สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 575 ปกป้องหนูน้อย
บทที่ 575 ปกป้องหนูน้อย
หวงฝู่เสียนฟื้นขึ้นพร้อมกับเสียงสำลักน้ำลาย
พอลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องห้องหนึ่ง เพดานห้องมีคานที่ดูไม่แข็งแรงนัก ส่วนฝาผนังไม่เหมือนพระราชวังหรือบ้านชาวสวนแต่อย่างใด ที่ปลายเตียงมีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่และโต๊ะตัวหนึ่งที่วางอยู่ข้างๆ
ทางฝั่งตรงกันข้ามมีหน้าต่างอยู่หนึ่งบานซึ่งมีแสงรำไรส่องลอดเข้ามา
เป็นคนอื่นคงหาทางเลี่ยงแสง แต่หวงฝูเสียนกลับจ้องไปหาแสง และไม่นานเขาก็ต้องหรี่ตาลงเพราะมันแสบตาเกิน
กุลุ๊กกุลุ๊ก บุ๋ง บุ๋ง
เสียงสำลักน้ำลายดังขึ้นอีกครั้ง
หลังจากที่เขาปรับสายตาได้แล้ว ก็เห็นว่าบริเวณใกล้หน้าต่างมีเปลเด็กตั้งอยู่
เดิมเปลนั้นสูงกว่าเตียง แต่ราวกั้นรอบๆ ถูกเจาะออก ทำให้หวงฝู่เสียนสามารถมองเห็นทารกในเปลได้อย่างชัดเจน
และแล้วเขาก็เจอกับเจ้าของเสียง ทารกตัวน้อยกำลังดูดนิ้วตัวเองอย่างเพลิดเพลิน
ทั้งสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาด และห้องที่เงียบสงบ แต่เป็นเพราะเจ้าตัวน้อยที่ไม่ร้องโวยวาย กลับทำให้บรรยากาศโดยรวมดูเป็นมิตรกันมากขึ้น
ทันใดนั้น ร่างของชายหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาในห้อง เขามองไปที่หวงฝู่เสียนที่อยู่บนเตียง ก่อนจะหันไปมองที่เปล แล้วเดินไปหยิกแก้มของทารกน้อยเบาๆ “เสี่ยวเป่า ตื่นแล้วเหรอ”
กู้เสี่ยวเป่ามองคนตรงหน้าหนึ่งที ก่อนจะกลับมาดูดนิ้วตามเดิม
“ใยถึงได้เป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายเช่นนี้นะ ตื่นมาไม่เจอคนก็ไม่ร้องซักแอะ” ชายคนนั้นหัวเราะ เอ่ยจบก็หันมาทางหวงฝู่เสียน สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น “ท่านก็ตื่นแล้วรึ”
หวงฝู่เสียนมองชายตรงหน้า “ท่านหมอซ่ง”
หมอซ่งออกอาการตกใจเล็กน้อย “รู้จักข้าด้วยรึ”
หวงฝู่เสียนยังคงมีอาการอ่อนเพลียและพยักหน้าตอบอย่างอ่อนแรง “ตอนระหว่างทางกลับจากชายแดน ข้าได้ยินคนเรียกท่านว่าเช่นนั้น”
หมอซ่งถึงกับร้องอ๋อ คลี่ยิ้มเล็กน้อย “อ๋อ ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง ท่านความจำดีมากเลย ไม่ยักกะรู้ว่ามีคนเรียกข้าแล้วท่านได้ยินพอดี”
“ข้าอยู่บนรถม้า” หวงฝู่เสียนเอ่ย
แม้จะอยู่ในรถม้า ทว่าหน่วยแพทย์มีหลายร้อยคน แต่กลับจำแค่ชื่อของเขาได้คนเดียว นั่นแปลว่าระดับความจำของหวงฝู่เสียนไม่ใช่เล่นๆ อย่างแน่นอน
หรือเป็นเพราะเขาหน้าตาดีกว่าคนอื่นกันนะ
หวงฝู่เสียน “ใบหน้าทรงเหลี่ยมของท่านเป็นที่เตะตาน่ะ”
หมอซ่ง “…”
