สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 477
บทที่ 477
กู้เจียวออกมาจากตำหนักเหรินโซ่ว บังเอิญเจออวี้จิ่นมาถวายพระพรเซียวฮองเฮาพอดี
“ท่านอาอวี้จิ่น” กู้เจียวทักทายนาง
อวี้จิ่นยิ้มอย่างปรีดาระคนแปลกใจ “หมอกู้นี่เอง เจ้าเข้าวังมาเยี่ยมไทเฮารึ”
ในเมื่อองค์หญิงซิ่นหยางตรวจสอบกู้เจียวแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับจวงไทเฮา
กู้เจียวพยักหน้า
“องค์หญิงก็เข้าวังหรือ” นางถาม
“อ่า เปล่าหรอก มีแค่ข้าที่เข้าวัง ฮองเฮาเรียกเข้าเฝ้า องค์หญิงนาง…” เอ่ยมาถึงตรงนี้ อวี้จิ่นก็ยิ้มอย่างจนใจ แต่ก็ไม่ได้ปกปิดอะไรกู้เจียว “ฮองเฮาอยากทราบเรื่องท่านโหวน้อย องค์หญิงไม่อยากพูดถึงนัก จึงอ้างว่าป่วยอยู่ในเรือน ให้ข้ามาเข้าเฝ้าแทน”
ส่วนฮองเฮาถามอวี้จิ่น อวี้จิ่นก็แค่เลี่ยงไปว่าตนเป็นเพียงคนรับใช้ ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย
เซียวฮองเฮาใช้ทัณฑ์ทรมานกับคนอื่นได้ แต่จะมาใช้กับอวี้จิ่นไม่ได้ ประการแรกอวี้จิ่นไร้ความผิด ประการที่สองอวี้จิ่นเป็นคนสนิทขององค์หญิงซิ่นหยาง หากเซียวฮองเฮากล้าลงมือกับนาง องค์หญิงซิ่นหยางไม่มีทางยอมรามือแน่
คนครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนั้น
ทั้งคู่เดินไปด้วยกันจนถึงประตูวัง
กู้เจียวไม่ชอบถามเรื่องส่วนตัวคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่ตั้งแต่ที่อวี้จิ่นแน่ใจในตัวตนของเซียวลิ่วหลังแล้ว ก็ไม่ได้มองกู้เจียวเป็นคนนอกอีกเลย
นางเป็นฝ่ายเอ่ยกับกู้เจียว “อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงกับฮองเฮาก็ไม่ค่อยสนิทชิดเชื้อเท่าใดนักหรอก”
นางใช้คำว่าสนิทชิดเชื้อ นี่เป็นการปรับเปลี่ยนหลังจากไตร่ตรองแล้ว อันที่จริงความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นหมางเมินกันมาก สาเหตุมาจากเซวียนผิงโหวหมางเมินกับองค์หญิงซิ่นหยาง ในฐานะที่เซียวฮองเฮาเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเซวียนผิงโหว ย่อมไม่มีทางโยนความผิดไปให้พี่ชายตัวเองอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงค่อนข้างมีอคติกับองค์หญิงซิ่นหยาง
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ใช่คนที่ชอบประจบประแจงใครอยู่แล้ว มันจึงทำให้ระหว่างทั้งคู่เฉยเมยกัน
“เฮ้อ” อวี้จิ่นทอดถอนใจ “ฮองเฮากับองค์หญิงต่างรักท่านโหวน้อยด้วยกันทั้งคู่ ตอนที่ท่านโหวน้อยยังอยู่ทั้งคู่ยังพอจะได้พูดคุยกันบ้าง ตั้งแต่ที่ท่านโหวน้อย…เกิดเรื่อง ฮองเฮากับองค์หญิงก็แทบจะไม่ได้ไปมาหาสู่กันเลย”
