สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 57 พ่อแม่
หลังจากที่กู้จิ่นอวี๋ออกจากโรงหมอแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง ฮูหยินโหวกำลังนั่งรออยู่
กู้จิ่นอวี๋เดินเข้าไปในร้าน โผเข้ากอดฮูหยินโหวและเอ่ยเรียกท่านแม่
ฮูหยินโหวกอดบุตรสาวที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายวันอย่างแนบแน่น พลางเอ่ยทัก “โตเป็นสาวเป็นแซ่
ยังติดกอดแม่เช่นนี้อีก ไม่อายเขาบ้างรึ”
พอได้ยินมารดาของตนเอ่ยดังนั้น กู้จิ่นอวี๋ก็ยิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นกว่าเดิม พลางเอ่ยอ้อน
“ยังไงข้าก็เป็นเด็กน้อยของท่านพ่อและท่านแม่อยู่ดี ไม่เห็นมีอะไรต้องอายเลยนี่นา”
ฮูหยินโหวยื่นมือหยิกจมูกเล็กๆ ของลูกสาว “ก็เพราะเจ้าเป็นแบบนี้ไง พ่อเจ้าถึงหวงเจ้าสุดๆ !”
กู้จิ่นอวี๋ทำแก้มตุ๊บป่อง “ใครใช้ให้ท่านพ่อมีลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนแค่คนเดียวละเจ้าคะ”
ฮูหยินโหวหัวเราะน้ำตาเล็ด “ว่าแต่ ไปจ่ายค่าตอบแทนที่หุยชุนถังมาเป็นอย่างไรบ้าง ราบรื่นดีไหม”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ กู้จิ่นอวี๋ก็รีบหลบตาทันควัน
ฮูหยินโหวจับท่าทีของนางได้ จึงเอ่ยถาม “มีเรื่องอันใดรึ หรือว่าหุยชุนถังไม่พอใจกับค่าตอบแทนที่ให้ไป”
จะว่าไปแล้ว เรื่องค่าตอบแทนที่ว่านี่ก็สุดแสนจะคลุมเครือ ฮูหยินโหวนางนึกว่าคนใช้จัดการแล้วเรียบร้อย ส่วนทางคนใช้ก็นึกว่าฮูหยินเป็นคนจัดการ
ถ้าฮูหยินโหวไม่ได้ตามไล่ถามจนได้ความ คงได้เป็นหนี้หุยชุนถังลากยาวแน่นอน
และก็ด้วยเหตุนี้ ฮูหยินโหวจึงตัดสินใจจะมอบค่าตอบแทนให้ด้วยตัวเอง บังเอิญตอนที่กำลังจะออกไปก็เจอกับกู้จิ่นอวี๋ที่เพิ่งกลับมาจากเมืองหลวง พอนางได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ก็อาสาอยากจะไปมอบค่าตอบแทนให้ด้วยตัวเอง ส่วนฮูหยินโหวเองก็ไม่นิ่งนอนใจ รีบขึ้นไปกราบไว้พระโพธิสัตว์ที่วัดบนเขา
“ไม่ใช่เรื่องค่าตอบแทนหรอก แต่เป็น…” กู้จิ่นอวี๋เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ได้ใส่ไข่ใส่สีเพิ่มเติมอย่างใด เพียงแต่ท่านแม่เคยสอนตั้งแต่เด็กว่าไม่ควรดูถูกรูปลักษณ์ภายนอกของใคร นางจึงไม่ได้อธิบายว่าเด็กสาวในเหตุการณ์คนนั้นเป็นเด็กบ้านนอกหน้าตาอัปลักษณ์แต่งกายโทรมๆ มีรอยปานแดงบนใบหน้าฝั่งซ้ายของนาง
“ลูกผิดไปแล้วที่ไปตัดสินเขาก่อน” นางก้มหัวยอมรับผิด
ฮูหยินโหวกล่าวเตือนนางด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “บนโลกใบนี้ มีคนอีกตั้งมากมายที่มีฐานะสูงส่งกว่าเรา
เจ้าสูงกว่านางก็จริง เจ้าอาจดูถูกนางได้ แต่ในอนาคตข้างหน้า เจ้าอาจเจอคนที่สูงส่งกว่าเจ้าและมองเจ้าด้วยสายตาดูแคลนได้อย่างงั้นสิ”
แม้ฮูหยินโหวจะรักลูกมากแค่ไหน แต่ก็ต้องเป็นไปตามทำนองคลองธรรม
กู้จิ่นอวี๋พยายามออดอ้อนด้วยการคว้าแขนฮูหยินโหวมากอด “ลูกเป็นถึงบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวน ใครหน้าไหนจะกล้าดูถูกลูก”
“เจ้านี่นะ!” ฮูหยินโหวเอ็ดบุตรสาวและถลึงตาใส่ไปที
“แล้วเรื่องแหวนของน้องชายล่ะ ท่านแม่ว่ายังไง” กู้จิ่นอวี๋สงสัยจึงเอ่ยถาม
