สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 499 พี่ใหญ่มาแล้ว!
บทที่ 499 พี่ใหญ่มาแล้ว!
ทหารทัพหน้าของแคว้นเฉินบุกขึ้นสะพานบินประชิดปราการน้ำ
ถังเย่ว์ซานยืนตระหง่านบนป้อมปราการ “พลธนูเตรียมพร้อม!”
มือธนูตระกูลถังเล็งเป้าต้านการโจมของกองทัพแคว้นเฉินระลอกแรก
ลูกธนูของพวกเขาแทงทะลุเกราะและโล่ของทหารด่านหน้าอย่างง่ายดาย
ทหารคนแรกถูดยิ่งร่วงลงกับพื้น พริบตาเดียวอีกคนหนึ่งก็ขึ้นมาแทนที่ พวกมันว่องไวยิ่งนัก หลังจากทหารทัพหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมาระลอกหนึ่งแล้ว สะบานบินทั้งสามสะพานก็พาดผ่านปราการน้ำได้สำเร็จ!
ทหารแคว้นเฉินบาดเจ็บล้มตายนับร้อย!
ทว่าการตายของทหารร้อยนายนั้นมาซึ่งโอกาสในการบุกโจมตีของทหารม้าที่เหลืออีกสองหมื่นนาย
“พาดบันได!” หรงปินสั่งการ ทหารแคว้นเฉินหลายร้อยนายแบกบันไดกว่านับยี่สิบตัวข้ามสะบานบินไป
มือธนูตระกูลถังขัดขวางอย่างสุดกำลัง เพียงแต่กำลังพลของอีกฝ่ายนั้นมีมากเหลือเกิน คนหนึ่งล้มลง ก็มีคนใหม่มาแบกต่อในทันที
ทว่าในขณะเดียวกันนั้น เครื่องยิงหินของแคว้นเฉินก็เล็งเป้าไปยังเหล่าพลธนูบนกำแพงเมือง แสดงแสนยานุภาพการโจมตีระยะไกลอันแสนน่าสะพรึงกลัว
ก้อนหินที่ไฟลุกโชนพุ่งตรงไปบนกำแพงเมือง เหล่ามือธนูไม่อาจหลบเลี่ยง กระแทกเข้าอย่างจังจนล้มระเนระนาดไปกับพื้น
“แย่แล้ว! ไฟไหม้ท่อนซุง!” ทหารนายหนึ่งร้องตะโกน!
ท่อนซุงมีไว้รับมือกับบันไดเมฆของแคว้นเฉิน แต่พอถูกไฟไหม้เช่นนี้แล้ว พวกเขาจะใช้อะไรต่อกรเล่า
เพราะมีเครื่องยิงหินช่วยโจมตี บันไดเมฆจึงถูกพาดบนกำแพงเมืองได้สำเร็จ
ถังเย่ว์ซานสั่งการ “รถศึก!”
รถศึกถูกเข็นออกมา ท่อนไม้ที่ผูกติดอยู่กับโครงรถเล็งเป้าไปที่บันไดเมฆของแคว้นเฉิน ก่อนจะเหวี่ยงกระแทกอย่างรุนแรง!
โครม…
เสียงดังลั่นลอยมาจากด้านล่างของกำแพงเมือง
รองแม่ทัพเฉินที่กำลังบุกอยู่บนบันไดถึงกับหน้าถอดสี “แย่แล้ว! นั่นรถศึกของแคว้นเฉิน! พวกมันกำลังโจมตีประตูเมือง!”
