สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 458 อวดดี
บทที่ 458 อวดดี
กำหนดตัดสินโทษของหนิงอ๋องเกิดขึ้นในเดือนเก้า ปลดฐานันดรองค์ชายออก และลดระดับลงไปเป็นสามัญชน เพียงแต่ไม่ได้เนรเทศ แต่หาคฤหาสน์นอกเมืองหลวงให้แห่งหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นการคุมขังอีกรูปแบบหนึ่ง
นี่เป็นผลลัพธ์หลังจากที่จวงไทเฮาทรงมีเมตตา หากราชครูจวงที่เป็นตาคิดถึงเขาจริงๆ ก็ยังไปเยี่ยมเขาได้บ่อยๆ
หากมาถึงขั้นนี้แล้วราชครูจวงยังไม่ล้มเลิกความคิด จะปลุกปั่นหนิงอ๋องต่อ องครักษ์ลับที่จวงไทเฮาส่งไปก็จะลงมืออย่างไร้ปรานี
ตั้งแต่โบราณกาลมาเมื่อองค์ชายถูกปลดยศ ครอบครัวที่อยู่ในจวนก็ไม่อาจรอดพ้นได้เช่นกัน ทว่าสิ่งที่น่าตกใจก็คือ นึกไม่ถึงว่าหนิงอ๋องจะยื่นหนังสือหย่าร้างให้แก่หนิงอ๋องเฟย
หนังสือหย่าร้างนี้หนิงอ๋องเป็นคนไหว้วานให้รุ่ยอ๋องและชายาเอาไปส่งให้
รุ่ยอ๋องเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ไม่รู้ว่าควรเอ่ยกับหนิงอ๋องเฟยอย่างไรดี และไม่รู้ว่าควรปลอบใจนางเช่นไรดี
รุ่ยอ๋องเฟยจึงให้เขารออยู่ข้างนอกมันเสียเลย แล้วตัวเองไปคุยกับพี่สะใภ้ใหญ่เอง
“พี่สะใภ้ใหญ่”
นางเข้ามาในห้อง
หนิงอ๋องเฟยกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ข้างหน้าต่าง
พี่สะใภ้ใหญ่มีนิสัยชอบอ่านหนังสือ รุ่ยอ๋องเฟยชินตาไปเสียแล้ว นางคิดว่ายามนี้พี่สะใภ้อาจจะอารมณ์ไม่ค่อยดี จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเดินไปหาเหมือนเมื่อก่อน แต่ยืนรอการตอบกลับจากพี่สะใภ้ใหญ่นิ่งๆ ตรงหน้าประตูแทน
ปฏิกิริยาของหนิงอ๋องเฟยยามนี้ค่อนข้างเชื่องช้า ครู่ใหญ่ๆ นางจึงได้หันมาหา เห็นเป็นรุ่ยอ๋องเฟย ก็ไม่ได้ตกใจอะไร นางเอ่ยทัก “เจ้ามาแล้วรึ มานั่งสิ”
รุ่ยอ๋องเฟยเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับหนิงอ๋องเฟย
เนิ่นนานก็ยังไม่เห็นคนรับใช้ยกชามาให้
หนิงอ๋องเฟยจึงเพิ่งรู้ตัว ก่อนหัวเราะเยาะตัวเอง “ลืมไปว่าคนรับใช้ในจวนถูกไล่ออกไปหมดแล้ว” นางเอ่ยพลางหิ้วกาน้ำชามารินให้รุ่ยอ๋องเฟยเอง
“เดี๋ยวข้าทำเองพี่สะใภ้ใหญ่!” รุ่ยอ๋องเฟยรีบลุกขึ้น หมายจะรับกาน้ำชาจากมือนาง
“ไม่ต้องหรอก ชาถ้วยนี้ข้าเทได้” หนิงอ๋องเฟยดันมือนางออก เทชาที่เย็นชืดไปนานแล้วให้รุ่ยอ๋องเฟย “ช่างเถิด เจ้าอย่าดื่มเลย มันเย็นหมดแล้ว”
