สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 467-2 ความจริงถูกเปิดเผย (2)
บทที่ 467 ความจริงถูกเปิดเผย (2)
ในความเป็นจริง เซวียนผิงโหวไม่ได้พาบ่าวหญิงคนนั้นมาที่นี่ แต่เป็นบ่าวหญิงที่มาด้วยตัวเอง
องค์หญิงยังจำประโยคแรกที่นางคนนั้นพูดกับตัวเองได้อย่างชัดเจน ‘ได้ยินมาว่าท่านเป็นองค์หญิง ขอข้าพำนักที่จวนของท่านได้ไหม’
นางเป็นสตรีที่มีกลิ่นอายความดิบเถื่อนชวนให้นึกถึงม้าพยศบนทุ่งหญ้า ผิวของนางเป็นสีข้าวสาลี ใบหน้าคมเข้ม ผิวพรรณที่หยาบกร้านที่ถูกขัดด้วยลมและทราย แต่คิ้วและดวงตาของนางกลับดูบอบบางและล้ำลึกเป็นพิเศษ
สตรีในแคว้นเจามักถูกเชิดชูจากการที่มีผิวขาว แต่พอองค์หญิงได้พบกับสตรีผู้นี้ก็ถึงกับตระหนักได้ว่าความงามและความอัปลักษณ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสีผิว
นางพูดภาษาแคว้นเจาได้ไม่ค่อยดีนัก นางใช้เวลาอยู่ครึ่งวันกว่าจะพูดอธิบายอะไรสักอย่างให้องค์หญิงเข้าใจ ปรากฏฮูหยินใหญ่เซียวทราบเรื่องว่านางตั้งครรภ์ ก็ดีใจยกใหญ่ เลยจัดแจงส่งสาวใช้สิบเจ็ดสิบแปดคนมาดูแลนาง
และนั่นทำให้องค์หญิงรู้สึกรำคาญ
‘ข้าเป็นภรรยาของเซวียนผิงโหว’
‘ข้ารู้ แต่ท่านไม่ได้รักเขา’
เจ้าก็เลยหน้านวลท้องโตเข้ามาอาศัยที่จวนของข้าอย่างนั้นสิ
องค์หญิงไม่รู้ว่าจะพูดกับนางอย่างไรดี จะบอกว่านางไม่รู้เรื่องอะไร หรือจะบอกว่านางกล้ามากที่ทำแบบนี้ดีนะ
แต่สุดท้าย องค์หญิงก็ยอมให้นางเข้ามาอยู่ด้วย
ไม่มีเหตุผลอื่น นางเป็นบ่าวจากแคว้นเยี่ยน องค์หญิงรู้เรื่องเกี่ยวกับแคว้นนั้นมากพอด้วยความที่เป็นคนใฝ่รู้
กลายเป็นว่า พวกนางเข้ากันได้ดี นางแตกต่างจากสตรีแคว้นเจา เป็นคนมีอิสระ เรียบง่าย และกล้าได้กล้าเสีย
ดังนั้นองค์หญิงจึงไม่เคยคาดคิดว่านางจะฆ่าลูกชายของคนอื่นเพื่อรักษาชีวิตลูกชายของนางเอง
แต่พอมาคิดดูอีกทีแล้ว นี่เป็นสิ่งที่นางทำได้ไม่ใช่หรือ
ช่างเป็นคนที่โหดเหี้ยมและเลือดเย็นยิ่งนัก
ไม่แปลกที่เซวียนผิงโหวจะพาคนแบบนางมา
เซวียนผิงโหวเป็นคนที่ปล่อยใจอิสระตอนอยู่ข้างนอก และเป็นคนมีระเบียบวินัยอย่างมาก เวลาอยู่ที่จวน เขาไม่เคยแม้แต่แจะแตะต้องบ่าวหรือสาวใช้ที่จวน จะมีก็แค่อนุภรรยาที่ฮูหยินใหญ่เซียวขอร้องให้เซวียนผิงโหวรับไว้ และเขาไม่เคยพาใครเข้ามาในจวนเลยสักครั้ง
เขามีแค่แม่ของเซียวเหิงคนเดียวเท่านั้น
เขาจะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำให้องค์หญิงขุ่นเคือง ครั้งหนึ่ง มีนางโลมผู้โง่เขลาขวางรถม้าขององค์หญิง และบอกว่านางยินดีที่จะทำงานรับใช้องค์หญิงและเซวียนผิงโหว
