สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 535 เจียวเจียวใจดำ
บทที่ 535 เจียวเจียวใจดำ
“เปล่ารึ ฮึ”
เซียวเหิงเลิกคิ้ว ส่งเสียงค้อนรอดตามไรฟัน
ทว่าใครบางคนที่ถูกจับได้คาหนังคาเขากลับไม่สะทกสะท้าน ปลายนิ้วเย็นเยียบยังคงเลื้อยต่ำลงไปเรื่อยๆ
ท่าทางฮึดฮัดของเซียวเหิงพานทำให้นางหัวเราะ
ผู้ใดหน้าหนาที่สุดบนโลกหล้านี้หรือ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเด็กสาวผู้นี้
โดยนิสัยแล้ว เซียวเหิงเป็นคนขี้อาย ยามปกติแค่จับมือกันก็หน้าแดงหัวใจเต้นรัวนานกว่าจะหาย แต่ตอนนี้กลับไม่ขัดขืนใครบางคนที่กำลังก่อกวนไม่หยุด ฉวยโอกาสกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แถมยังทำอย่างโจ่งแจ้งอีกต่างหาก
เด็กสาวคิดว่าเขาไม่กล้าทำอะไรนางหรืออย่างไร
เขาเชิดคางกลมมนของนางเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงแกมขู่เบาๆ “เจ้าไม่อยากนอนใช่หรือไม่”
มือซุกซนของกู้เจียวชะงักลง ทว่าดวงตายังปิดแน่นดังเดิม นางเอ่ย “อยากสิ”
“ไม่ เจ้าไม่อยากหรอก”
เซียวเหิงเอ่ยจบก็พลิกตัวขึ้นมา ใช้ข้อศอกคร่อมนางไว้ทั้งสองทิศทาง ร่างของนางจึงอยู่ใต้อาณัติของเขา
นางเป็นฝ่ายหยอกเย้าเขาก่อน เช่นนั้นก็อย่าได้โทษเขาที่ให้นางไม่ได้หลับ
เขาก้มหน้า ทาบทับลงบนกลีบปากนุ่มของนาง
เขาอยากทำแบบนี้ ตั้งแต่วินาทีนางฝ่าพายุหิมะกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าเขา เอ่ยกับเขาว่า ‘สุขสันต์วันเกิด ใต้เท้าเซียว’
เขาพยายามควบคุมตัวเอง แต่เด็กสาวคนนี้คงไม่รู้ว่านั่นทรมานมากแค่ไหน ถึงได้ทำให้ความอดทนของเขาพังทลายลงอย่างง่ายดาย
หลังจากกลับมาพักผ่อนที่บ้านได้หลายวัน ริมฝีปากที่แตกระแหงเพราะพายุทรายและลูกเห็บก็กลับมาชุ่มฉ่ำและอ่อนนุ่ม
ลมหายใจของเขาหอบกระชั้น หัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอก
เขาผละออกจากนางในทันที ก่อนฟางเส้นสุดท้ายจะขาดผึง
“เจ้าหน้าแดงแล้ว” กู้เจียวเอ่ย
“ห้ามพูด!” เขาฝังใบหน้าลงบนไหปลาร้าของนาง
“หูก็แดงแล้วเหมือนกัน” กู้เจียวไม่หยุด
“กู้เจียวเจียว!” น้ำเสียงของเขาแหบพร่า
กู้เจียวเอี้ยวใบหน้าเพียงนิด ริมฝีปากเล็กของนางก็ตรงกับตำแหน่งใบหูแดงก่ำของเขา เสียงกระซิบดังขึ้น “แม้แต่เสียงก็ไม่ใช่ของเจ้าแล้ว~”
ลมหายใจของเซียวเหิงสะดุดกึก “…กู้เจียวเจียว!”