“ไม่เป็นไรเพคะพี่สะใภ้” รุ่ยอ๋องเฟยห้ามมือหนิงอ๋องเฟยที่จะยื่นมาหยิบถ้วยของตน “ข้าไม่ชอบดื่มร้อนๆ น่ะ” นี่ไม่ใช่ถ้อยคำปลอบใจหนิงอ๋องเฟยแต่อย่างใด แต่เพราะหลังจากที่นางตั้งครรภ์แล้วขี้ร้อนจริงๆ เพียงแต่เหล่าแม่นมในจวนไม่อนุญาตให้นางดื่มชาเย็นๆ รุ่ยอ๋องจึงแอบให้นางดื่มสองสามคำเพื่อให้หายอยากเป็นครั้งคราว
“เรื่องบางเรื่องก็เป็นลิขิตสวรรค์จริงๆ” หนิงอ๋องเฟยยิ้มขื่น ก่อนจะชักมือกลับ
รุ่ยอ๋องเฟยชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ นางหมายถึงเรื่องตั้งครรภ์ ตั้งแต่หนิงอ๋องเฟยตั้งครรภ์ก็เริ่มระมัดระวังเป็นพิเศษ อาหารการกินจะยืนเดินนั่งนอนล้วนทำตามที่หมอหลวงและพวกแม่นมสั่งอย่างเข้มงวด
แต่ผลสุดท้ายลูกๆ ทั้งสามก็ไม่อยู่สักคน
“พี่สะใภ้ใหญ่ เรื่องลูก…เกี่ยวกับพี่ใหญ่ด้วยหรือไม่” รุ่ยอ๋องเฟยรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว นางไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะด่าทอเวินหลินหลังเลย ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่เคยคาดคิดว่าพี่ใหญ่จะเป็นคนที่ทำเรื่องพรรค์นั้นได้
รุ่ยอ๋องก็ตกใจระคนแปลกใจเช่นกัน
เขาขังตัวเองอยู่ในห้องตำราสามวันสามคืน เขาเองก็สะเทือนใจไปไม่น้อยไปกว่าไท่จื่อเลย
ในใจของทุกคนล้วนมีความเชื่อมั่น และไร้ข้อกังขาใดๆ หนิงอ๋องคือความเชื่อมั่นของรุ่ยอ๋อง
ยามนี้ ความเชื่อมั่นนี้ได้พังทลายลงแล้ว
หนิงอ๋องเฟยส่ายหน้า “หากคำว่าเกี่ยวข้องที่เจ้าหมายถึงคือการที่เขาวางยาให้ข้าแท้งนั้น ไม่มีหรอก เพียงแต่…”
ประโยคหลังรุ่ยอ๋องเฟยพอจะเดาออกแล้ว เพียงแต่นางรู้เรื่องระหว่างหนิงอ๋องกับเวินหลิงหลังแต่แรกแล้ว นางทั้งตั้งครรภ์อยู่ทั้งยังต้องฝืนทนกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ ภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรงจึงนำไปสู่การคลอดก่อนกำหนดในที่สุด
“พี่สะใภ้ใหญ่ อย่าเสียใจไปเลย พี่ยังสาวอยู่เลย หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลนะเพคะ” รุ่ยอ๋องเฟยล้วงเอาหนังสือหย่าออกมาจากแขนเสื้อกว้าง ก่อนส่งไปตรงหน้าหนิงอ๋องเฟยพลางเอ่ย “นี่เป็นสิ่งที่พี่ใหญ่ไหว้วานพวกเราให้นำมามอบให้พี่สะใภ้ พี่สะใภ้ลงนามและประทับลายนิ้วมือก็จะไม่ใช่หนิงอ๋องเฟยอีกต่อไป และจะไม่ถูกลากไปเกี่ยวกับเขาด้วย”