วันต่อมา นางโลมคนนั้นก็ได้หายตัวไปจากเมืองหลวง
หลังจากคิดถึงหลายสิ่งหลายอย่าง ในที่สุด อารมณ์ขององค์หญิงก็เริ่มสงบลงบ้าง
และเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ที่องครักษ์หลงอิ่งจะหักหลังนาง
แต่คำตอบที่ได้ออกมา มันดูเป็นไปไม่ได้เลย
หากองครักษ์หลงอิ่งหักหลังเจ้านายของเขาได้ เขาก็จะไม่ได้เป็นองครักษ์หลงอิ่งอีกต่อไป
คนที่มอบหมายให้องครักษ์หลงอิ่งคอยคุ้มกันนางก็คือจักรพรรดิองค์ก่อน พวกเขาเชื่อฟังแต่คำสั่งของนางและจักรพรรดิเท่านั้น แต่จักรพรรดิองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ก่อนที่นางจะหมั้นหมายกับเซวียนผิงโหวด้วยซ้ำ
เป็นไปได้หรือที่องครักษ์หลงอิ่งจะรับคำสั่งจากดินแดนใต้พิภพ
จะใช่หรือ
หรือว่า ใช้วิธีเข้าฝัน
เดี๋ยวก่อนนะ ยังมีอีกคนที่ไม่ได้เป็นหทารของจักรพรรดิองค์ก่อน
คือหลงอี
แต่ความคิดนี้เป็นอันต้องถูกปัดตกไป เพราะช่วงเกิดเหตุ นางมีคำสั่งให้หลงอีเดินทางไปยังเขาเฟิงตูเพื่อสยบเหตุการณ์วุ่นวาย และกลับมาอีกทีตอนช่วงเซียวเหิงใกล้ครบหนึ่งเดือน
เขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
ดังนั้น เป็นฝีมือขององครักษ์หลงอิ่งอีกสี่คนจริงๆ รึ
แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ตก
คงไม่ใช่จักรพรรดิองค์ก่อนที่สั่งเสียให้พวกเขาสังหารลูกชายของนางกับเซวียนผิงโหว เพราะทรงเชื่อพระทัยว่านางกับเขาไม่มีทางมีบุตรได้ …
พอถึงตรงนี้ ความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดก็พลันหยุดลง!
องค์หญิงเริ่มออกอาการผวา
และเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้มากขึ้น
ตอนรัชสมัยจักรพรรดิองค์ก่อน เซวียนผิงโหวยังอยู่ในวัยเยาว์ ทรงเห็นถึงศักยภาพในตัวเขา เซวียนผิงโหวเป็นนักรบที่อายุน้อยที่สุดของแคว้น และถูกแต่งตั้งให้เป็นอู่โหว อันเป็นดั่งมือซ้ายและไหล่ขวาของจักรพรรดิ
แต่อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความไว้วางใจย่อมมีความไม่ไว้ใจเกิดขึ้น
จักรพรรดิองค์ก่อนจับคู่เขากับองค์หญิงอย่างลับๆ เหตุใดถึงต้องเป็นความลับ นั่นเป็นเพราะหากทรงมีพระชนมายุยืนนาน ทรงประสงค์จะปลิดชีพของเซวียนผิงโหว แต่หากทรงสิ้นพระชนม์ก่อน เขาจะให้นางเป็นคนลงมือ
แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ทรงเข้าใจว่าขณะนั้นแคว้นกำลังตกอยู่ในอันตราย จะขาดแรงจากเซวียนผิงโหวไปไม่ได้
เลยทรงใช้งานเซวียนผิงโหวอย่างเต็มที่ ตราบใดที่เขาไม่ก่อกบฏ ชีวิตของเขาจะยังคงปลอดภัย และถ้าวันใดวันหนึ่งเขาก่อกบฏขึ้นมาก็จะถูกฆ่าทันที!