“เจ้าค่ะ” กู้เจียวขานตอบอย่างว่าง่าย
เพียงแค่คำว่าเจ้าค่ะก็ทำให้หัวใจของของเซียวเหิงหลอมละลาย อารมณ์เขินจนพานโกรธที่โหมกระพือถูกน้ำเย็นชโลมใจดับมอดในทันที เขามองใครบางคนใต้ร่างอย่างจนปัญญา
ทว่าใครคนนั้นยังคงหลับตาแน่นิ่ง
ข้อศอกของเซียวเหิงกระชับวงแคบเข้ามา โอบนางเข้ามาแนบชิดยิ่งกว่าเดิม ตามมาด้วยมุมปากที่ยกยิ้มขึ้น ก่อนจะหัวเราะออกมา “ยังไม่ตื่นไม่ใช่รึ เหตุใดถึงมองเห็น”
ลองปากแข็งอีกครั้งดูสิ
แม้ว่าเปลือกตาจะปิดแน่น แต่เซียวเหิงก็เห็นได้ว่าลูกตาของในนั้นกำลังขยับหลุกหลิก
เซียวเหิงเผลอยิ้มออกมา ก้มศีรษะแนบไปกับหน้าผากของนาง น้ำเสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์เอ่ยออกไป “เถียงไม่ออกแล้วหรือ หืม”
น้ำเสียงของเขาน่าฟังเสียจนใบหูของกู้เจียวแทบละลาย
กู้เจียวชะงักไป “เจ้านี่อร่อยเสียจริง”
เซียวเหิง “…”
เหตุใดหัวข้อสนทนาถึงได้เปลี่ยนไปเร็วถึงเพียงนี้
เอาละ ว่ามาเลย วันนี้อยากคุยอะไรก็ว่ามา
เซียวเหิงมองคนใต้ร่างที่เอาแต่ปิดตาแน่นไม่ยอมเปิดด้วยความขำขัน “อย่างนั้นรึ ยังไม่ทันได้กินเลย รู้ได้อย่างไรว่าอร่อย”
“กินแล้ว” กู้เจียวยกมือขึ้นทั้งที่ยังปิดตาแน่น คลำไปคลำมาก็พบกับดวงแก้มของเขา ก่อนจะแตะลงบนริมฝีปากของเขา
มาถึงขนาดนี้แล้วยังหลับตาแสร้งว่าข้ายังไม่ตื่นอีก เซียวเหิงละยอมแพ้นางจริงๆ
โบราณมีหัวขโมยปิดหูขโมยระฆัง ยานนี้มีกู้เจียวปิดตาแกล้งสามี
เซียวเหิงอยากจะหัวเราะ เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างใบหูของนาง “กู้เจียวเจียว แบบนั้นเรียกว่ายังไม่ได้กิน”
เขาปากไวเกินไป พูดจบก็มานึกเสียใจ
คำพูดเมื่อครู่… ดูเหมือนว่าเขาจะวู่วามเกินไปหน่อย
ราวกับกลัวว่าหากนางตั้งสติได้จะพานให้ต่างฝ่ายต่างกระอักกระอ่วน เขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที “เด็กสาวที่นั่นพวกนางเข้าพิธีปักปิ่นกันตอนอายุเท่าใด”
ในเมื่อรู้แล้วว่านางไม่ใช่กู้เจียวเหนียงตัวจริง และนางเองก็ยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่กู้เจียวเหนียง เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอีกต่อไป
ถึงความจริงจะมีเรื่องมากมายที่เขายังไม่แน่ชัดก็เถอะ
อย่างเช่นนางเป็นใครมาจากไหน หรืออย่างเช่นเหตุใดนางถึงได้กลายเป็นกู้เจียวเหนียง
กู้เจียวไม่รู้เลยว่าภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีในหัวของเขาจะมีความคิดผุดขึ้นมากมาย นางตอบกลับไปตามตรง “หญิงสาวจะเป็นผู้ใหญ่เมื่ออายุสิบแปด แต่งงานตอนยี่สิบ”
เป็นผู้ใหญ่ก็คือเข้าพิธีปักปิ่น แต่งงานคือออกเรือน เซียวเหิงพอจะเข้าใจ
เซียวเหิงลูบเรือนผมของนาง ก่อนจะถามเสียงแผ่วเบา “เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้ารอเจ้าโตก่อน ต้องรอเจ้าอายุสิบแปดหรือว่ารอถึงยี่สิบล่ะ”
กู้เจียวหลับตา กำลังตั้งจะเอ่ยออกไป
ทว่าน้ำเสียงแหบพร่าของเซียวเหิงก็ดังขึ้นมา “สิบแปด”
กู้เจียว “ข้าไม่ได้พูดเสียหน่อย”
เซียวเหิง “เจ้าพูดแล้ว ข้าได้ยิน”
กู้เจียว “เจ้าทึกทักเอาเอง”
เซียวเหิงหัวเราะเสียงต่ำ ก่อนจะหอมแก้มนางเบาๆ “ใช่ ข้าทึกทักเอาเอง ว่าแต่หมอกู้ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะรอจนถึงอายุสิบแปดได้”
กู้เจียวเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง “ข้ารอได้แน่นอนอยู่แล้ว!”
