สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 562-2 เผยธาตุแท้ (2)
บทที่ 562 เผยธาตุแท้ (2)
แน่นอนว่าเซียวฮองเฮาก็ส่งซูกงกงไปยังที่ทำการกรมยุติธรรมเช่นกัน ข่าวที่ได้รับนั้นตรงกับที่คำบอกเล่าของเว่ยกงกง ซุนผิงเป็นคนนำจดหมายสารภาพผิดมาส่งจริงๆ
เพียงแต่กรมยุติธรรมคิดไม่ถึงเลยว่าซุนผิงจะเป็นมือสังหาร
ซุนผิงและซุนเจียนเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน คนหนึ่งเพิ่งจะอายุได้ยี่สิบปี ส่วนอีกคนหนึ่งอายุยี่สิบสอง พวกเขาทั้งสองทำงานที่กรมยุติธรรม ตำแหน่งไม่สูงนัก แต่มักจะติดตามเจ้ากรมสิงเป็นประจำ เป็นคนที่เจ้ากรมสิงไว้ใจ
พอได้ยินว่าซุนผิงทำเรื่องผิดบาปร้ายแรงเช่นนั้น ทุกคนต่างแทบไม่เชื่อหูตัวเองในตอนแรก
หากบอกว่าฝีมือซุนเจียน พวกเขายังพอสงสัย ซุนเจียนนั้นเจ้าเล่ห์กว่าซุนผิงนัก หลายครั้งที่เขาแอบอ้างใช้อำนาจข่มเหงรังแกผู้อื่น แต่ซุนผิงนั้นเป็นตั้งใจทำงานขยันขันแข็งอยู่ทุกวัน
“ซูกงกง แล้วซุนผิงเล่า” เจ้ากรมสิงถาม
“ตายแล้ว” ซูกงกงเอ่ยเสียงเรียบ
เจ้ากรมสิงหายใจเฮือก
ซูกงกงเอ่ยถามน้ำเสียงกระทบกระเทียบ “ผู้ใดสั่งให้ซุนผิงเข้าวังหรือ”
เซียวเหิงก้าวเข้ามา
เจ้ากรมสิงรั้งเขาไว้ ก่อนจะเอ่ยกับซูกงกง “ข้าเอง”
ซูกงกงเชิดคางเอ่ยเสียงเย็น “เช่นนั้นก็เชิญเจ้ากรมสิงตามข้าเข้าวังด้วยขอรับ แล้วก็เรื่องเกี่ยวกับฝ่าบาท คดีลอบสังหารครั้งนี้มอบให้ศาลต้าหลี่และกองตรวจการร่วมกับทำคดี”
เจ้ากรมสิงเอ่ยอย่างนอบน้อม “กงกงโปรดรอสักครู่ ขอข้าเปลี่ยนเครื่องแบบก่อน จะได้ไม่เป็นการเสียกริยาต่อหน้าพระพักตร์”
“อืม” เว่ยกงกงขานตอบอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะพาเหล่าข้าหลวงออกไปรอเจ้ากรมสิงที่ห้องโถง
เจ้ากรมสิงกดเสียงให้เบาลงพลางเอ่ยกับเซียวลิ่วหลัง “ข้าไม่เชื่อว่าซุนผิงจะลอบสังหารฝ่าบาท ลิ่วหลัง สืบความจริงมาให้ได้”
เซียวเหิงพยักหน้ารับ
เจ้ากรมสิงเพิ่งจะออกไป เซียวเหิงก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงเซียวฮองเฮา
เนื้อความเขียนว่าเขาเป็นคนมอบหมายซุนผิง จดหมายสารภาพนั้นเขาเป็นคนสอบสวนเอง ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้ากรมสิง เรื่องของซุนผิงต้องมีบางอย่างอยู่เบื้องหลัง
ทว่าเขากลับลังเล สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งจดหมายฉบับนั้นออกไป
เจ้ากรมสิงถูกพาตัวไปยังห้องบรรทมของตำหนักฮว๋าชิง