ด้านหลังของประตูเมือง กู้เฉิงเฟิงและแม่ทัพหลี่นำทัพทหารสองพันนายออกมารับศึก
เหล่าทหารม้าอยู่บนหลังอาชา เหล่าทหารราบตั้งแถวสองข้างขนาบ สีหน้าของแต่ละคนต่างเคร่งขรึม
“เคลื่อนย้ายทหารบาดเจ็บหรือยัง” กู้เฉิงเฟิงถาม
“เคลื่อนย้ายแล้ว” รองแม่ทัพหลี่เอ่ย “หมอกู้เป็นคนพาพวกเขาออกไป”
“แล้วชาวเมืองแถบนี้เล่า” กู้เฉิงเฟิงถามต่อ
“เคลื่อนย้ายแล้วเช่นกัน” รองแม่ทัพหลี่ตอบ
สะพานบินถูกดัดแปลง เสริมความแข็งแกร่งด้วยโซ่เหล็กและแผ่นเหล็ก ทนทานกว่าสะพานบินทั่วไปหลายเท่า
ยิ่งไปกว่านั้นรถศึกของแคว้นเฉินเองก็ทนทานเช่นกัน ทุกครั้งที่พุ่งชนก็ทำเอาป้อมปราการสั่นไหว
ทุกคนพากันกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะกำกระบี่ในมือแน่นอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย
บริเวณที่ประตูเมืองถูกทลาย มีพลทหารคอยขึงเชือกอยู่ เพื่อสกัดกั้นบรรดาทหารม้า ทั้งยังมีล้อเกวียน หอกยาวแหลมคมตั้งเป็นแถวเรียงรายหันไปทางประตูเมือง
แม้กระนั้นในใจทุกคนต่างก็รู้ดีว่าสิ่งของเหล่านี้ไม่อาจต้านทานการโจมตีของกองทัพแคว้นเฉินได้
สงครามนั้นยากจะเลี่ยงการนองเลือด
โครม!
โครม!
โครม!
โครม!
เสียงรถศึกชนเข้ากับสะพานบินดังสะท้านไปทั่ว เศษฝุ่นผงบนกำแพงเมืองร่วงกระจายลงมา
จากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวตามมา สะพานบินถูกรถศึกของแคว้นเฉินชนจนพังทลาย
การโจมตีด้วยรถศึกของแคว้นเฉินนับว่าทลายประตูเมืองเย่ว์กู้เข้ามาได้ขั้นหนึ่ง ทว่าขณะเดียวกันนั้นก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
จู่ๆ ช่องโหว่ของประตูเมืองนั้นมีถังน้ำมันแขวนอยู่ สายเชือกที่แขวนถังน้ำมันคล้องเกี่ยวกับสะพานบิน หากสะพานไม่ถล่ม เชือกก็จะไม่ขาด
เพียงแต่สะพานถล่มลงมาเสียแล้ว
น้ำมันไหลอาบพลทหารและรถศึกของแคว้นเฉินที่บุกเข้ามา เมื่อชุ่มไปด้วยน้ำมันแล้ว ตะบันไฟและฝาครอบที่แขวนอยู่บนถังน้ำมันก็ถูกเชือกสองฝั่งกระชากให้หลุดออกจากกัน ก่อนจะลงสู่พื้นจนส่งเสียงดังสะท้อน
“แย่แล้ว! หนีเร็ว!”
ท่านแคว้นเฉินนายหนึ่งตะโกนลั่น
น่าเสียดายที่สายไปเสียแล้ว
เมื่อน้ำมันติดไฟ เปลวเพลิงก็ลุกโชนสูงเหนือหัว!
ไม่นานรถศึกถูกเผาจนมอด ทหารแคว้นเฉินถูกไฟคลอกวิ่งหนีทุรนทุราย!
กู้เฉิงเฟิงและรองแม่ทัพหลี่ที่อยู่ในบนป้อมปราการได้ยินเสียงโหยหวนจากช่องโหว่กำแพงเมือง ก็รู้ในทันที่ว่าแผนจุดไฟเผานั้นสำเร็จแล้ว
รองแม่ทัพหลี่เหลียวไปมองกู้เฉิงเฟิงอย่างตื่นเต้น “ใต้เท้ากู้วางแผนได้แยบยลนัก!”