เซียวเหิงยกยิ้มจ้องมองนาง “เอามือของเจ้าออกมาก่อนแล้วค่อยพูดประโยคเมื่อครู่ดีหรือไม่”
กู้เจียวเอียงคอ “ข้าหลับแล้ว”
เซียวเหิง “…”
เซียวเหิงหัวเราะเสียงทุ้ม “ได้ ข้าเข้าใจแล้ว”
เขาก้มหน้าลงมาก่อนจะทาบทับริมฝีปากของนางอีกครั้ง คลอเคลียไปมาแต่ก็ยังยับยั้งชั่งใจเอาไว้ ท่าทางเอาแต่ใจแต่ก็แสนอ่อนโยน
กู้เจียวหลับไปด้วยความสุขล้นปรี่ พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกสดชื่นแจ่มใสอย่างบอกไม่ถูก
เซียวเหิงไม่อยู่แล้ว ทว่าทิ้งข้อความไว้บนหัวเตียง เขียนว่าเขาต้องไปทำคดีที่กรมยุติธรรม
ความจริงจังส่งผ่านตัวอักษร ไม่มีคำหวานหยอกเย้าปะปนแม้สักนิด แต่บนโต๊ะกลับมีขนมและเนื้อแดดเดียวของโปรดกู้เจียววางอยู่อย่างเอาอกเอาใจ
กู้เจียวชิมขนมหนึ่งชิ้น
อื้ม หวานจริงๆ
กู้เจียวเก็บกวาดเรียบร้อยก็ไปยังห้องผู้ป่วยของม่อเชียนเสวี่ยที่อยู่ข้างกัน
จะว่าไปแล้วที่ห้องปีกข้างฝั่งนี้กลายเป็นห้องผู้ป่วยได้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับกับกู้เฉิงหลิน ช่วงที่กู้เฉิงหลินงอแงไม่ยอมกลับบ้าน กู้เจียวจึงต่อเติมห้องนี้ไปเสียเลย แล้วก็เพิ่มเตียงไม้ทำมืออีกหนึ่งหลัง แต่ก็ยังคงเตียงสี่เสาที่มีอยู่แต่เดิมไว้
หมอถงเฝ้าคนป่วยตลอดทั้งคืน หมอซ่งเพิ่งจะมาเปลี่ยนเวรกับเขา
ยามนี้มีเพียงหมอซ่งที่อยู่ในห้อง
ขณะที่หมอซ่งเฝ้าดูอาการม่อเชียนเสวี่ยก็ไม่ไปปล่อยเวลาให้สูญเปล่า เขาเปิดอ่านทบทวนบันทึกการรักษาที่เรียบเรียงเอาไว้ในช่วงที่ผ่านมา หมายจะต่อยอดฝีมือการแพทย์ของตนให้สูงขึ้น
กู้เจียวเข้ามาในห้อง
หมอซ่งได้ยินความเคลื่อนไหว ก็ลุกยืนขึ้นเอ่ยทักทายกู้เจียว “หมอกู้”
“อาการนางเป็นอย่างไรบ้าง” กู้เจียวถาม
หมอซ่งเอ่ย “ตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนัก ไม่พบอาการติดเชื้อหลังผ่าตัด ของเหลวและอากาศที่คั่งอยู่ในช่องอกระบายออกมาดีทีเดียว”
ยามสงครามที่เมืองเย่ว์กู่ หมอซ่งเคยเห็นกู้เจียวผ่าตัดระบายลมในช่องอกหลายต่อหลายครั้ง จึงรู้ว่าควรระวังเรื่องใด
กู้เจียวพยักหน้า “เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าดูแลเอง”
ทว่าหมอซ่งก็ยังไม่ออกไป
กู้เจียวไม่ชอบคนทำงานเอาหน้า อย่างเช่นจงใจแสร้งทำเป็นขยันขันแข็งอะไรแบบนั้น ความเพียรพยายามของคนนั้นเห็นได้จากฝีมือและจริยธรรมการแพทย์ของเขาต่างหาก ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยพวกนั้น
“เช่นนั้นข้ากินข้าวแล้วจะกลับมา” หมอซ่งเอ่ย
กู้เจียว “อืม”
…
คดีของม่อเชียนเสวี่ยแพร่ไปทั่วทั้งเมืองหลวงภายในเวลาเพียงแค่คืนเดียว เพราะนางเป็นถึงนางคณิกาแห่งหอเซียนเล่อ แถมยังตายอย่างอเนจอนาถเพียงนั้น