เซียวฮองเฮานั่งตระหง่าน มองเจ้ากรมสิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาแข็งกร้าวและเย็นชา ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้ากรมสิง เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่ ซุนผิงเป็นคนที่เจ้าส่งมาใช่หรือไม่”
เจ้ากรมสิงตอบ “ทูลฮองเฮา ซุนผิงนั้นเป็นคนที่กระหม่อมส่งมาจริงพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมไม่เชื่อว่าเขาจะทำการลอบปองพระชนม์ฝ่าบาท”
เซียวฮองเฮา “เจ้าไม่เชื่อ หรืออยากผลักเรื่องนี้ให้พ้นตัวกันแน่”
เจ้ากรมสิง “ซุนผิงเป็นนักการข้างกายของกระหม่อม เขาถูกใส่ร้าย กระหม่อมจะสืบหาความจริง ทวงคืนความยุติธรรมให้แก่เขา จะผลักภาระให้พ้นตัวได้เช่นไร”
เซียวฮองเฮาหรี่ตามอง “เช่นนั้นเจ้าหมายความข้าใส่ร้ายเจ้าอย่างนั้นหรือ”
เจ้ากรมสิงไม่กล้าต่อปากต่อคำ “กระหม่อมมิบังอาจ”
เซียวฮองเฮาเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเองก็อยากเชื่อเจ้า เพียงแต่หลักฐานมันมัดตัว”
เจ้ากรมสิงช้อนตามองนาง “ขอถามฮองเฮาได้หรือไม่ว่าหลักฐานนั้นคืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวฮองเฮาเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม “พยานบุคคล พยานวัตถุก็มีทั้งนั้น”
ซูกงกงยกถาดเข้ามา บนถาดนั้นรองด้วยผ้าแพร ทว่าบนผืนผ้าแพรนั้นกลับมีมีดสั้นอาบเลือดวางอยู่ รวมทั้งแท่นฝนหมึกที่ชุ่มไปด้วยเลือด
“นี่คืออาวุธของซุนผิง” ซูกงกงเล่าแหตุการณ์ขณะฮ่องเต้ถูกลอบสังหารณ์ให้ฟังแล้ว
คำให้การขององค์หญิงหนิงอันกับเว่ยกงกงตรงกัน องค์หญิงหนิงอันเป็นที่พึ่งของฮ่องเต้ ทั่วทั้งราชสำนักกำลังถกเถียงกันไม่หยุดหย่อนว่าครบประทานยศให้นางหรือไม่ แต่ความตั้งใจของฮ่องเต้นั้นคือประทานให้อย่างแน่นอน
หากเกิดเรื่องขึ้นกับฮ่องเต้ นางเป็นคนที่เสียผลประโยชน์มากที่สุด
เพราะอย่างนั้นหากวิเคราะห์จากจุดนี้ นางไม่มีแรงจูงใจในการก่อเหตุเลย
ส่วนเว่ยกงกงนั้น เป็นคนเก่าคนแก่ที่อยู่ข้างกายฝ่าบาท ใครจะสงสัยในตัวเขากัน
มาถึงตอนนี้ เจ้ากรมสิงรู้แล้วว่าข้อสันนิษฐานของตัวเองนั้นถูกพยานบุคคลปากเอกทั้งสองหักล้างจนหมดสิ้น
เซียวฮองเฮาตรัสถามกลับ “เจ้าจะว่าอย่างไร”
เจ้ากรมสิงตอบ “กระหม่อมไม่มีอะไรจะพูดพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวฮองเฮาตรัสเสียงเรียบ “ใครก็ได้เข้ามาที พาตัวเจ้ากรมสิงไปขังไว้ที่ศาลต้าหลี่”
