สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 552 เจียวเจียวความแตก
บทที่ 552 เจียวเจียวความแตก
หวงฝู่เสียนล้มลงกับพื้นด้วยสภาพที่เขาคิดว่าน่าขายหน้าเป็นที่สุด ทำให้ตอนที่เสี่ยวจิ้งคงไถลลงจากขอบหน้าต่างและต้องให้เขาช่วย จึงโดนเขาปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
สองมือเขาจับที่พักแขนประคองตัว กลับขึ้นไปนั่งบนรถเข็นอย่างยากลำบาก
ไม่รู้ว่าโกรธหรืออายกันแน่ แก้มเขาจึงได้แดงเห่อเช่นนี้
เขาเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นในใจ เหมือนกระแสน้ำพลุ่งพล่าน เขาไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร
เสี่ยวจิ้งคงเอามือน้อยๆ ไพล่หลัง โคลงศีรษะมองเขาอย่างน่าเอ็นดู “ท่านพี่ อายหรือ”
“ข้าไม่ได้อาย!” หวงฝู่เสียนหน้าแดงเห่อเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
เสี่ยวจิ้งคง “อ๋อ”
หวงฝู่เสียน ‘นี่มันน้ำเสียงไม่เชื่อกันอย่างนั้นรึ’
หวงฝู่เสียนเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้ามาทำอะไร บอกว่าไม่ให้เจ้ามาไม่ใช่หรือไร”
ไม่สิ เจ้าเด็กนี่กลับไปแล้วมิใช่หรือไร
เขาเอ่ยถ้อยคำทำร้ายจิตใจเช่นนั้นไปแล้ว เหตุใดอีกฝ่ายยังจะกลับมาอีกเล่า
เสี่ยวจิ้งคงบอกตามตรง “ข้าไปแล้ว แต่ข้านึกบางอย่างขึ้นมาได้ลืมพูดกับท่านพี่”
เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กที่ชอบวางแผนมาก สิ่งที่เขาวางแผนไว้แล้วก็ต้องทำให้ได้ มิฉะนั้นตอนที่อยู่ในชนบทคงไม่หงุดหงิดทุกวันเพราะกู้เหยี่ยนไม่ทำตามแผนอาหารกลางวันที่เขาวางไว้หรอก
“เรื่องอะไรล่ะ” หวงฝู่เสียนน้ำเสียงเย็นชา
“ขาของท่าน” เสี่ยวจิ้งคงชี้ขาพิการที่คลุมด้วยผ้าห่มอีกครั้ง
หวงฝู่เสียนนัยน์ตาหดเกร็ง
ขาของเขาเป็นสิ่งต้องห้ามของเขา ไม่มีใครแตะต้องได้ ไม่มีใครดูได้ และไม่มีใครพูดถึงมันได้
กลิ่นอายหวงฝู่เสียนเย็นยะเยือกขึ้น
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยถ้อยคำของตัวเองออกมาจนจบโดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ “เจียวเจียวมีวิธีทำให้พี่ยืนขึ้นได้อีกครั้ง!”
นัยน์ตาหวงฝู่เสียนวูบไหวเล็กน้อย ชั่วขณะเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่ใจเขาพลันหดเกร็ง ทว่าก็แค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น
ไม่นานเขาก็กลับมาสงบนิ่งดุจสายน้ำได้อีกครั้ง
ถ้อยคำเหล่านี้เขาได้ยินมานักต่อนักแล้ว ที่ชายแดนมีทั้งหมอผี หมอแพทย์ หรือแม้กระทั่งหมอเทวดาที่ใครเรียกกันสามารถรักษาเขาให้หายได้
เขาในวัยเด็กน่าขันนั่นดันเชื่อด้วย
สุดท้ายก็แค่ปลอบเขาเท่านั้น
สุดท้ายเขาก็ได้รู้ความจริงที่ว่าขาของเขาไม่ใช่กิ่งไม้ ที่ขาดร่วงในฤดูหนาวแล้วจะงอกใหม่ได้ในฤดูใบไม้ผลิ
ชั่วชีวิตนี้เขาไม่สามารถมีสองขาได้อีก และไม่อาจมีโอกาสได้ลุกขึ้นยืนอีกแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยอย่างจริงจัง “เจียวเจียวบอกว่าขอแค่พี่พยายามก็จะลุกยืนได้แน่!”