พูดถึงเรื่องนี้ รุ่ยอ๋องเฟยก็เกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นในใจ
นางรู้สึกว่าที่พี่ใหญ่ทำมันผิดจริงๆ แต่เรื่องที่ปล่อยพี่สะใภ้ใหญ่ให้เป็นอิสระก็ทำให้นางต้องมองเขาใหม่
อันที่จริงในใจพี่ใหญ่ก็มีพี่สะใภ้อยู่กระมัง เพียงแต่เขาถูกความเคียดแค้นและผลประโยชน์บดบังดวงตา มองไม่เห็นความในใจตัวเองมาโดยตลอด
เขาคิดว่าสิ่งที่รู้สึกต่อพี่สะใภ้ใหญ่คือการแสร้งเคารพให้เกียรติ แต่ไม่รู้ตัวเลยว่าพี่สะใภ้ใหญ่เดินเข้าสู่ส่วนลึกในดวงใจเขาแล้ว
ในทางกลับกันเวินหลินหลังสตรีนางนั้นก็เป็นแค่เพียงความไม่ผิดหวังที่ไม่ได้นางมาครอบครองในตอนหนุ่มของพี่ใหญ่ เป็นข้อพิสูจน์ถึงอำนาจและเอาชนะความปรารถนาของตัวเขาเอง
หนิงอ๋องเฟยมองหนังสือหย่าที่พับอยู่ นางไม่ได้เปิดออกทันที แต่ยิ้มจางๆ ออกมาพลางเอ่ย “เชียนเชียนเจ้ารู้หรือไม่ ตอนข้าสิบสามเจอเขาครั้งแรกก็หลงใหลในใบหน้าและกิริยาท่าทางของเขา ข้ารักบุรุษผู้นี้มาสิบเอ็ดปี เขาชอบสตรีที่มีความรู้เป็นนักกวีและเป็นหนอนหนังสือ ต่อให้ข้าไม่ชอบอ่านหนังสือเท่าใดก็มักจะทำในสิ่งที่เขาชอบเสมอ และข้าก็เคยแอบคิดว่า เรื่องหน้าตาข้าสู้เวินหลินหลังไม่ได้ อย่างน้อยเรื่องเล่าเรียนเขียนอ่าน หากข้าพยายามอีกหน่อยก็คงไม่ด้อยกว่านางมากนัก”
รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ยอย่างโมโห “พี่สะใภ้ใหญ่ สตรีนางนั้นไม่คู่ควรจะเอามาเทียบกับพี่สักนิด!”
“คุยเรื่องพวกนี้ในยามนี้ไปก็เปล่าประโยชน์” หนิงอ๋องเฟยยิ้ม เอ่ยกับรุ่ยอ๋องเฟย “ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกข้าว่าพี่สะใหญ่แล้ว ข้าไม่ใช่คนในราชวงศ์อีกแล้ว”
ไม่ได้เกี่ยวกับหนังสือหย่าร้าง แต่ฉินฉู่หันไม่ใช่องค์ชายอีกต่อไปแล้วต่างหาก
“พี่สะใภ้ใหญ่…” รุ่ยอ๋องเฟยทนไม่ไหว เรียกขึ้นอีกหน
หนิงอ๋องเฟย…จะเรียกให้ถูกก็คือฉู่เย่ว์
ฉู่เย่ว์เอ่ยกับรุ่ยอ๋องเฟย “กลับไปได้แล้ว ที่นี่มันไม่ค่อยดี”
รุ่ยอ๋องเฟยมองนางอย่างเจ็บปวด “เสด็จพ่อตรัสว่าพักอยู่ต่อได้อีกหน่อยนะเพคะ”
ฉู่เย่ว์แย้มยิ้มคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ข้าไม่ได้ไม่มีที่ไปเสียหน่อย”
รุ่ยอ๋องเฟยอ้าปากพะงาบๆ “พี่สะใภ้ใหญ่ ไม่สิ พี่ฉู่ อ๊ะ ไม่ใช่ ไม่เรียกพี่ว่าพี่สะใภ้ใหญ่แล้วมันแปลกๆ ยิ่งนัก”