เจ้ากรมสิงคุกเข่าอยู่บนพื้น แผ่นหลังเหยียดตรง เขาถอดหมวกขุนนางบนศีรษะก่อนจะยื่นให้ข้าหลวงที่เข้ามาจับกุมเขา
เซียวฮองเฮาเรียกขุนนางศาลต้าหลี่เข้ามา พาพวกเขาไปยังที่เกิดเหตุเพื่อเก็บหลักฐาน เหล่าข้าหลวงที่เคยถูกสอบสวนแล้วก็ถูกสอบสวนอีก
เซียวฮองเฮาวุ่นจนดึกดื่น สุดท้ายก็ฝืนทนต่อไปไม่ไหว เอนกายพิงกับเก้าอี้ในตำหนักก่อนจะผล็อยหลับไป
…
ดึกสงัดไร้ผู้คน
ภายในห้องบรรทมแสงเทียนสลัว
เว่ยกงกงคุกเข่าอยู่ที่ปลายเตียง ปาดน้ำตาอย่างไร้สุ้มเสียง
เงาเลือนรางราวกับดวงวิญญาณเร้นกายเข้ามา ชายชุดกระโปรงผืนงามส่องประกายระยับลากไปตามพื้น
เว่ยกงกงที่ร้องไห้สะอื้นอยู่ก็พลันเห็นเงาขนาดยักษ์ที่คืบคลานเข้ามาใกล้หัวเตียง เขากลัวจนตัวสั่นไปหมด วินาทีกำลังจะหันหลังกลับไปนั้น ก็มีมือข้าหนึ่งทาบลงบนบ่าของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว
เว่ยกงกงแข็งเกร็งไปทั้งร่าง
“เว่ยกงกงหนาวหรือ”
คนที่อยู่ข้างหลังเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
เว่ยกงกงกลืนน้ำลายลงคอ กักเก็บความหวาดกลัวภายในใจ ก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “ทะ ทูลองค์หญิง ข้าน้อยไม่หนาวพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่หนาวแล้วเหตุใดเจ้าถึงสั่น” นางถาม
เว่ยกงกงพยายามห้ามตัวเองไม่ให้สั่น
“เสด็จพี่ตื่นแล้วหรือยัง” นางแหวกม้านสีเหลืองอร่าม คล้องไว้กับตะขอ ก่อนจะนั่งลงข้างเตียง
เว่ยกงกงมองนางอย่างกระสับกระส่าย “ยังพ่ะย่ะค่ะ”
นางยกมือขึ้นก่อนจะประคองใบหน้าของฮ่องเต้อย่างเบามือ “เสด็จพี่ช่างน่าสงสารเหลือเกิน”
เว่ยกงกงก้มหน้าไม่เอ่ยคำใด
“เว่ยกงกง เจ้าบอกมาซิว่าผู้ใดทำให้เสด็จพี่เป็นเช่นนี้”
“ซุน ซุนผิงพ่ะย่ะค่ะ”
“ซุนผิงหรือ” นางชะงักไปแล้วตามมาด้วยเสียงหัวเราะ หัวเราะจนตัวโยน เสียงหัวเราะดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้องบรรทมอันมืดสลัว
เว่ยกงกงสั่นไปทั้งตัวทั้งที่อากาศไม่ได้หนาวเลยสักนิด เขาค่อยๆ เหลียวไปมองเหล่าข้าหลวงที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางตำหนักบรรทม ก่อนจะพบว่าพวกเขานอนหลับสลบไสลกันไปหมดแล้ว
เว่ยกงกงตัวสั่นยิ่งกว่าเดิม
นางหยุดหัวเราะ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วปาดหยดน้ำตา “เว่ยกงกง ไม่ใช่ฝีมือข้าหรอกหรือ ไม่ใช่ข้าหรอกหรือที่เสี่ยงตายเพื่อหาหลักฐานล้างความผิด แต่สุดท้ายเสด็จพี่ก็ไม่เชื่อข้า เพราะอย่างนั้นข้าถึงต้อง ‘ยืมมือ’ คนอื่นทำร้ายเสด็จพี่…”