“ในเมื่อน้องเจ้าบอกว่านางไม่ได้ตั้งใจเอาไปก็ต้องเป็นไปตามนั้น เจ้าก็รู้ว่าน้องไม่ใช่คนโกหก”
แต่กระนั้น กู้จิ่นอวี๋ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “อะไรคือไม่ได้ตั้งใจหยิบไป แล้วน้องเขารู้ได้ไงว่านางไม่ได้จงใจหยิบไป เขาเห็นกับตารึ”
“เรื่องนี้…ข้าเองก็ไม่รู้” ฮูหยินโหวเลี้ยงดูบุตรสาวอย่างเข้มงวดมาแต่ไหนแต่ไร แต่สำหรับบุตรชายเนื่องจากเขาอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ฮูหยินโหวจึงไม่กล้าบังคับควบคุมชีวิตเขามากเท่าใดนัก
เรื่องวันนั้น เขาเองก็ไม่ยอมปริปาก ฮูหยินจึงไม่ได้ถามต่อ
ก็แค่แหวนหยกวงหนึ่ง ถ้าหายก็ให้มันหายไปเถิด ขอแค่เขายังอยู่ดีมีสุขก็พอ
กู้จิ่นอวี๋เอ่ยด้วยเสียงใส่อารมณ์ “ครั้งก่อนข้าก็เผลอหยิบไปโดยไม่ตั้งใจ แต่เขากลับไม่มายุ่งกับข้าเลย
ทั้งเดือน! นี่เขายังมองข้าเป็นพี่สาวอยู่ไหมนั่น”
“เจ้านี่นะ” ฮูหยินโหวเขกกะโหลกบุตรสาวเบาๆ ไปที “ไม่ใช่เจ้า แล้วจะมีใครอีกล่ะที่เป็นพี่สาวเขา หรือจะให้แม่นางที่เอาแหวนไปคนนั้นเป็นพี่สาวแทนหรือไง”
พอได้พูดคุยหยอกล้อแบบนี้ กู้จิ่นอวี๋เริ่มอารมณ์ดีขึ้น จากนั้นเอนตัวไปซบที่อกของฮูหยินโหว แล้วยืนมือให้ดู “ท่านแม่ มือข้าเย็น”
ฮูหยินโหวเอามือตัวเองกุมที่มือบุตรสาว เย็นตามที่ว่าจริงๆ ฮูหยินโหววางลูกอมที่อยู่ในมือลง จากนั้นคว้าเตาผิงมือขึ้นมาให้บุตรสาวใช้
กู้จิ่นอวี๋เหลือบไปเห็นลูกอมที่อยู่บนจานพอดี ทำหน้าประหลาดใจ “ท่านแม่กินของพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ดูสกปรกยังไงไม่รู้ ระวังทานแล้วท้องไส้ปั่นป่วนนะ”
ฮูหยินโหวนึกถึงเด็กสาวคนนั้นก็พลันทำหน้ายิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยตอบบุตรสาว “มีเด็กสาวใจดีมอบให้ข้าน่ะ เลยรับไว้”
……
อีกด้านหนึ่ง กู้เจียวได้รับค่าตอบแทนแล้ว ได้มาทั้งหมดยี่สิบตำลึง เมื่อรวมกับเงินเก็บที่มีอยู่ เท่ากับว่านางซื้อภูเขาลูกนั้นได้แล้ว
เถ้าแก่รองกังวลว่ากู้เจียวอารมณ์ไม่ดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ จึงเอ่ยถามด้วยความเกรงใจ “เอ่อ คือว่า…ตารางรักษาเดือนถัดไป…”
กู้เจียวเอ่ยตอบ “ข้าเคยรับปากแล้วว่าจะออกตรวจหนึ่งครั้งต่อเดือน ไม่กลับคำพูดหรอก”
พูดจบก็มุ่งหน้าไปทางสำนักบัณฑิต
พบว่าเจ้าสำนักไม่ได้อยู่ที่สำนักบัณฑิต
พอกู้เจียวมาถึงก็ได้เวลาเลิกเรียนพอดี เหล่าบัณฑิตสวมชุดเครื่องแบบสีขาวทยอยกรูกันออกมา กู้เจียวไปยืนรออยู่ตรงที่เดิมที่เคยรอ แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่เห็นกู้เสี่ยวซุ่นและเซียวลิ่วหลังเดินออกมา
ขณะที่กู้เจียวกำลังนึกสงสัยอยู่ว่าสองคนนั้นถูกอาจารย์ขอให้อยู่ต่อหรือไม่นั้น ทั้งเซียวลิ่วหลังและ
กู้เสี่ยวซุ่นก็เดินเข้ามาจากอีกทิศพอดี
ในมือทั้งคู่แบกของจำนวนหนึ่ง พอพวกเขาเดินมาใกล้ๆ ถึงได้เห็นว่าของพวกนั้นคือธูปเทียนและเงินกระดาษปึกหนา
กู้เจียวเอ่ยถาม “ซื้อของพวกนี้เอาไปทำอะไรรึ”
กู้เสี่ยวซุ่นทำตาโต “ลืมแล้วหรือว่าวันนี้เป็นวันครบรอบการตายของท่านลุงสามและท่านป้าสามน่ะ!”