เหอะ พยายามอย่างนั้นรึ
หวงฝู่เสียนหัวเราะอย่างเย็นชา
ต่อให้เขาลุกขึ้นยืนได้จริง นั่นก็คงต้องเป็นในฝันเท่านั้น
ที่น่าขันก็คือ พิการมานานเกินไป แม้แต่ความรู้สึกของการลุกยืนก็ลืมเลือนมันไปแล้ว ต่อให้ฝันก็ฝันไม่ได้ความรู้สึกจริงนั้นแล้ว
หวงฝู่เสียนไม่ได้ไตร่ตรองอย่างจริงจังว่าเจียวเจียวที่เสี่ยวจิ้งคงพูดถึงเป็นนักต้มตุ๋นในยุทธภพอะไรหรือไม่ บางทีอีกฝ่ายอาจแค่อยากหลอกเด็กคนหนึ่งเท่านั้นก็ได้
เขาเอ่ยเสียงเรียบ “อย่าเสียเวลาเลยเจ้าหนู”
ข้ายืนไม่ได้หรอก
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยอย่างมั่นใจ “เจียวเจียวบอกว่าพี่ทำได้ คราวหน้าข้าจะพาเจียวเจียวมาหานะ!”
เอ่ยจบเขาก็ปีนหน้าต่างกระโดดโลดเต้นจากไปเลย
เสี่ยวจิ้งคงกลับมาที่ตำหนักเหรินโซ่ว
ฉินกงกงไปทำธุระ จวงไทเฮาอยู่ในห้องบรรทมเพียงลำพัง เสี่ยวจิ้งคงกระโดดโลดเต้นเข้ามาหา มองจ้องไปที่จวงไทเฮา ก่อนเท้าเอวเอ่ย “ท่านย่า! ท่านแอบกินอีกแล้วนะ! ข้าจะฟ้องเจียวเจียว!”
จวงไทเฮาแทบสำลักผลไม้เชื่อมตาย!
เสี่ยวจิ้งคงเดินมาหาแต่ไม่ได้เก็บผลไม้เชื่อมของนาง
จวงไทเฮาคว้ากล่องผลไม้เชื่อมไว้แน่น “พวกนี้ข้าอุตส่าห์เก็บสะสมตั้งหลายวันเชียวนะ!”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เจียวเจียวบอกว่าเก็บรวบรวมผลไม้เชื่อมไว้กินทีเดียวไม่ได้นะ!”
ก่อนหน้านี้ไม่กิน เช่นนั้นต่อไปนี้ก็อย่าได้กินย้อนหลัง! อย่างไรเสียหนึ่งวันก็กินได้ห้าเม็ด! เมื่อครู่ท่านย่ากินไปห้าเม็ดแล้ว!
จวงไทเฮาปกป้องผลไม้เชื่อมของตัวเองอย่างแน่วแน่ กว่านางจะสะสมได้มากมายเพียงนี้ไม่ง่ายดายเลยนะ
“เอามาให้ข้า!” จวงไทเฮาเอ่ยเสียงแข็ง
“ไม่ให้!” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้
หนึ่งคนแก่ หนึ่งเด็กเล็กต่างจับกล่องคนละฝั่ง ถลึงตามองหน้ากัน ราวกับการแข่งขันชักกะเย่อในห้องบรรทมจะเริ่มขึ้นแล้ว
“ไทเฮา ทางฝ่าบาทให้นำขนมมาให้เพคะ”
นางกำนัลคนหนึ่งเอ่ยทูลขึ้นตรงหน้าประตู
จวงไทเฮามองเสี่ยวจิ้งคงอย่างโหดเหี้ยม “ปล่อยมือ”
เสี่ยวจิ้งคงมองท่านย่าหน้ามู่ทู่ “ไม่”
จวงไทเฮาสูดหายใจลึก ค่อยๆ ปล่อยมือช้าๆ “ได้ เจ้าเอาไปหมดเลย เอาไปเลย”
เสี่ยวจิ้งคงเลิกคิ้ว เผยรอยยิ้มผู้ชนะออกมา
“ไปดูทีว่าขนมอะไร” จวงไทเฮาเอ่ยกับเสี่ยวจิ้งคง
“อ้อ” เสี่ยวจิ้งคงวางกล่องผลไม้เชื่อมลงบนโต๊ะ วิ่งตึงตังไปรับขนมที่หน้าประตู
จวงไทเฮามองเสี่ยวจิ่วที่กำลังใช้ปีกกวาดหิมะบนต้นไห่ถังแวบหนึ่ง ก่อนซ่อนกล่องผลไม้เชื่อมอย่างรวดเร็ว “อ๊ะ! เสี่ยวจิ่วคาบผลไม้เชื่อมไปแล้ว!”