มีเพียงครั้งเดียวก็เมื่อตอนองค์หญิงซิ่นหยางกลับเมืองหลวง เข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮานั่นแหละ
ทว่า นี่ก็ไม่ใช่มิตรภาพระหว่างน้องสามีและพี่สะใภ้ แต่เป็นมารยาทระหว่างกษัตริย์กับปวงชน
ที่อวี้จิ่นเล่าเรื่องพวกนี้ให้กู้เจียวฟังไม่ได้หวังว่ากู้เจียวเห็นใจหรืออย่างไร และไม่ใช่เพื่อเตือนกู้เจียวไม่ให้พูดในสิ่งที่องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้พูดออกไป
นางแค่เล่าให้กู้เจียวฟังเฉยๆ แค่นั้นเลย
กู้เจียวเป็นผู้ฟังที่ดีมาก คนแรกก็รุ่ยหวังเฟย ต่อมาก็อวี้จิ่น ล้วนอยากจะแบ่งปันเรื่องในใจของตัวเองให้กู้เจียวฟังกันมาก
ทั้งสองสนทนากันพลางเดินมาถึงประตูวังโดยไม่ทันรู้ตัว
กู้เจียวนั่งรถม้าของเสี่ยวซานจื่อมา บังเอิญรถม้าของเสี่ยวซานจื่อเสีย ล้อมันหลวมเล็กน้อย เขากำลังนั่งยองๆ ซ่อมล้ออยู่
อวี้จิ่นจึงเอ่ยกับกู้เจียว “หมอกู้ ข้าส่งท่านกลับดีกว่า”
กู้เจียวไม่ได้ปฏิเสธ นางบอกเสี่ยวซานจื่แล้วขึ้นไปนั่งบนรถม้าอวี้จิ่น
นางมองออกว่าอวี้จิ่นยังเล่าไม่หนำใจ ยังอยากจะเล่าอยากจะคุยกับตนอยู่
หลังจากนั่งบนรถม้าแล้ว อวี้จิ่นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามกู้เจียว “จริงสิ โหวฮูหยินใกล้คลอดแล้วใช่หรือไม่”
กู้เจียวเอ่ย “คลอดแล้ว”
อวี้จิ่นชะงักไปพลางถาม “ไหนว่าเดือนหน้าไม่ใช่หรือ คลอดไวเพียงนี้เชียวรึ ลูกชายหรือลูกสาวเล่า แข็งแรงกันดีหรือไม่”
คำว่า ‘กัน’ นี้ เห็นได้ชัดว่ารวมแม่นางเหยาเข้าไปด้วย
กู้เจียวพยักหน้าอย่างซาบซึ้ง “ลูกชายเจ้าค่ะ ปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก”
อวี้จิ่นยิ้มปรีดา “เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก ข่าวดีเพียงนี้ต้องเอาไปทูลองค์หญิงเสียหน่อย หมอกู้ติดใจหรือไม่หากจะไปถนนจูเชวี่ยด้วยกัน”
“ได้เจ้าค่ะ” กู้เจียวบอก
อวี้จิ่นไม่ได้เป็นคนที่เล่าเรื่องในใจตัวเองเก่งอย่างเดียว นางยังเป็นห่วงสถานการณ์ของกู้เจียวด้วย ระหว่างทางมานี้นางถามแต่คำถามที่แทบจะเกี่ยวกับแม่นางเหยาและเจ้าหนูน้อย
กู้เจียวไม่ค่อยพูด จึงตอบสั้นๆ และกระชับ คนที่ไม่รู้จักนางดีก็จะเข้าใจผิดว่านางเย่อหยิ่ง
แต่อวี้จิ่นกลับรู้ดีว่านางล้วนตอบทุกคำถามของตนอย่างตั้งใจ