กู้เจียวนิ่งอึ้งไปสักพัก
นาง นางลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย
แน่นอนว่าเจ้าของร่างเดิมมีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ แต่กู้เจียวไม่ใช่เจ้าของร่างนี่นา ไม่แปลกที่นางจะลืมเรื่องนี้ไป
“ดีนะที่เจ้าจำได้” กู้เจียวเอ่ยกับกู้เสี่ยวซุ่น
กู้เสี่ยวซุ่นเกาหัวแกรกๆ ทำหน้ารู้สึกผิด “ที่จริงข้าจำไม่ได้หรอก แต่พี่เขยเขาจำได้”
กู้เจียวเลิกคิ้วมองไปที่เซียวลิ่วหลัง ในความทรงของร่างเดิม ไม่มีความทรงจำที่ว่ากู้เจียวเคยพูดคุยกับเซียวลิ่วหลังเรื่องวันครบรอบการตายของบิดามารดาตน เดาว่าเขาคงได้ยินมาจากชาวบ้านอีกที เพราะดูจากความสัมพันธ์สามีภรรยากำมะลอของพวกเขาแล้ว คงยากที่อยู่ๆ เขาจะระลึกเรื่องนี้ขึ้นมาเองได้
“ขอบใจมากเลยนะ” กู้เจียวเอ่ยกับลิ่วหลัง
เซียวลิ่วหลังใช้ไม้เท้าค้ำร่างตัวเองค่อยๆ ขึ้นไปบนรถเกวียน เขายังโกรธที่กู้เจียวกับเจ้าสำนัก “มีความลับ” ปิดบังไม่ยอมบอกเขา เขาเลยวางแผนไว้แล้วว่าวันนี้ เขาจะไม่คุยกับนาง!
ทว่ากู้เจียวกลับไม่ได้สงสัยท่าทีผิดปกติของเขาแต่อย่างใด ในเมื่อเขาอุตส่าห์จำวันครบรอบนี้ได้ เลยคิดว่าตนคงไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่ยอมพูดด้วยหรอกกระมัง!
กู้เจียวเดินขึ้นรถเกวียนอย่างไม่สนใจอะไร
นางผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไร ดันเลือกที่นั่งในรถเกวียนที่ใกล้เขามากที่สุดเสียอย่างนั้น
เซียวลิ่วหลังเห็นดังนั้นก็เริ่มอารมณ์ไม่ดี ยิ่งเห็นท่าทีทำผิดแต่ไม่ยอมรับผิดของนางแบบนั้นแล้ว ความโกรธของเขาก็ยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก
พอทั้งสามกลับมาถึงหมู่บ้าน แม่นางหลิวก็ตามตัวกู้เสี่ยวซุ่นให้กลับเรือน ส่วนกู้เจียวและกู้เสี่ยวซุ่นมุ่งหน้าไปยังสุสาน
หลุมศพของกู้ซานหลังและภรรยาของเขาแม่นางสวีตั้งอยู่ข้างๆ กัน เนื่องจากไม่มีคนมาคอยดูแลเก็บกวาด จึงมีหญ้าขึ้นสูงและรกรุงรัง
เซียวลิ่วหลังแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องที่ต้องทำออก แม้จะโกรธนางอยู่ แต่เขายังพับแขนเสื้อขึ้นแล้วช่วยถอนหญ้ารกนั้นออกไป
เขาถอนหญ้าอย่างตั้งอกตั้งใจจนลืมสังเกตว่ากู้เจียวกำลังยืนเหม่อสายตาจ้องไปที่ป้ายหลุมศพ
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม กู้ซานหลังถูกกระแสน้ำพัดลอยไป พวกชาวบ้านช่วยกันงมหาร่างอยู่ครึ่งเดือนกว่าจะเจอ ร่างของเขาบวมน้ำเสียจนไม่เป็นรูปเป็นร่าง พอแม่นางสวีมาเห็นเข้าก็ใจสลาย สภาพร่างกายจิตใจแย่ไปเลยหลังจากนั้น
นางอยู่ได้เพียงปีเดียว และต่อมาก็เสียชีวิตในวันครบรอบการเสียชีวิตของกู้ซานหลัง โดยทิ้งลูกสาววัยห้าขวบไว้เพียงลำพัง
พวกเขาเป็นพ่อแม่ที่ดี ดีกว่ากู้เจียวชาติก่อนไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า แต่น่าเสียดายที่ต้องมาจบชีวิตเสียก่อน
แต่ดูเหมือนชะตาฟ้าลิขิตให้นางเป็นเด็กที่ปราศจากความรักจากพ่อแม่มาแต่ไหนแต่ไรสินะ