เสี่ยวจิ่วที่โดนใส่ร้ายอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีกหน “…!!”
…
วันที่สิบห้าเดือนหนึ่งผ่านพ้นไป แคว้นเจาก็เริ่มประชุมเช้าอีกครั้ง ฮ่องเต้ทรงตระเตรียมการประชุมเช้าที่กำลังจะมาถึงอยู่ในห้องทรงอักษร พลิกอ่านฎีกาที่เหล่าเสนาบดียกมาให้ รวมถึงเสียงวิจารณ์มากมายที่พระองค์ให้หน่วยสอดแนมรวบรวมมาจากหมู่ชาวบ้านด้วย
หนึ่งในนั้นมีเสียงข้างมากเกี่ยวกับการแต่งตั้งองค์หญิงหนิงอันเป็นองค์หญิงฮู่กั๋วหรือองค์หญิงผู้พิทักษ์แคว้น บรรดาปวงชนต่างชื่นชมองค์หญิงหนิงอัน ราวกับว่านางกลายเป็นพลังที่ไม่อาจขาดได้ในศึกนี้
ฮ่องเต้รักและเอ็นดูหนิงอัน ย่อมไม่มีทางไม่พอใจกับการชื่นชมของชาวบ้านที่มีต่อนาง เพียงแต่นึกถึงหวงฝู่เสียนที่มีจิตใจทะเยอทะยานแล้ว ฮ่องเต้ก็ค่อนข้างลังเล
นอกประตูมีขันทีน้อยมาหา ฉินกงกงเดินออกไปเงียบๆ ฟังอีกฝ่ายเล่าเบาๆ สองสามประโยคก็โบกมือให้อีกฝ่ายกลับไป
ก่อนที่เขาจะหันหลังเดินเข้าห้องทรงอักษรมา “ฝ่าบาท กู้ซื่อจื่อขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เรียกเข้ามา” ฮ่องเต้ตรัส
กู้ฉังชิงสร้างคุณูปการไว้ใหญ่หลวง ยามนี้ฮ่องเต้จึงทรงให้ความสำคัญต่อเขามาก
กู้ฉังชิงในชุดผ้าไหมสีม่วงตลอดร่างเดินเข้ามาด้านใน ประสานมือคำนับให้ “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ตรัสด้วยสีพระพักตร์ชื่นมื่น “ไม่ต้องมากพิธี เจ้ามาพบเรามีอะไรจะรายงานรึ”
“พ่ะย่ะค่ะ” กู้ฉังชิงทูลด้วยสีหน้าจริงจัง “กระหม่อมอยากออกจากเมืองหลวงสักระยะ เพื่อไปเยี่ยมเยือนครอบครัวของรองแม่ทัพจ้าวและรองแม่ทัพฉีพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ไว้ในศึกครานี้ เดิมทีควรรอดชีวิตมา แต่เพื่อช่วยทหารใต้บัญชาและชาวเมืองที่เมืองหลิงกวน จึงจำต้องตายไปพร้อมกันกับแม่ทัพแคว้นเฉิน กระหม่อมอยากไปนำป้ายทหารของพวกเขากลับมาด้วยตัวเอง ทหารที่ตายในสนามรบแล้วไม่อาจนำศพกลับคืนมาได้ ที่นำกลับบ้านเกิดได้ก็มีเพียงป้ายทหารที่ยืนยันสถานะตัวตนตัวเองเท่านั้น”
เดิมทีนี่ก็เป็นแผนการของกู้ฉังชิงอยู่แล้ว เพียงแต่เกิดเรื่องหอเซียนเล่อขึ้น การเดินทางครานี้จึงได้ไวก่อนกำหนด หลังจากเขาไปเยี่ยมเยือนถามไถ่ครอบครัวของทั้งสองคนนี้เสร็จ ก็จะไปสืบรายละเอียดของนายน้อยหอเซียนเล่อต่อ