มิใช่เขาหรอกที่วางแผนได้อย่างแยบยล แต่เป็นกู้เจียวต่างหาก
การดัดแปลงสะพานบินและการออกแบบกลลวงต่างๆ ล้วนแต่เป็นความคิดของกู้เจียว เขาเป็นเพียงผู้ที่ทำมันให้เกิดขึ้นจริง
อันที่จริงเขาคิดว่าหากกู้เสี่ยวซุ่นอยู่ที่นี่ อาจจะทำได้ดีกว่านี้ก็เป็นได้
รักษาประตูเมืองเอาไว้ได้แล้ว ส่วนบนป้อมปราการนั้น ถังเย่ว์ซานก็โค่นบันไดเมฆที่พาดมาได้อย่างรวดเร็ว ต้านทานการโจมตีระลอกแรกได้สำเร็จ
ยามจื่อล่วงเลยไป ทหารแคว้นเฉินถูกสั้งให้ถอยทัพ
การโจมตีครั้งแรกกองทัพแคว้นเฉินสูญเสียทหารไปกว่าสองพันนาย กองทัพแคว้นเจาเองก็บาดเจ็บสาหัส ทหารบาดเจ็บถูกหามเข้ากระโจมท้ายค่ายไม่หยุดหย่อน
กู้เจียวและเหล่าหมอในเมืองเย่ว์กู่ที่เพิ่งจะได้พักเอาแรงก็ต้องกลับมาง่วงอีกครั้ง กู้เจียวตรวจอาการเบื้องต้นในกับเหล่าทหารบาดเจ็บก่อนเป็นอันดับแรก แล้วมัดแถบผ้าสีตามระดับความสาหัสของอาการ จากนั้นทหารจะก็พาตัวพวกเขาได้ยังกระโจมที่คัดแยก
แม้จะมีทหารบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีผู้ใดลนลาน ทั้งยังไม่มีผู้ใดตื่นตระหนก ทุกอย่างดำเนินไปอย่างมีลำดับขั้นตอนตามที่กู้เจียววางแผนไว้
ไม่ใช่ว่าไม่ตระหนกตกใจ
เพียงแต่ทุกครั้งที่บรรดาหมอทั้งหลายหันไปมองก็จะเห็นกู้เจียวจัดการงานตรงหน้าอย่างสงบนิ่ง ทั้งๆ ที่เกิดศึกสงครามอยู่ประชิดแผ่นหลังนางแท้ๆ แต่นางกลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด
วินาทีนั้นภายในใจของพวกเขาก็เหมือนจะสงบนิ่งตามไปด้วย
เช้าวันต่อมากองทัพแคว้นเฉินกลับไม่โจมตีอย่างที่คาดการณ์ไว้
ไม่รู้ว่าเพราะหวาดกลัว หรือว่ากำลังตั้งใจวางแผน หากเป็นอย่างหลังแล้วละก็คงไม่ดีต่อเมืองเย่ว์กู้นัก
แคว้นเฉินพ่ายศึกแรกเป็นเพราะประเมินศัตรูต่ำเกินไป พวกเขาไม่เห็นกองพันของเมืองเย่ว์กู่อยู่ในสายตา คิดว่าแค่หลับตาก็บุกทลายตีเมืองแตกได้
แต่หากพวกเขาเอาจริงขึ้นมา เมืองเย่ว์กู้ต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
“ท่านจอมพลถัง!” รองแม่ทัพเฉินเดินเข้ามาในกระโจมใต้ป้อมปราการ เมื่อเห็นว่ากู้เฉิงเฟิงก็อยู่ที่ด้วยเช่นกัน เขาก็ชะงักก่อนจะเอ่ยทักทาย “ใต้เท้ากู้”
ถังเย่ว์ซานกำลังวางแผนบนกระบะทราย คาดการณ์ว่ากองทัพแคว้นเฉินจะบุกโจมตีครั้งต่อไปเช่นไร
“มีเรื่องอันใดรึ” เขาถาม
รองแม่ทัพเฉินตอบเสียงอึกอัก “เสบียง เสบียงไม่พอแล้วขอรับ…”
“กิน…กินหมดแล้วหรือ” กู้เฉิงเฟิงถามด้วยความประหลาดใจ
รองแม่ทัพเฉินพยักหน้าอย่างลำบากใจ
เสบียงของจวนผู้ว่าเดิมทีก็มีไม่มาก ตอนเมืองหลิงกวนเกิดศึกก็หยิบยืมออกไปบางส่วนอีก ต่อให้เมื่อวานกู้เฉิงเฟิงกว้านซื้อมาจากทุกร้านในเมืองได้และได้รับบริจาคจากชาวเมืองมาอีกส่วน แต่สำหรับกองทัพทหารเจ็ดพันนายเช่นนี้ก็คงไม่พ้นสองมื้ออยู่ดี