ฉู่เย่ว์เอ่ย “เช่นนั้นจะเรียกก็ได้ ก็แค่คำเรียกเท่านั้นเอง”
“พี่ย้ายไปพักที่จวนรุ่ยอ๋องดีหรือไม่” รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ยเสนอ
ระหว่างทางมานี้นางได้คุยเรื่องนี้กับรุ่ยอ๋องแล้ว และรุ่ยอ๋องก็ไม่มีความเห็นอื่นใด
แต่รุ่ยอ๋องก็พอจะเดาได้ว่าฉู่เย่ว์คงไม่ตอบตกลง เขาไม่ได้เอ่ยต่อหน้าภรรยา กลัวว่าภรรยาจะคิดว่าเขาใจแคบ
ฉู่เย่ว์ส่ายหน้า “ขอบคุณในน้ำใจเจ้านัก ข้ามีที่ไปแล้ว อ๊ะ จริงสิ เจ้ามาได้พอดีเลย แม่นางกู้ตรวจให้ข้าเมื่อคราก่อน แล้วลืมของไว้ที่ข้า เจ้าช่วยข้าเอาไปคืนนางที”
“ได้เพคะ”
รุ่ยอ๋องเฟยขอบตาแดงก่ำเดินออกมาจากในห้อง
รุ่ยอ๋องสงสารจับใจ แต่ไม่รู้จะปลอบอย่างไร
เขาก็ได้รับความกระทบกระเทือนหนักมากเช่นกัน แต่โชคดีที่มีเชียนเชียนและลูกในท้องนางคอยอยู่ข้างกาย มิฉะนั้นเขาอาจจะไม่รู้จริงๆ ว่าควรฝืนต่อไปอย่างไรดี
ทั้งคู่ไปที่โรงหมอกัน รุ่ยอ๋องเฟยนำกล่องผ้าไหมที่ฉู่เย่ว์ให้รุ่ยอ๋องเฟยมาส่งมอบให้ถึงมือกู้เจียว
“พี่สะใภ้บอกว่าเจ้าไปตรวจนางเมื่อคราก่อนไม่ทันระวังลืมไว้”
กู้เจียวกระจ่าง “ทราบแล้ว ขอบใจนัก”
หลังจากทั้งสองกลับไป กู้เจียวก็เปิดกล่องผ้าไหมนั้นออก
ด้านในมีป้ายทองคำละเว้นโทษประหารวางอยู่
เรื่องของหนิงอ๋อง กู้เจียววางแผนที่เลวร้ายที่สุดไว้ โดยการนำป้ายทองคำละเว้นโทษตายไปมอบให้หนิงอ๋องเฟยหวังว่าจะสามารถปกป้องนางให้รอดพ้นจากวังวนนี้ได้
แน่นอนว่ากู้เจียวก็เคยคิดเช่นกันว่าหนิงอ๋องเฟยอาจจะใช้ป้ายนี้มาปกป้องหนิงอ๋อง
ผลสุดท้ายนางไม่ได้เลือกทั้งสองทางเลย
สุดท้ายแล้วหนิงอ๋องเฟยได้ลงนามในหนังสือหย่าร้างนั้นหรือไม่ก็ไม่แน่ชัด ในวันที่สองที่หนิงอ๋องถูกกักขังนางก็หายไปจากเมืองหลวงแล้ว
…
“ปล่อยข้านะ! พวกเจ้าปล่อยข้า! ข้าจะไปพบไท่จื่อ!”
“ยังคิดจะไปพบไท่จื่ออีกรึ ปิดปากนางให้ข้าที!”
ซูกงกงออกคำสั่ง แม่นมร่างใหญ่มีเรี่ยวแรงสองคนก็พลันกดเวินหลินหลังไว้กับพื้น แล้วหยิบผ้ามาอุดปากนางไว้
นางไม่ร้องส่งเสียงออกมาอีก ทำได้เพียงร้องอู้อี้ขึ้นเบาๆ
ซูกงกงยกแส้ขนหางจามรีขึ้นพลางเอ่ย “ฮองเฮามีรับสั่ง ไท่จื่อเฟยประชวรหนัก ให้ออกเดินไปรักษาตัวที่ราชนิเวศน์นอกเมืองหลวง”
เวินหลินหลังส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
นางไม่ได้ป่วยเสียหน่อย!