สำหรับการร้องขอเช่นนี้ฮ่องเต้ไม่อาจปฏิเสธได้
ฮ่องเต้ถอนหายใจ ก่อนพยักหน้าตรัส “ไปเถิด เรารอเจ้ากลับมาก่อนแล้วจะประทานรางวัลให้”
กู้ฉังชิงประสานมือเอ่ย “กระหม่อมไม่ได้ต้องการรางวัล ขอเพียงปวงชนแคว้นเจาสงบสุข บ้านเมืองสงบ ชาวเมืองสมัครสมาน ชาวบ้านกินอิ่มมีเสื้อผ้าห่มกายเพียงพอ ขยันหมั่นเพียรทำงานทำการทั้งชายและหญิง ไม่ต้องพลัดถิ่นเพราะสงครามอีกต่อไปก็พอแล้ว”
นี่เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้เฝ้าปรารถนามิใช่หรือไร
แคว้นเจาเป็นแคว้นใต้อำนาจ ไม่ว่าด้านการค้าหรือด้านกำลังทหารก็สู้แคว้นมหาอำนาจทั้งสามไม่ได้ อย่าเอาแต่มองว่าปวงชนในเมืองหลวงสงบสุขเลย ความจริงแล้วเป็นสถานที่อันขมขื่นและหนาวเย็นพอๆ กับป้อมปราการชายแดนเลยทีเดียว เหล่าปวงชนต้องประหยัดเสื้อผ้าและอาหาร แม้แต่จะกินให้ท้องอิ่มยังเป็นเรื่องยาก
ส่วนแคว้นเยี่ยนเองก็มีทุ่งน้ำแข็งที่หนาวเย็นเช่นกัน แต่กลับสามารถทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนมั่งคั่งร่ำรวยได้ ปวงชนไม่ต้องลำบากแร้นแค้น
หากเป็นไปได้พระองค์ก็อยากไปแคว้นเยี่ยนเพื่อศึกษาดูงาน ดูว่ากษัตริย์แคว้นเยี่ยนปกครองแคว้นใต้อำนาจในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่สิบปีให้กลายเป็นแคว้นมหาอำนาจอันดับหนึ่งในหกแคว้นได้อย่างไร
เมื่อกู้ฉังชิงได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้แล้ว ก็ออกเดินทางจากเมืองหลวงในวันนั้นเลย ผู้ร่วมเดินทางไปกับเขายังมีผู้บัญชาการของกองทัพตระกูลกู้อีกสองนาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครสงสัยว่าเขามีเป้าหมายอื่น
ยามนี้กู้ฉังชิงทำให้ฮ่องเต้เกิดความรู้สึกพลุ่งพล่านขึ้นมาในพระทัยไม่น้อย จู่ๆ พระองค์ก็รู้สึกว่ารางวัลของพระองค์มันน้อยไปหรือไม่
หลังจากฮ่องเต้ตรองแล้วตรองอีก ก็เรียกเว่ยกงกงมาหา “อาการของท่านเหล่าโหวเป็นอย่างไรบ้าง”
เว่ยกงกงยิ้มทูล “ได้ยินว่าไม่เป็นอะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ ลงจากเตียงมาเดินได้แล้ว แต่ไม่ได้คล่องแคล่วเท่าเมื่อก่อน แม่นางกู้บอกว่าอะไรนะ วันหลังต้องอะไรสักอย่างถึงจะหายขาดได้!”