เว่ยกงกงไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร พูดไม่ถูกหูนางก็อาละวาด ต่อให้พูดถูกก็กลัวนางอาละวาดเหมือนเดิม
นางเอ่ย “เว่ยกงกง เจ้าช่างเป็นคนฉลาดหลักแหลมดีแท้ ข้าใช้เจ้าเป็นเครื่องมือ เจ้าก็ทรยศหักหลังเสด็จพี่จริงๆ พวกคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าก็เป็นแบบนี้กันหมดเลยหรือ”
นางพูดจนจบก็กัดฟันกรอดยืนขึ้น ก่อนจะยกเท้าถีบเว่ยกงกงจนกลิ้งไปกับพื้น
เว่ยกงกงไม่ได้อายุมากเท่าฉินกงกง ทว่าก็ไม่ได้หนุ่มแน่นแล้ว พอถูกถีบเข้าอย่างนั้น กระดูกก็แทบจะหักเป็นชิ้นๆ เหมือนกัน
นี่คือองค์หญิงที่เขารู้จักหรือ นี่มันพวกอันธพาลชัดๆ
ใครอยู่กับนางคงโชคร้ายไปชั่วชีวิต
นางหัวเราะเย้ยหยัน “เสด็จพี่ ท่านลืมตาขึ้นมาดูสิ นี่คือทาสรับใช้ที่ท่านไว้ใจ พวกมันก็แค่คนชั้นต่ำ จิตใจก็ต่ำทราม พวกมันเชื่อไม่ได้”
“เสด็จพี่ เดิมทีข้าไม่ได้ตั้งใจว่าจัดการเสด็จพี่เร็วขนาดนี้ แต่เหตุใดเสด็จพี่ถึงไม่เชื่อข้า ไม่ใช่ว่าท่านเชื่อใจข้ามาตลอดหรือ”
“หรือว่าเพราะข้าไม่ได้วางยาท่าน ท่านถึงไม่เชื่อข้าอย่างสนิทใจเหมือนเสด็จแม่จิ้งอย่างนั้นหรือ”
“ตอนนี้ข้าวางยาท่านแล้วนี่” องค์หญิงหนิงอันตรัส ก่อนจะหยิบขวดยาออกมาจากอกเสื้อ
เว่ยกงกงหน้าถอดสีในทันที!
เขาอยากจะเข้าไปฉุดรั้งนาง ทว่านางปราบได้แม้กระทั่งองครักษ์หลงอิ่ง หากเขากระโจนเข้าไปไม่เท่ากับหาที่ตายหรอกหรือ
ไม่คิดมาก่อนเลยว่าองค์หญิงจะแสแสร้งได้แนบเนียนถึงเพียงนี้
“หึ” องค์หญิงหนิงอันมองเว่ยกงกงอย่างดูถูกดูแคลน นางไม่สนใจว่ามดตัวเล็กจะจงเกลียดจงชังนางอย่างไร นางรู้สึกว่าน่าขันเสียอีก นางหัวเราะอยู่นาน ก่อนจะเหลียวไปมองฮ่องเต้บนเตียง “ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่ได้วางยาเปลี่ยนใจท่าน ยาพวกนั้นท่านกินมามากพอแล้ว ข้าหวังเพียงแค่ว่าเสด็จพี่จะตื่นมาเห็นสิ่งที่ข้าทำ”
องค์หญิงหนิงอันบีบปากฮ่องเต้ ก่อนจะกรอกยาลงไป
ไม่นาน เปลือกตาของฮ่องเต้ก็ค่อยขยับไหว
เป็นสัญญาณว่าได้สติกลับคืนมาแล้ว
เพียงแต่แม้จะได้กลับมา ทว่าร่างกายกลับไม่อาจขยับเขยื้อนได้
เขารู้เห็นทุกการกระทำของหนิงอัน ภาพที่หนิงอันทรยศหักหลังเขานั้นชัดแจ้งอยู่ในหัว
เขาเหมือนถูกมีดแทงกลางดวงใจ เหมือนเปลวไฟสุมเต็มอก แต่กลับไม่อาจตอบโต้ได้ ไร้ซึ่งกำลังใด