หมอซ่งกระแอมในคอหนึ่งทีก่อนเปลี่ยนเรื่อง “แล้วอาการของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
หวงฝู่เสียนส่ายหัว พลางนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆ
แม้มีอาการเจ็บบริเวณที่มีรอยแผลอยู่บ้าง แต่ดีขึ้นเยอะหากเทียบกับก่อนหน้า
หมอซ่งที่ดูเหมือนจะจับอาการสงสัยของเด็กหนุ่มได้ จึงชี้ไปที่ขาของเขาแล้วอธิบายให้ฟัง “เถ้าแก่ได้ผ่าตัดให้ท่านแล้ว ทั้งเหลากระดูกและเย็บปากแผล”
“เหตุใดข้าถึงไม่รู้สึกอะไรเลย”
ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ หวงฝู่เสียนได้ผ่านประสบการณ์เหลากระดูกหลายครั้ง และทุกครั้งเขาจะต้องเจอกับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ไม่เพียงแต่ทรมานทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นความอัปยศทางจิตวิญญาณด้วย
ดังนั้นครั้งนี้เขายอมตายเสียดีกว่าทนเจ็บปวดแบบนี้อีก
หมอซ่งหัวเราะ ก่อนจะอธิบายต่อ “เป็นเพราะยาชา ท่านถึงได้ไม่รู้สึกอะไรเลย ยังรู้สึกเจ็บอยู่หรือไม่”
“ก็ไม่ค่อยเจ็บนะ” หวงฝู่เสียนส่ายหน้า
เป็นเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันจนหวงฝู่เสียนลืมที่จะก่นด่าออกไปว่าใครใช้ให้มารักษาให้เขา เขาไม่ต้องการ
“ดีแล้วล่ะ เถ้าแก่กำชับไว้ว่าหากท่านฟื้นแล้วต้องถวายโอสถทันที” จากนั้นหมอซ่งก็จัดแจงรินน้ำ แล้วยื่นยาแก้อักเสบและยาห้ามเลือดให้หวงฝู่เสียน
หวงฝู่เสียนกินยาเข้าไปด้วยความมึนงง
พอกินเสร็จ ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องถามอะไร “ที่นี่คือที่ไหน”
“ตรอกปี้สุ่ย เรือนของเถ้าแก่ ท่านรู้จักเถ้าแก่ของพวกเราดี นางก็คือท่านหมอกู้” หมอซ่งอธิบาย
ทันใดนั้น หวงฝู่เสียนก็เริ่มนึกเหตุการณ์ขึ้นได้ ตอนนั้นเหลียนเอ๋อร์สะดุดล้มจนร่างของเขาพลัดตกลงจากสะพาน ตอนแรกเขานึกว่าจะไม่รอดแล้ว แต่กลับเห็นเงาของใครบางคนพุ่งเข้ามาใกล้
สิ้นเสียงดังตู้ม ร่างของพวกเขาก็อยู่ในน้ำแล้ว
เขาจำเหตุการณ์หลังจากนั้นไม่ได้อีกเนื่องจากหมดสติ
หวงฝู่เสียนเอ่ยถาม “ท่านหมอกู้…เป็นคนพาข้ากลับมาอย่างนั้นหรือ”
หมอซ่งตอบกลับ “ก็ใช่น่ะสิ! จะว่าไปท่านนี่ก็ดวงแข็งเหลือเกิน ข้าได้ยินคนเขาเล่ากันว่าคืนนั้นน้ำไหลเชี่ยวมาก โชคดีที่เถ้าแก่ของพวกเราว่ายน้ำเก่ง”
“นางอยู่ไหน” หวงฝู่เสียนเอ่ยถามพร้อมกับเบือนหน้าลง
หมอซ่งถอนหายใจ “หลังจากที่นางช่วยท่านไว้ก็…”
หวงฝู่เสียนจ้องหมอหนุ่มด้วยนัยน์ตาสั่นเครือ
แล้วหมอซ่งก็อธิบายต่อ “ก็ไปที่โรงหมอต่อ ในเมืองมีเรื่องชกต่อยกันจนมีคนบาดเจ็บตั้งเจ็ดแปดคน นางน่ะยุ่งมากจนเท้าแทบไม่ติดพื้นเลยล่ะ ก็เลยให้ข้ามาดูอาการท่าน”
“อ้อ” หวงฝู่เสียนแสดงท่าทีผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านพี่! ฟื้นแล้วเหรอ!”