ฮ่องเต้ส่งเสียงอืม “เจ้าส่งคนไปจวนติ้งอันโหวหน่อย รับตัวท่านเหล่าโหวเข้าวังมา เรามีเรื่องจะหารือกับเขา จำไว้ว่าให้ขับรถม้าช้าๆ หน่อย เดี๋ยวท่านเหล่าโหวจะกระเทือน”
“ให้บ่าวไปรับด้วยตัวเองดีหรือไม่” เว่ยกงกงถาม
“ก็ได้” ฮ่องเต้ตรัส
เว่ยกงกงจึงไปจวนติ้งอันโหวด้วยตัวเอง เพื่อรับตัวท่านเหล่าโหวเข้าวังมา
แม้ท่านเหล่าโหวจะลุกมาเดินได้ก็จริง แต่ก็เดินนานไม่ได้ แขนขาเขาเคยถูกฟันขาด ยามนี้แม้จะต่อติดดีแล้ว แต่อย่างไรเสียก็ต้องพักฟื้นรักษาตัวให้ดี
ฮ่องเต้ให้เขานั่งเกี้ยวมาที่ห้องทรงอักษร นี่นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว
หลังจากเขาเข้ามาในห้องทรงอักษร ฮ่องเต้ก็รีบจัดแจงหาที่นั่งให้ทันที
“ฝ่าบาท” ท่านเหล่าโหวได้รับความโปรดปรานจนรู้สึกประหลาดใจ กำลังจะลุกขึ้นคำนับ
ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “ขุนนางกู้นั่งเถิด เจ้าเป็นขุนนางคนสำคัญของเรา ศึกที่ชายแดนเจ้าก็สร้างคุณูปการไว้”
ฮ่องเต้รู้ดีว่าท่านเหล่าโหวมีประโยชน์ในศึกนี้ หากไม่ได้เขา กู้เจียวกับกู้ฉังชิงคงไม่ไปชายแดน และหากสองคนนี้ไม่ไปชายแดน แคว้นเจาก็จะเสียผู้บัญชาการที่เก่งกาจไปหนึ่งนาย ชายแดนจะสูญเสียปราการน้ำไปหนึ่งแห่ง โรคระบาดจะทำร้ายปวงชนล้มตายนับไม่ถ้วน…และฮ่องเต้ก็อาจจะสูญเสียน้องสาวอย่างหนิงอันไปตลอดกาล
สรุปก็คือโชคดีที่มีกู้เฉา
ยิ่งไปกว่านั้นกู้ฉังชิงกับกองทัพตระกูลกู้ห้าวหาญถึงเพียงนี้ จะไม่เป็นเพราะว่ากู้เฉาถูกจับตัวไปได้หรือ
“กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” ท่านเหล่าโหวประสานมือ
ฮ่องเต้ตรัสอย่างสะทกสะท้อนใจ “กู้เฉาเอ๋ยกู้เฉา เจ้าเป็นคนมีบุญ พวกหลานๆ มีแต่ยอดเยี่ยมทั้งนั้น”
กู้ฉังชิงคงไม่ต้องพูดถึงแล้ว เด็กคนนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยตั้งแต่เด็กจนโต
กู้เฉิงเฟิงกับกู้เจียวก็น่าประหลาดใจ
“ฝ่าบาทชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ท่านเหล่าโหวเอ่ยอย่างถ่อมตัว
“เอาละ เจ้ากับข้าเป็นนายบ่าวกันมาหลายปี บทพิธีการเหล่านี้คงไม่ต้องพูดให้มาก วันนี้เราเรียกเจ้าเข้าวังเพราะอยากจะหารือเรื่องให้รางวัลหลานๆ ของเจ้า”
แม้ท่านเหล่าโหวจะเป็นทหาร แต่ก็ไวต่อตัวเลขมาก หากไม่พยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็สำเร็จได้โดยง่าย แต่เห็นชัดๆ ว่าเขามีหลานชายแค่สองคนที่ไปชายแดนนี่นา…
“เราตั้งใจว่าจะเลื่อนขั้นหลานชายคนโตของเจ้ากู้ฉังชิงให้เป็นแม่ทัพยศติ้งเป่ยขั้นสาม กู้เฉิงเฟิงหลานคนรองให้เป็นนายกองทหารขั้นหก”
ฟังมาถึงตรงนี้ แม้ว่าท่านเหล่าโหวจะรู้สึกว่ารางวัลค่อนข้างใหญ่ไปหน่อย แต่ก็เข้าใจดีว่าเพิ่งกลับมาจากศึกใหญ่ นี่เป็นการปลอบขวัญและให้กำลังใจทหาร และเป็นวิธีการซื้อใจปวงชนด้วย
ทว่าประโยคต่อมาของฮ่องเต้กลับทำให้ท่านเหล่าโหวฉงนงุนงงหนัก
“หลานสาวเจ้าก็ไม่เลว เรากะว่าจะแต่งตั้งให้นางเป็นท่านหญิง ฉายานามให้สำนักฮั่นหลินตั้งแล้วกัน”
“ช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่ฝ่าบาททรงตรัสว่าหลานสาวของกระหม่อมหรือ เหตุใดฝ่าบาทจะแต่งตั้งหลานสาวของกระหม่อมเล่า”
หากอีกฝ่ายอยากจะประทานรางวัลให้แม้แต่หลานสาวตระกูลกู้ที่ไม่มีคุณูปการใดเลยละก็ ไม่ควรเริ่มจากกู้เฉิงหลินกับกู้เหยี่ยนหรอกหรือ
เด็กคนนั้นเป็นแค่ผู้หญิงยิงเรือ!