ฮวาซีเหยาคือคนที่น่าสงสัยมากที่สุด ทว่าหลักฐานทั้งหมดกลับชี้ว่าฮวาซีเหยาไม่ใช่ฆาตกรที่ฆ่าม่อเชียนเสวี่ย
เพราะเหตุการณ์ของม่อเชียนเสวี่ย โรงน้ำชาที่เดิมทีจะเปิดทำการหลังวันที่สิบห้าก็เริ่มรับลูกค้าแล้ว แถมคนที่ไปนั่งฟังข่าวซุบซิบนินทาในโรงน้ำชาก็มีไม่น้อยเสียด้วย
ต่างคนต่างพูดไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับฆาตกรที่สังหารม่อเชียนเสวี่ย บ้างก็ว่าฆ่าเพราะแค้น บ้างก็ว่าฆ่าเพราะหึงหวง บางก็ว่าเป็นเรื่องขัดแข้งขัดขาทางธุรกิจ เพราะมีเพียงสาวงามจากหอหร่วนเซียงกับหอชิงเฟิงเท่านั้นที่เป็นรองหอเซียนเล่อ ทั้งสองแห่งจึงกลายเป็นที่จับตามองของชาวเมือง
“ผ่านมาตั้งสามวันแล้ว ได้ข่าวว่ายังจับคนร้ายไม่ได้เลย”
กู้เจียวอยู่ที่เรือนเล็ก เถ้าแก่รองกับกู้เจียวนั่งดื่มชาชมทิวทัศน์อยู่บนเฉลียงทางเดิน
คนที่พูดคือเถ้าแก่รอง
หลายวันมานี้ที่โรงหมองานไม่ยุ่งนัก เขาไม่มีอะไรทำจึงมาพูดคุยซุบซิบนินทากับกู้เจียว
เถ้าแก่รองเดาะลิ้นเอ่ย “คนร้ายนั่นช่างโหดเหี้ยมนัก ไม่ใช่แค่ฆ่าคนนะ แต่ยังฟันหน้าตั้งสิบเจ็ดสิบแปดแผล ต้องโกรธกันเพียงใด แค้นกันเพียงใด”
“ไม่ใช่สิบเจ็บสิบแปดแผล ห้าแผลต่างหาก”
น้ำเสียงเย่อหยิ่งของหญิงผู้หนึ่งลอยออกมาจากห้องผู้ป่วย เถ้าแก่รองชะงักไปพลางเหลียวกลับไปมอง “ใครพูดน่ะ”
“ป้าของพ่อเจ้าน่ะสิ”
เถ้าแก่รอง “…”
“แม่นางผู้นั้นตื่นแล้วหรือ” เถ้าแก่รองกระซิบถามกู้เจียว
“คงจะเป็นเช่นนั้น” กู้เจียววางถ้วยชาลง ลุกยืนขึ้นแล้วผลักประตูห้องผู้ป่วย
ท่อระบายเลือดบนตัวของม่อเชียนเสวี่ยถูกถอดออกตั้งนานแล้ว นางสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย แน่นอนว่าเป็นเสื้อผ้าของกู้เจียว
กู้เจียวตัวสูงกว่านาง แต่ก็สวมใส่สบายดี เหมาะกับเป็นชุดผู้ป่วยอยู่เหมือนกัน
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” กู้เจียวหยุดอยู่ที่หน้าเตียง คว้าหูฟังขึ้นมาฟังเสียงหัวใจและช่องอกของนาง
ม่อเชียนเสวี่ยยั้งมือของนางไว้ มองกู้เจียวหัวจรดเท้า ก่อนเอ่ยเสียงฮึดฮัด “เป็นเจ้าใช่หรือไม่”
ถามไม่มีหัวไม่มีท้าย
ทว่ากู้เจียวกลับเข้าใจเสียอย่างนั้น นางไม่ได้ปฏิเสธ “ใช่ ข้าเอง”
ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นผู้หญิงรึ”
กู้เจียวตอบตามตรง “ใช่”
น้ำเสียงของม่อเชียนเสวี่ยเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม “แล้วเจ้าก็ไม่ได้เป็นใบ้ด้วย”
กู้เจียวยังคงตอบไปตามตรง “อืม ไม่ได้เป็นใบ้”
ม่อเชียนเสวี่ยกัดฟันกรอด “คนโกหก!”