อวี้จิ่นชอบแม่นางนิสัยแบบนี้ ไม่มากแผนการ ไม่ขี้ประจบ ไม่พูดไปตามมารยาท ทุกการรักและเห็นคุณค่าและมิตรภาพต่างๆ ล้วนซ่อนอยู่ในรายละเอียดของนาง
รถม้าควบเข้าถนนจูเชวี่ย อวี้จิ่นเลิกม่านขึ้นมองดู เห็นจากไกลๆ ว่าคล้ายมีรถม้ามาจอดอยู่ตรงประตูเรือนตัวเอง
“เอ๋ รถม้าคันนั้นคุ้นตาทีเดียว” อวี้จิ่นพึมพำ
กู้เจียวมองไปตามสายตานาง ก่อนเอ่ย “รถม้าของเซวียนผิงโหว”
รถม้าคันนี้มักจะมาปรากฏอยู่ที่โรงหมอ กั๋วจื่อเจียนและตรอกปี้สุ่ยเป็นพักๆ กู้เจียวจดจำได้ขึ้นใจนานแล้ว
อวี้จิ่นยิ่งสนใจหนัก “ท่านโหวมาที่นี่ได้อย่างไร”
ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของพวกเขาทั้งคู่ หากมีธุระก็หาคนนำคำมาบอก นับครั้งได้เลยที่เป็นฝ่ายไปหาอีกฝ่ายเอง โดยเฉพาะเซวียนผิงโหว เขาพอจะรู้ว่าองค์หญิงซิ่นหยางไม่อยากพบหน้าตัวเอง จึงไม่เคยไปหาเรื่องใส่ตัวอยู่ต่อหน้าองค์หญิงซิ่นหยางเลยสักครั้ง
ในความเป็นจริงแล้ว วันนี้เซวียนผิงโหวแค่ผ่านทางมา ไม่ได้คิดจะไปหาองค์หญิงซิ่นหยาง จนใจที่เขาได้ยินเสียงกรีดร้องขององค์หญิงซิ่นหยาง เหมือนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เขาเดินตามเสียงมาถึงห้องใต้หลังคาของห้องหนังสือ องค์หญิงซิ่นหยางล้มอยู่กับพื้น เท้าขวาถูกตู้หนังสือหนักอึ้งล้มลงมาทับ ภายในห้องคับแคบ นางถอยก็ถอยไม่ได้ จะลุกก็ลุกไม่ได้
เซวียนผิงโหวจึงโน้มตัวเข้าไปในห้อง ห้องใต้หลังคานี้หากเป็นส่วนสูงขององค์หญิงซิ่นหยางสามารถยืนตัวตรงได้ที่จุดที่สูงที่สุด แต่เซวียนผิงโหวสูงเกินไป เขาต้องค้อมตัวลงตลอด
เขายกชั้นหนังสือหนักอึ้งออกไป แล้วหยิบตำราที่ล้มกับพื้นออก รองเท้านางอาบเลือด ดูท่าทางจะบาดเจ็บไม่น้อย
เซวียนผิงโหวขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงไม่เห็นองครักษ์หลงอิ่งของเจ้าเลย ไปกินข้าวกันหมดรึ”
เขามาจากหัวถนน เรียกไม่ได้ว่ามาช้า แต่ระยะทางก็เห็นๆ กันอยู่ ในเวลานี้ องครักษ์หลงอิ่งของนางมีเวลาช่วยนางออกไปได้
พูดแล้วก็ตลก รู้ทั้งรู้ว่ามีคนมาช่วยนางอยู่แล้ว ตนก็ยังจะมาอยู่ดี
แต่องครักษ์หลงอิ่งที่ควรจะปรากฏตัวกลับไร้เงา
มันทำให้เซวียนผิงโหวไม่รู้จะพูดอะไรดี
โชคดีที่ตนมา
องค์หญิงซิ่นหยางไหนเลยจะรู้ว่าเขามีความคิดมากมายอยู่ขึ้นในใจ
หลงอีออกไปทำธุระ ส่วนองครักษ์หลงอิ่งอีกสี่คนนางไม่ได้พากลับเมืองหลวงมาด้วย
เซวียนผิงโหวเห็นนางไม่ตอบ ก็ไม่ได้ต้อนถาม เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กะว่าจะดูอาการนาง แต่นางกลับโพล่งขึ้น “อย่าเข้ามา!”