จะให้รางวัลนางไปทำไม!
ฮ่องเต้หัวเราะ “หมอเทวดาน้อยสร้างคุณูปการที่ชายแดน เราย่อมประทานรางวัลแก่นางอยู่แล้ว”
ท่านเหล่าโหวปากอ้าตาค้าง “นาง…สร้างคุณูปการอย่างนั้นหรือ”
เด็กคนนั้นไปชายแดนด้วยรึ
ท่านเหล่าโหวแสดงออกว่าไม่เข้าใจเลยสักนิด!
ใช่สินะ คนของโรงหมอไปชายแดนกัน นางก็ต้องไปด้วยกันกับบรรดาหมออยู่แล้ว
ปฏิกิริยาอะไรของกู้เฉากัน
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตรัสด้วยพระพักตร์เคร่งขรึม “นางเฝ้ารักษาการณ์ที่เมืองเย่ว์กู่ด้วยกันกับจอมพลถัง รอกำลังเสริมจากกองทัพตระกูลกู้มา แล้วก็ นางก็ยังช่วยเจ้าไว้ด้วย”
ท่านเหล่าโหวเอ่ยอย่างพลุ่งพล่าน “นั่นเป็นคุณูปการของน้องเล็กข้าแท้ๆ! น้องเล็กข้าไล่เข่นฆ่าอยู่ที่เมืองเย่ว์กู่ตั้งหลายวันหลายคืน และน้องเล็กข้าก็ไปช่วยข้าออกมาจากจวนผู้ว่า จริงสิ แม้แต่อาการบาดเจ็บของข้าน้องเล็กข้าก็รักษาให้ แค่นางที่เป็นคนจากโรงหมอแห่งนั้นมาทำแผลให้ข้าสองสามหน จะยกความดีความชอบให้นางไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาท หากพระองค์จะประทานรางวัลก็ต้องประทานให้น้องเล็กข้า!”
ใครก็มาแย่งความดีความชอบไปจากน้องเล็กของเขาไม่ได้!
หลานสาวก็ไม่ได้!
ใครให้น้องเล็กเขาได้รับความเป็นธรรม เขาจะเอาเรื่องคนนั้นแน่!
ยามนี้กลายเป็นฮ่องเต้ที่งุนงงบ้างแล้ว
น้องเล็กอะไรกัน
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา
กู้เจียวเดิมทีเข้าวังมารับเสี่ยวจิ้งคง จี้จิ่วอาวุโสทราบว่านางจะเข้าวัง จึงไหว้วานให้นางเอาฎีกามาถวายฮ่องเต้ด้วย
ยามนี้นางจึงมาถวายฎีกาให้ฮ่องเต้
เว่ยกงกงย่อมไม่ขวางนางไว้ อย่างไรเสียด้านในก็ไม่ได้กำลังคุยเรื่องใหญ่โตอย่างการทหารพวกนั้น เว่ยกงกงเดินนำนางมาถึงหน้าห้องทรงอักษร “ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้หันมา เห็นกู้เจียวอยู่หน้าประตู จึงยิ้มพลางกวักมือเรียกกู้เจียว “เข้ามาเร็วเข้า! กำลังพูดถึงเจ้าอยู่พอดี!”
กู้เจียวสาวเท้าเข้ามาด้านใน
ไหนเลยจะรู้เท้าข้างหนึ่งเพิ่งจะข้ามธรณีประตูไป นางก็เห็นท่านเหล่าโหวนั่งอยู่บนเก้าอี้
นางชะงักงันทันที!
ท่านเหล่าโหวหันหน้ามา เขาหมายจะดูว่าใครมา
ทันใดนั้น กู้เจียวรีบล้วงหน้ากากออกมาสวมทันที!
แต่กู้เจียวคงลืมไป นี่ไม่ได้อยู่ที่ชายแดน และอาภรณ์ที่นางสวมใส่ก็เป็นอาภรณ์ของสตรีด้วย