กู้เจียว “…”
กู้เจียวดึงมือของม่อเชียนเสวี่ยที่ยั้งมือตัวเองออก ม่อเชียนเสวี่ยดิ้นขัดขืน แต่น่าเสียดายที่นางบาดเจ็บสาหัส จึงมิใช่คู่ต่อสู้ของกู้เจียวแต่อย่างใด
กู้เจียวรวบข้อมือของนางเอาไว้ “อย่าดื้อ อย่าขยับ ไม่อย่างนั้นแผลจะฉีก”
ริมฝีปากของม่อเชียนเสวี่ยกระตุก ก่อนจะส่งเสียงฮึดฮัดแล้วเบนหน้าไปทางอื่น
กู้เจียวใช้หูฟังสอดเข้าไปใต้เสื้อตัวนอกของม่อเชียนเสวี่ย มีเพียงผ้าคาดเอวผืนบางที่ขวางกั้น
กู้เจียวฟังอย่างจ่อใจ ในใจไม่ได้คิดฟุ้งซ่านแต่อย่างใด
ทว่าม่อเชียนเสวี่ยกลับหน้าแดง
แพขนตาของนางขยับไหวก่อนจะเอ่ย “เจ้าไม่ถามข้าสักหน่อยหรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
กู้เจียวฟังด้านหน้าเสร็จ ก็เคลื่อนหูฟังแนบลงบนแผ่นหลังของนาง “อ๋อ แล้วเกินอะไรขึ้นเล่า”
ม่อเชียนเสวี่ยนรู้สึกคันยุบยิบที่แนวสันหลัง ร่างทั้งร่างพลันแข็งเกร็งขึ้นมา
นางกัดริมฝีปากเอ่ย “เหอะ ข้าไม่อยากพูดถึงแล้ว!”
กู้เจียว ‘ผู้หญิงนี่เปลี่ยนใจง่ายๆ กันเช่นนี้ทุกคนเลยหรือ’
ด้วยเหตุนี้กู้เจียวจึงไม่คิดจะถามซักไซ้ต่อ ใครจะไปรู้ว่าม่อเชียนเสวี่ยกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นเอง “ข้าจำเจ้าได้ตั้งแต่คืนวันนั้นแล้ว!”
นางหมายถึงคืนที่กู้เจียวรับตัวนางกลับมา กู้เจียวยามสวมหน้ากากอนามัยกับยามสวมหน้ากากนั้นแตกต่างกันอยู่บ้าง ทว่าม่อเชียนเสวี่ยนั้นจำชุดสีน้ำเงินครามของนางได้อย่างขึ้นใจ
หลายวันมานี้ม่อเชียนเสวี่ยก็ใช่ว่าจะหมดสติอยู่ตลอดเวลา บางครั้งนางก็ตื่นขึ้นมาบ้าง พอฟื้นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงในโรงหมอ ฟังนานเข้าก็ย่อมเดาได้ว่ากู้เจียวเป็นใคร
“ฟื้นตัวได้ดี” กู้เจียวเก็บหูฟังลง “ตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ปอดรั่วนั้นกำเริบได้ง่ายมาก เพราะอย่างนั้นวันหน้าต้องระวังให้ดี”
“ระวังอะไร” ม่อเชียนเสวี่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์
กู้เจียวครุ่นคิด “ระวังอย่าให้โมโห”
ม่อเชียนเสวี่ย “…”
เถ้าแก่รองไม่เข้ามาในห้อง เอาแต่รออยู่ข้างนอก
กู้เจียวตรวจอาการม่อเชียนเสวี่ยเสร็จก็ออกมา
“เจ้าดูท่าทางปวดหัวนัก เกิดอะไรขึ้นรึ”
เถ้าแก่รองเพิ่งจะเอ่ยปากถาม แจกันใบหนึ่งก็กระแทกเข้ากับประตู เสียงเพล้งดังขึ้น
ตามมาด้วยเสียงกัดฟันกรอดของม่อเชียนเสวี่ย “เจ้าคนโกหก รอข้าหายดีก่อนเถอะ คอยดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!”