ได้
แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่หลายปีมานี้นอนด้วยกันแค่ครั้งเดียว อยู่ด้วยกันกับนางก็ยังต้องพิถีพิถันชายหญิงไม่ใกล้ชิดกันอยู่
โธ่เว้ย!
“เจ้าบาดเจ็บหนัก” เซวียนผิงโหวบอก
จากปริมาณเลือด อย่างน้อยๆ แผลก็ปริแตกเป็นนิ้ว
เซวียนผิงโหวครุ่นคิด ช่วยคนสำคัญกว่า ต้องพานางลงไป
เซวียนผิงโหวเอื้อมมือไปอุ้มนาง
ปฏิกิริยาขององค์หญิงซิ่นหยางรุนแรงมาก ร่างนางพลันเบี่ยงหลบไป
มือเซวียนผิงโหวชะงักค้างกลางอากาศ เขามองนางอย่างแปลกใจ เอ่ย “แค่อุ้มเจ้าลงไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่น ทำเสียเหมือนว่าข้าจะรุ่มร่ามกับเจ้าอย่างนั้นแหละ”
ห้องใต้หลังคาเล็กเกินไป เล็กจนถึงขั้นว่านางไม่มีที่ให้ถอยได้ ระยะห่างระหว่างกันจึงใกล้มาก ใกล้จนนางถูกกลิ่นอายบุรุษของเขาโอบล้อมไว้ สีหน้านางพลันซีดเผือด ขมับเริ่มมีเหงื่อเย็นผุดซึมออกมา
เซวียนผิงโหวสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติของนางอย่างรวดเร็ว คิ้วคมของเขายิ่งขมวดแน่น ก่อนเย้ยหยันอย่างอดไม่ได้ “ฉินเฟิงหว่าน ข้าไม่กินคนหรอก”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้ตอบคำเขา
เซวียนผิงโหวตอนแรกคิดว่านางไม่สนใจจะคุยกับตน แต่ต่อมาเขาก็ค่อยๆ พบว่าตัวนางกำลังสั่น กลีบปากไร้สีเลือด
“ฉินเฟิงหว่าน” เขามองนางพลางเรียกถาม
“จะ…เจ้าอย่าเข้ามา…ขอร้องล่ะ” องค์หญิงซิ่นหยางแทบจะใช้น้ำเสียงวิงวอนเอ่ยขึ้น
เซวียนผิงโหวรู้จักองค์หญิงซิ่นหยางมาหลายปีเพียงนี้ ยังไม่เคยเห็นนางมีท่าทางถ่อมตนมาก่อน หากพูดกันอย่างจริงจัง ตอนนี้นางก็ไม่ได้เรียกว่าถ่อมตนอะไร แต่นางกลับขอร้องเขาแต่โดยดี
ขอร้องเขาให้อย่ามาใกล้นาง
เจ้ารังเกียจข้าเพียงนี้เชียวรึ
เซวียนผิงโหวมองนางนิ่งๆ ครู่เดียวก็ปัดตกความคิดนี้ไป เมื่อเทียบกับการรังเกียจแล้ว ปฏิกิริยาของนางต้องใช้คำว่าหวาดกลัวจะเหมาะสมกว่า
เซวียนผิงโหวไม่เข้าใจว่าตัวเองมีอะไรให้น่ากลัว คราก่อนที่นางไล่จากหลังคาลงมากลางถนน เขารับตัวนางไว้กับมือ นางก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่
ซ้ำยังทำเสียงเย็นชาสั่งเขาให้ปล่อยนางลงด้วย
ความเย่อหยิ่งนั้นหายไปไหนแล้วล่ะ
แม้เซวียนผิงโหวจะสงสัย แต่อาการขององค์หญิงซิ่นหยางไม่สู้ดีเลย เซวียนผิงโหวสงสัยหนักว่าหากตัวเองยังไม่ออกไป นางจะขาดใจตายตรงนี้เลยหรือไม่