คืนนี้เสบียงของพวกเขาก็เริ่มขาดแคลน
“ให้ทหารเจ็บก่อน” กู้เฉิงเฟิงเอ่ย
ลูกกระเดือกถังเย่ว์ซานขยับขึ้นลง ฝ่ามือกำแน่น ก่อนจะตัดสินใจอย่างยากลำบาก “ให้ทหารที่ลงสนามรบได้ก่อน”
กู้เฉิงเฟิงนิ่งเงียบ
จิตใต้สำนึกบอกเขาว่าควรช่วยผู้อ่อนแอก่อน แต่เหตุผลเตือนเขาว่า คนอ่อนแอไม่สามารถออกรบได้ ต้องให้ทหารที่พร้อมรบท้องอิ่มเท่านั้น พวกเขาถึงจะฟาดฟันศัตรูได้มากขึ้น ถึงจะปกป้องเมืองนี้ไว้ได้
ชีวิตของทหารเจ็บคือชีวิตเหมือนกัน
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือเป้าหมายที่ต้องปกป้องแคว้นนี้เอาไว้ให้ได้
รองแม่ทัพเฉินกลืนน้ำลายฝืดคอ ที่เขาไม่ได้พูดออกไปก็คือ ต่อให้ยกเสบียงให้กับทหารที่ลงสนามรบได้ ก็ไม่พอเหมือนเดิม
รองแม่ทัพเฉินออกไปจากกระโจม
กู้เฉิงเฟิงกำลังตกอยู่ในภวังค์ของความรู้สึกผิด
ถังเย่ว์ซานขมวดคิ้ว “เจ้าคิดอะไรอยู่รึ”
กู้เฉิงเฟิงพึมพำ “ข้ากำลังคิดว่า เหตุใดแต่ก่อนข้าถึงได้กินทิ้งกินขว้างเช่นนั้น”
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าค่ายชายแดนนั้นทุกข์ยาก ทั้งยังไม่รู้ว่าการออกรบนั้นลำบากเพียงนี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง แม่ทัพเฉินก็ยกหมั่นโถวและน้ำแกงข้าวสองถ้วยเข้ามาในกระโจม เขาเอ่ยกับถังเย่ว์ซานและกู้เฉิงเฟิง “ท่านจอมพลถัง ใต้เท้ากู้ พวกท่านกินอะไรสักหน่อยเถิด”
ถังเย่ว์ซานเอ่ย “ข้าไม่กิน”
สภาพของเขาในตอนนี้เป็นอย่างไรเขานั้นรู้ดี เขายังพอทนไหว
กู้เฉิงเฟิงเอ่ย “ข้าก็ไม่กิน! เอาไปแบ่งให้เหล่าทหารเถิด! ตลอดทางข้ากินมาไม่น้อยแล้ว จะหิวสักสองสามวันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
รองแม่ทัพเฉินกำลังจะเอ่ยเกลี้ยกล่อม ด้านนอกกระโจมก็มีเสียงโครมคราม รองแม่ทัพเฉินเดินออกไปดูก็เป็นอันต้องชะงักไป
ชาวเมืองเย่ว์กู้นำอาหารมาให้อีกแล้ว
คราวก่อนที่พวกเขานำมาให้คือเสบียงของตนที่กักตุนไว้ แต่คราวนี้พวกเขาแบ่งข้าวเย็นของตนเองมาให้
แบบนี้เหล่าทหารไม่มีทางกินแน่นอน
รองแม่ทัพเฉินเดินออกไปเกลี้ยกล่อมชาวเมือง
ทว่าถังเย่ว์ซานกลับแข็งทื่อไปทั้งร่าง ข่มอารมณ์อันหนักอึ้งในจิตใจแล้วเดินออกไป สองแขนยกขึ้นแล้วประสานมือก้มลงคำนับให้กับเหล่าชาวมือ
จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็หันหลังเดินจากไป ชายชาตรีมาดอาจอง ทว่าในแววตากับคลอไปด้วยน้ำใส เขาสั้งการเหล่าทหารทั้งหลาย “กิน!”
เหล่าทหารคว้าชามข้าวร้อนกรุ่นขึ้นมา กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ปาดน้ำตาที่ร่วงหล่น อ้าปากกินคำโต!