นางไม่ต้องไปรักษาตัวที่ราชนิเวศน์!
ใครๆ ก็รู้ว่าไปรักษาตัวจะมีจุดจบอย่างไร!
ภายในเวลาไม่ถึงปีครึ่ง นางจะต้องตายในราชนิเวศน์ด้วยโรคร้ายแรงแน่!
เรียกได้ว่าเซียวฮองเฮาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปกปิดเรื่องอื้อฉาวของไท่จื่อ หนิงอ๋องเพิ่งถูกปลดฐานันดร ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้หากไท่จื่อเฟยถูกลงโทษในเรื่องบางอย่างไปอีกคน จะทำเอาผู้คนเกิดความคิดไปต่างๆ นานาได้ง่ายๆ
เหตุผลอย่างการไปพักรักษาตัวที่ราชนิเวศน์นั้นเป็นเหตุผลเดียวที่ไร้ช่องโหว่
เวินหลินหลังถูกลากตัวขึ้นรถม้าไปอย่างหยาบคาย
ชั่วขณะก่อนที่จะออกจากวัง บังเอิญกู้เจียวออกจากวังหลวงมาพอดี พวกซูกงกงรีบคำนับให้นางอย่างเคารพทันที “หมอกู้!”
เวินหลินหลังถูกกดไว้กับพื้นอย่างอนาถ ไหนเลยยังจะเหลือมาดอะไรอีก
นางถลึงตาใส่กู้เจียวอย่างแรง
เจ้าพอใจหรือยัง
ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจลงไป เป้าหมายเจ้าสำเร็จแล้ว!
ทว่ากู้เจียวเพียงมองนางนิ่งๆ แวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นนาง แววตากลับไร้ถึงความลำพองใจใดๆ
นางมองเวินหลินหลังอย่างราบเรียบ ราวกับกำลังมองผู้คนที่ผ่านทางไปมาที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง แม้แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เวินหลินหลังเคยล่วงเกินนางในสมัยก่อนก็คล้ายจะถูกกู้เจียวทิ้งไว้ในกลีบเมฆแล้ว
ในขณะนั้นเอง เวินหลินหลังจึงได้กระจ่างแจ้ง ที่แท้กู้เจียวก็ไม่ได้จงใจแสร้งยึดมั่นในคุณธรรม แต่นางไม่เคยสนใจตนมาแต่ไหนแต่ไรแล้วต่างหาก
นี่หาใช่เพราะความใจดีและใจกว้างของกู้เจียว แต่นางไม่เห็นตนในสายตาจริงๆ
กู้เจียวยืนอยู่ตำแหน่งสูงที่ตนไม่อาจปีนขึ้นไปถึงตั้งแต่แรกแล้ว ราวกับนักรบผู้เกรียงไกรที่ทอดมองดูท้องฟ้า จะสังเกตเห็นว่ามีแมลงตัวเล็กๆ รองอยู่ใต้ฝ่าเท้านางได้อย่างไร
การเปรียบเปรยนี้ค่อนข้างเกินเหตุไปหน่อย แต่กู้เจียวไม่เคยสนใจเวินหลินหลังเลยจริงๆ
เวินหลินหลังไม่เข้าใจ นางด้อยกว่ากู้เจียวตรงไหน
นอกจากที่นางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ แล้วมีอะไรที่นางด้อยกว่ากู้เจียวอีก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใบหน้างามล่มบ้านล่มเมืองของตนเลย กู้เจียวกลับมีใบหน้าอัปลักษณ์ที่ทนมองไม่ได้เสียอีก…
กู้เจียวไม่ขลาดอายสักนิดเลยหรือ
ท่าทางที่กู้เจียวเดินผ่าเผยออกมาจากวังหลวง ไม่เพียงแต่ไม่ขลาดอายเท่านั้น ยังค่อนข้าง…อวดดีด้วย