เซวียนผิงโหวจึงลงมาจากห้องใต้หลังคา
บังเอิญในขณะนั้นอวี้จิ่นกับกู้เจียวเข้ามาในเรือนพอดี
“ท่านโหว” อวี้จิ่นคำนับให้
เซวียนผิงโหวมองนาง แล้วมองกูเจียวที่อยู่ข้างกายนาง เอ่ย “องค์หญิงอยู่บนห้องใต้หลังคา ได้รับบาดเจ็บด้วย พวกเจ้าไปดูหน่อย”
ทั่วทั้งเรือนมีเพียงห้องหนังสือที่มีห้องใต้หลังคา หลังจากได้ยินเซวียนผิงโหวบอก อวี้จิ่นไม่มีเวลามาสนใจอย่างอื่น รีบพากู้เจียวขึ้นไปบนห้องใต้หลังคาทันที
องค์หญิงซิ่นหยางเห็นทั้งสองคนเข้าก็ลอบถอนหายใจ ความรู้สึกหน้ามืดตาลายจะขาดอากาศหายใจได้คลายลงในที่สุด
“องค์หญิง!” อวี้จิ่นคุกเข่าลงข้างกายนาง ประคองนางให้นางมาพิงอกตน
ส่วนกู้เจียวตรวจแผลให้องค์หญิง แค่บาดแผลภายนอก มีทั้งหมดสองแผล หนึ่งในนั้นค่อนข้างลึกทีเดียว
กู้เจียวล้วงเอากล่องยาใบน้อยจากตะกร้าที่สะพาย แล้วหยิบน้ำยาฆ่าเชื้อมาทำความสะอาดให้นาง
สีหน้าองค์หญิงซิ่นหยางย่ำแย่มาก กู้เจียวเดิมทีนึกว่าเกิดจากที่นางปวดแผล แต่เมื่อฆ่าเชื้อให้นาง สีหน้านางกลับดีขึ้นบ้างเล็กน้อย
ดังนั้น ไม่ใช่เพราะปวดแผล
“องค์หญิงไม่สบายตรงไหนอีกหรือ” กู้เจียวถาม
ตอนที่นางเพิ่งเข้ามา เห็นสีหน้าราวกับหายใจไม่ออก
องค์หญิงซิ่นหยางเป็นคนฉลาด เหตุใดจะไม่รู้ว่ากู้เจียวถามคำถามนี้เพราะอะไร นางหลบสายตาลง ขนตาสั่นไหว ส่ายหน้าเอ่ย “ไม่มีแล้ว ข้าดีขึ้นมาแล้วล่ะ”
มือที่กู้เจียวพันผ้าให้นางพลันชะงัก “อย่าให้แผลโดนน้ำ”
หลังจากทำแผลให้องค์หญิงซิ่นหยางเสร็จ กู้เจียวก็อุ้มองค์หญิงซิ่นหยางลงจากห้องใต้หลังคา
กลับมาถึงห้อง อวี้จิ่นก็หยิบเสื้อผ้าสะอาดมาเปลี่ยนให้องค์หญิงซิ่นหยาง
เซวียนผิงโหวยังไม่กลับ เขาลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไปที่ห้ององค์หญิงซิ่นหยาง
กู้เจียวกลับไปแล้ว ส่วนอวี้จิ่นเดินไปส่งนาง
ภายในห้อง องค์หญิงซิ่นหยางนั่งอยู่บนตั่งนุ่ม เอนพิงเบาะตรงหัวเตียง กำลังเปิดตำราอย่างเบื่อหน่าย
สีหน้านางดีขึ้นแล้ว ไม่อเนจอนาถเหมือนเมื่อครู่อีก
“มีธุระอะไรรึ” องค์หญิงซิ่นมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงนิ่ว
ดียิ่ง กลับมาเป็นซิ่นหยางคนเดิมแล้ว
เซวียนผิงโหวลากเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียงนาง ก่อนจ้องนางตาไม่กะพริบ “ฉินเฟิงหว่าน เจ้ามีโรคอะไรกันแน่”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้มองเขา สายตาเอาแต่จดจ้องคัมภีร์ที่ตัวเองกำลังอ่าน “โรคอะไรรึ”