หลังจากนั้นสามวัน กองทัพแคว้นเฉินก็บุกโจมตีเมืองเย่ว์กู้อย่างย่อมๆ อีกสามครั้ง และบุกหนักอีกครั้งหนึ่ง
กองทัพแคว้นเฉินบาดเจ็บสาหัส ทว่าบรรดาทหารในแคว้นเย่ว์กู่เองก็แทบสิ้นแรง จนกระทั่งถึงการโจมตีครั้งสุดท้าย ทหารเมืองเย่ว์กู่ที่สามารถออกรบได้เหลือเพียงไม่ถึงสองพันนาย
บันไดเมฆของแคว้นเฉินถูกพาดกับกำแพง ทหารแคว้นเฉินจำนวนนับไม่ถ้วนบุกขึ้นมาบนกำแพง ส่วนประตูเมืองด่านล่างก็แตกพ่าย
คราวนี้พวกเขาไม่ใช้คนทหารสู้กับกองเพลิงแต่กลับใช้วัวถึก
วินาทีที่ประตูเมืองแตก ทหารม้าแคว้นเฉินจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักเข้ามาในเมืองราวกับคลื่นซัด
กู้เซิงเฟิงเดือดจนตาแดงก่ำ!
บนกำแพงเมือง มือขวาของถังเย่ว์ซานกำกระบี่แน่น เขาไม่มีความลังเลใจแม้แต่น้อย ราวกับลืมความเจ็บปวดไปแล้วสิ้น ก่อนจะพุ่งกระบี่เข้าไปในทะเลเลือด
บนป้อมปราการกลางกำแพงเมือง รองแม่ทัพแคว้นเฉิน หรงเซินฟัดทหารแคว้นเจาสองนายภายในดาบเดียว เขาทะยานตัวขึ้นไปบนหลังคา สองมือถือกระบี่ยาว ก่อนจะฟันเสาธงแคว้นเจาหักโค่นลงมา
เขาโยนธงแคว้นเจาลงไปกลางทะเลเพลิงด้วยความสะใจ ทหารแคว้นเฉินต่างฮึกเหิมส่งเสียงร้องคำรามอย่างลำพองใจ
เหริงเซินคว้าธงแคว้นเฉินออกมา ก่อนจะปักมันลงบนป้อมปราการของเมืองเย่ว์กู่ “เมืองเย่ว์กู่คือของพวกเรา…”
ยังไม่ทันพูดจบ ทวนพู่แดงปลายคมกริบก็พุ่งทะลุกระแสลมจนส่งเสียงหวีดหวิด รอบทิศเข่นฆ่าโรมรัน กลบเสียงความเคลื่อนไหวของมัน ทว่ายามสันหลังหรงเซินเย็นวาบขึ้นมาก็ไม่อาจยับยั้งสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้แล้ว
ทวนพู่แดงแทงทะลุหัวไหล่ของของหรงเซิน ร่างทั้งร่างของเขากระแทกเขากับเสาธงแคว้นเฉิน
มีหรือเสาธงจะรับแรงกระแทกรุนแรงเช่นนั้นได้ จึงหักโค่นลงในทันใด!
หรงเซินไถลตกลงมาจากหลังคาของป้อมปราการ
“ท่านแม่ทัพ!”
ทหารแคว้นเฉินนายหนึ่งร้องด้วยความตกใจ
เขาวิ่งเข้าไปหาหรงเซิน แต่น่าเวทนายิ่งนักเพราะไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ถูกมือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อไว้แล้วทุ่มลงกับพื้น!
กู้เจียวชักทวนพู่แดงที่คาอยู่ที่หัวไหล่ของหรงเซินออกมา ก่อนจะใช้ฝ่าเท้ายันหรงเซินติดกำแพงเมือง!
กู้เจียวเขย่งปลายเท้า ยันกำแพงป้อมปราการเพื่อช่วยออกแรงส่งตัวทะยานขึ้นไปบนป้อมปราการ
มือข้างหนึ่งของนางถือทวนพู่แดงไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็โบกสะบัดธงแคว้นเจาแล้วปักลงบนป้อมปราการอีกครั้ง!
