จัดวางกำลังป้องกันเฉยๆ หากสู้กันจริงๆ เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอกนะ”
กู้เจียวไม่ได้เอ่ยอะไร
หนิงอ๋องคิดว่านางยอมรับแล้ว
รถม้าเคลื่อนเข้าสู่ถนนสักพัก จู่ๆ กู้เจียวก็เอ่ยขึ้น “หนิงอ๋อง รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่”