เซวียนผิงโหวจ้องหน้านางนิ่ง ไม่ปล่อยสีหน้าเล็กๆ น้อยๆ ของนางไป “ที่ห้องใต้หลังคานั่น เจ้าแปลกๆ”
องค์หญิงซิ่นหยางตอบแบบขอไปที “ข้าเจ็บ”
“แบบนั้นคือเจ็บรึ” เซวียนผิงโหวขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ แล้วชี้ตัวเองพลางเอ่ย “หรือว่าเจ้าคิดว่าข้าสู้รบมาค่อนชีวิตแล้ว แม้แต่เจ็บกับกลัวก็ยังแยกไม่ออก เจ้ากำลังกลัวข้า ฉินเฟิงหว่าน”
องค์หญิงซิ่นหยางเม้มปาก
เซวียนผิงโหวสีหน้าไม่เข้าใจ “ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้านี่นา เหตุใดต้องกลัวข้าด้วย ปกติก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะกลัวเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้เจ้าก็ไม่ได้กลัว แล้วเหตุใดในห้องใต้หลังคานั่นเจ้าจึงกลัวถึงเพียงนั้น”
คล้ายเพื่อยืนยันการคาดเดาที่ตอนนี้นางไม่กลัวตัวเอง เขาจึงโน้มตัวลงไปใกล้นาง
องค์หญิงซิ่นหยางเงียบ
สายตาเซวียนผิงโหวไล่จากใบหน้านางไปยังมือ นางกำตำราแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว
เซวียนผิงโหวกลับไปนั่งบนเก้าอี้ดังเดิม เว้นระยะห่างให้นาง
เขาถามตัวเองว่าเขาไม่ได้ทำอะไรให้นางเกิดความระแวดระวังขึ้นใช่หรือไม่ ระหว่างเขากับนาง คนที่พร้อมจะชูดาบใส่อีกฝ่ายได้ตลอดเวลาก็คือนาง คนที่ไม่ให้แตะต้องก็คือนาง คนที่เป็นฝ่ายแตะต้องก็คือนาง
นางกลัวแม้กระทั่งตนที่เป็นเช่นนี้ ซ้ำยังกลัวแค่ในห้องใต้หลังคาด้วย
เซวียนผิงโหวหรี่ตาลง ก่อนถามอย่างเคร่งขรึม “มีใครเคยรังแกเจ้าหรือไม่ ฉินเฟิงหว่าน”
“ข้าเหนื่อยแล้ว” องค์หญิงซิ่นหยางยกตำราในมือขึ้น เป็นการไล่แขกกลายๆ
เซวียนผิงโหวยังอยากจะถามต่อ แต่เสียงผู้ดูแลหลิวก็ลอยมาจากลานบ้าน “ท่านโหว! ท่านโหว! ฝ่าบาทรับสั่งให้เข้าเฝ้าขอรับ!”
เซวียนผิงโหวรู้สึกได้ว่าตอนที่องค์หญิงซิ่นหยางได้ยินประโยคนี้ร่างกายนางคล้ายจะผ่อนคลายลง
เขามองนางอย่างลุ่มลึก นางพยักเพยิดหน้า เชิดหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้น ราวกับนกยูงที่หยิ่งผยอง แต่ขนตานางที่สั่นระริก และกลีบปากที่ไร้สีเลือดได้บอกทุกอย่างแล้ว
แววตาเซวียนผิงโหวทะมึนขึ้น เขาลุกขึ้นยืน มองนางแต่มือก็ไม่ได้หยุด ยกเก้าอี้ไปวางกลับที่เดิม
“ฉินเฟิงหว่าน”
เขาเรียกชื่อนาง นางไม่ขานตอบ เขาจึงดึงสายตากลับด้วยสีหน้าซับซ้อน แล้วหันหลังเดินออกไป