การเข่นฆ่ายังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งคืน ดวงไฟบนกำแพงเมืองเย่ว์กู่ยังคงลุกโชน
ใต้ท้องนภาอันกว้างใหญ่ กำแพงเมืองแห่งนี้กำลังจมอยู่ในกองเพลิง!
ภายในกระโจมที่อยู่ห่างออกไปนับร้อยลี้ สายสืบนายหนึ่งรีบร้อนลงมาจากเขาเพื่อรายงานกับชายคนที่อยู่ในกระโจม “แม่ทัพกู้! กำแพงเมืองข้าหน้าเหมือนจะไฟไหม้ขอรับ!”
“ไฟไหม้อย่างนั้นรึ” กู้ฉังชิงมองไปยังนาฬิกาทรายริมเท้า “ยามนี้น่ะรึ กำแพงเมืองใดกัน”
“เมืองเย่ว์กู่ขอรับ” สายสืบตอบ
กู้ฉังชิงจดจำแผนที่แถบชายได้ขึ้นใจ แน่นอนว่าเขานั้นรู้ว่าเมืองเย่ว์กู้สำคัญมาเพียงใดในการศึก หากกองทัพแคว้นเฉินกับกบฏราชวงศ์ก่อนยังคงรุกรานเขตแดนแคว้นเจาไม่หยุดหย่อน เป้าหมายต่อไปต้องเป็นเมืองเย่ว์กู่อย่างแน่นอน
กู้ฉังชิงลุกยืนขึ้น “พาข้าไปดู”
สายสืบพากู้ฉังชิงขึ้นไปบนที่สูงของเนินเขา หากมองจากมุมสูงแล้วก็จะเห็นเพียงเส้นทางของเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้ เพราะว่าอยู่ห่างไกลออกไปมาก แต่หากตั้งใจพินิจมองแล้วละก็จะเห็นว่าเป็นแสงไฟจากบนกำแพงเมือง
“ไฟศึก!” เรียวคิ้วของกู้ฉังชิงขมวดแน่น แสงไฟวูบไหวในแววตาเขา ทันในนั้นรังสีดุดันก็แผ่ซ่านไปทั่วกายเขา “ปลุกทหารทั้งหมด เตรียมตัวเดินทัพ!”
จากที่นี่ไปยังเมืองเย่ว์กู่ระยะทางประมาณร้อยลี้ ทั้งยังไม่มิใช่ทางตรงด้วย มีทั้งถนนหลวงทั้งถนนบนเขาอันลดเลี้ยวเคี้ยวคด
ว่ากันตามปกติ หากเป็นเดินเท้าแล้ววันหนึ่งจะเดินได้สามสิบถึงห้าสิบลี้ แต่หากเร่งทัพแล้วละก็อาจจะได้วันละหกสิบถึงเก้าสิบลี้ และหากเร่งสุดกำลังละก็หนึ่งวันก็ไปได้ไกลถึงหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร
ตลอดการเดินทาง แม้จะต้องรักษากำลังไว้ยามศึก แต่ทหารตระกูลลู่ก็ยังเร่งทัพมาตลอดทาง
เพราะการเร่งทัพสุดกำลังนั้นจะมีข้อเสียมากกว่าข้าดี หากไม่เข้าตาจนจริงๆ คงไม่มีทางเลือกวิธีนี้
ทว่าตอนนี้ยามเข้าตาจนได้มาถึงแล้ว
เมื่อกู้ฉังชิงลงจากเขา กระโจมและข้าวของต่างๆ ก็ถูกเก็บเรียบร้อยแลว เหล่าทหารต่างก็แต่งองค์พร้อมเดินทาง มองไม่ออกเลยสักนิดว่าเพิ่งจะถูกปลุกให้ตื่น
นี่คือกองทัพทหารกล้าที่ถูกฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดที่สุดในแคว้นเจา ทุกคนสามารถพร้อมลงสนามศึกได้ทุกวินาที!
กู้ฉังชิงพลิกตัวขึ้นม้า ผ้าคลุมไหล่ปลิวสะบัดท่ามกลางสายลมหนาวเย็น
เขากำเชือกในมือแน่น ทอดสายตามองเมืองเย่ว์กู่เบื้องหน้า ก่อนจะคำรามเสียงดังลั่น “ทหารทั้งหมดจงฟัง เร่งทัพสุดกำลัง!”