อย่างไรก็ตาม เซวียนผิงโหวเป็นคนระมัดระวังอย่างมาก นักฆ่าธรรมดาไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้ จึงทรงใช้อุบายคนงามแทน
ท่ามกลางองค์หญิงมากหน้าหลายตา แต่กลับทรงเลือกนางคนเดียว เพราะทรงรู้ว่านางจะไม่หลงเสน่ห์ของเขา
คนที่ไม่ถูกปิดตาด้วยความเสน่หาย่อมพร้อมปลิดชีวิตเขาได้ทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตาม ด้วยประสบการณ์ของพระองค์ มีหรือที่จะทรงไม่เข้าใจธรรมชาติของคนและสัจธรรมของชีวิต
หากวันใดวันหนึ่งนางเกิดหวั่นไหวขึ้นมาล่ะ
พระองค์ทรงไม่อนุญาตให้นางให้กำเนิดบุตรของเซวียนผิงโหว และไม่อนุญาตให้นางมีโซ่ตรวนสายสัมพันธ์ระหว่างเขาและนาง
จะให้กำจัดเซวียนผิงโหวไปเลยก็ไม่ได้ บ้านเมืองยังต้องการคนแบบเขา เหตุผลเดียวที่จะกำจัดเขาได้ คือการก่อกบฏ
ถ้าหากเขาไม่กบฏ เขาก็ยังสามารถใช้ชีวิตต่อได้
แต่ลูกของพวกเขาจะต้องตาย
เป้าหมายขององครักษ์หลงอิ่งในตอนแรกคือเซียวชิ่งตัวน้อย แต่แม้เซียวชิ่งจะเกิดก่อนเซียวเหิงไปครึ่งเดือน แต่รูปร่างของพวกเขากลับมีขนาดเท่ากัน ทำให้องครักษ์หลงอิ่งเกิดความสับสน แต่สุดท้ายพวกเขาก็วางยาพิษได้สำเร็จ
เหตุใดถึงต้องใช้วิธีวางยา เรื่องนี้องค์หญิงเองก็ไม่รู้เช่นกัน
เป็นดำริของจักรพรรดิองค์ก่อนทั้งสิ้น
บางทีอาจเพื่อหลีกเลี่ยงการสืบไปจนถึงตัวองครักษ์หลงอิ่ง หรือบางทีอาจทรงอยากทิ้งร่องรอยแห่งความเมตตาไว้ให้กับหลานชายของพระองค์ ให้ศพอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดก็เป็นได้
ขาทั้งสองข้างขององค์หญิงเริ่มอ่อนแรงลงจนทรุดลงบนพื้น ราวกับเรี่ยวแรงทั้งหมดได้ถูกดึงออกไปจากร่างกาย
“องค์หญิงเพคะ!” อวี้จิ่นรีบพุ่งตัวเข้ามา
อวี้จิ่นยังไม่ทันได้รอให้องค์หญิงกลับมาที่ตรอกปี้สุ่ย กลายเป็นว่ามีคนจากจวนส่งข่าวมาแจ้งว่าองค์หญิงกลับมาที่จวนแล้ว และพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
อวี้จิ่นจึงรีบมาที่นี่
“องค์หญิง องค์หญิงทรงเป็นอะไรไปหรือเพคะ” อวี้จื่นย่อตัวลงและค่อยๆ เขย่าที่หัวไหล่ขององค์หญิง
ใบหน้าขององค์หญิงซิ่นหยางไร้ซึ่งสีของเลือด แววตาว่างเปล่า ราวกับคนใจสลาย แต่กลับไม่มีน้ำตาสักหยด
“ข้าก็นึกว่า ที่เสด็จพ่อส่งมอบองครักษ์หลงอิ่งให้ข้า ก็เพราะทรงเชื่อในตัวข้า และช่วยข้าแบ่งเบาภาระเสียอีก”
อวี้จิ่นมองนายหญิงของตัวเองด้วยสายตาเจ็บปวด “องค์หญิง…”
เสียงหัวเราะแกมประชดขององค์หญิงดังขึ้น “แต่สุดท้าย ทรงไม่เชื่อข้า…ทรงกีดกันเซวียนผิงโหว…รวมถึงข้าคนนี้ด้วย…”