กู้เจียวทอดถอนใจอย่างจนปัญญา “เอ่อ เรื่องก็เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ”
เถ้าแก่รอง ‘เอ่อ… ท่าทางตอนอาละวาดแบบนี้ เหมือนฮูหยินที่บ้านข้าไม่มีผิดเพี้ยน’
“ว่าแต่แม่นางผู้นั้นเป็นใครหรือ” เถ้าแก่รองกระซิบถาม
“ข้าเป็นป้าของพ่อเจ้า!” เสียงจองหองของม่อเชียนเสี่ยวลอยออกมา
เถ้าแก่รองสั่นไปทั้งตัว ไม่สิ! นางได้ยินได้อย่างไร!
กู้เจียว ‘คนเขามีวรยุทธ์น่ะ เข้าใจไหม’
ม่อเชียนเสวี่ยยังคงเดือดดาลอย่างไม่มีท่าทีว่าจะสงบลงง่ายๆ “อีกอย่าง เจ้าอยากถามเองไม่ใช่หรือว่าคนร้ายที่หอเซียนเล่อคือใคร เหตุใดทางการถึงยังจับตัวไม่ได้ หึ คือข้าเอง! คนผู้นั้นจะฆ่าข้า แต่กลับถูกข้าฆ่าตายเสียก่อน แล้วข้าทำให้นางเสียโฉม ก่อนจะพลางตัวแล้วหนีออกมา!”
เถ้าแก่รองเหมือนโดนฟ้าผ่า “เจ้าทำให้นางเสียโฉม แล้วก็พลางตัวหนีออกมา… เดี๋ยวก่อน เจ้าคือ…เจ้าคือ…”
ม่อเชียนเสวี่ยหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในห้อง “ใช่แล้ว ข้าคือนางคณิกาแห่งหอเซียนเล่อที่ ‘ตายไปแล้ว’ ม่อเชียนเสวี่ย!”
เถ้าแก่รองตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ซ้ำยังเป็นลมหมดสติไป!
อาการของม่อเชียนเสวี่ยค่อนข้างพิเศษ กู้เจียวบอกกับคนที่บ้านไว้แล้วว่าสองสามวันนี้จะพักที่โรงหมอ
สองคืนแรกเซียวเหิงแวะมาหา ทว่าคืนที่สามต้องออกไปนอกเมืองเพื่อทำคดี ผู้ต้องสงสัยกลับกลายเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมหลี่แห่งกรมยุติธรรมเสียอย่างนั้น
ผู้ช่วยเจ้ากรมหลี่เป็นหนึ่งในขุนนางที่รับผิดชอบคดีของม่อเชียนเสวี่ย เจ้ากรมยุติธรรมเชื่อใจเขามาก เพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานชั้นต้น เจ้ากรมยุติธรรมจึงพาเซียวเหิงออกไปสืบหาเบาะแสทั้งวันทั้งคืน
ทางฟากโรงหมอ ไฟโกรธของม่อเชียนเสวี่ยก็ยังไม่ดับลง นางอยากจะหาเรื่องทะเลาะกับกู้เจียว ทว่ากู้เจียวไม่ได้มีนิสัยชอบต่อปากต่อคำกับคนนัก นางไม่แสดงออกแม้กระทั่งสีหน้า ไม่เคยโมโห ไม่ให้ความร่วมมือกับคนอยากมีเรื่องเอาเสียเลย!
ม่อเชียนเสวี่ยจึงจับตัวเถ้าแก่รองมาระบายอารมณ์แทน จนตอนนี้ผมเถ้าแก่รองแทบจะร่วงหมดหัวแล้ว!
ยามหญิงสาวทะเลาะกันสามารถหยุดกองทัพทหารม้านับหมื่นได้จริงๆ !
คืนนั้น หลังจากม่อเชียนเสวี่ยทารุณเถ้าแก่รองจนสาแก่ใจแล้ว ก็หลับตาลงส่งเสียงกระฟัดกระเฟียดแล้วเอนตัวนอน
กลางดึกคืนนั้น
เงาร่างดำตะคุ่มมากมายได้ลอบเข้ามาในเรือนเล็กของโรงหมอ