เจ้าหัวเห็ดมาแล้วสินะ
หมอซ่งหันไปยิ้มให้จิ้งคง “จิ้งคงมาแล้วหรือ อยู่เป็นเพื่อนเขาไปนะ ข้าอุ้มเสี่ยวเป่าออกไปก่อน”
“อื้อ!” จิ้งคงพยักหน้า
พอหมอซ่งเดินอุ้มทารกน้อยออกไป จิ้งคงก็วิ่งเข้ามาที่ข้างเตียงแล้วเบิกตากว้างใส่หวงฝู่เสียน “ท่านพี่! รู้ไหมว่าท่านน่ะสลบไสลมาสองวันสองคืนแล้วนะ! เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
หวงฝู่เสียนนึกในใจ พวกเจ้านี่ชอบถามคำถามเดียวกันแบบนี้หมดเลยหรือ
“ไม่” หวงฝู่เสียนเอ่ยอย่างขอไปที
“แล้วหิวไหมล่ะ” จิ้งคงนอนบนขอบเตียงพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ ให้เขา
“ไม่หิว”
“เก่งยิ่งนัก ไม่กินข้าวกินปลาตั้งสองวันแต่กลับไม่รู้สึกหิว” จากนั้นจิ้งคงยกนิ้วแล้วชี้ลงไปที่เตียง พลางเอ่ย “นี่ท่านนอนอยู่บนเตียงของข้านะ! หลับสบายไหมล่ะ”
“เตียงเจ้าแข็งมากเลย” หวงฝู่เสียนตอบ
หวงฝู่เสียนชอบเตียงนุ่มๆ มากกว่า ส่วนจิ้งคงนอนเตียงแข็งตั้งแต่อยู่ที่วัดจนชินแล้ว ส่วนเซียวเหิงเองก็ชินกับการนอนเตียงแข็งเช่นกัน
จิ้งคงยังคงนอนราบข้างเตียงขณะที่เท้ายังติดอยู่กับพื้น พลางเอ่ย “เตียงของเจียวเจียวนุ่มมากเลยล่ะ แต่ว่า แต่ว่าไม่ให้นอนหรอก เตียงของเจียวเจียวมีแค่ข้าคนเดียวเท่านั้นที่นอนได้”
“ใครอยากจะไปนอนกันล่ะ” หวงฝู่เสียนมองเจ้าตัวเล็กด้วยหางตา
จากนั้นจิ้งคงก็คว้าลูกกวาดรสนมขึ้นมา “ท่านพี่กินไหม”
หวงฝู่เสียนเบือนหน้าหนี “ข้าไม่กินของพรรค์นี้หรอก”
จากนั้นจิ้งคงก็ยัดลูกกวาดนั้นเข้าปากหวงฝู่เสียนทันที
ลูกกวาดค่อยๆ ละลายในปากจนได้สัมผัสของรสหวานและกลิ่นหอมอวลของนม หวงฝู่เสียนถึงกับตกในภวังค์
จิ้งคงเอียงหัวมองเขา พร้อมกับเอ่ยถาม “เป็นไง อร่อยไหม เจียวเจียวทำเองเลยนะ!”
หวงฝู่เสียนไม่พูดอะไร ได้แต่เอ่ยอืมเบาๆ
ขณะเดียวกัน ณ โรงหมอ กู้เจียวเพิ่งจะจัดการกับคนไข้รายสุดท้ายเสร็จหมาดๆ กู้เจียวรีบเปลี่ยนเสื้อและวางแผนที่จะออกไปข้างนอกอย่างไม่หยุดพัก แต่กลับถูกรถม้าขององค์หญิงซิ่นหยางขวางไว้ขณะที่เดินออกมาถึงประตู
อวี้จิ่นเปิดม่านออก องค์หญิงค่อยๆ หันมาทางกู้เจียว พร้อมกับถาม “แต่งตัวเช่นนี้ จะออกไปไหนรึ”
“แค่ก แค่ก!”
เสียงไอกะแอมของชายหนุ่มดังขึ้นจากในรถม้า
“เงียบซะ” องค์หญิงหันไปค้อน
เซียวเหิงจึงเงียบลง
“ขึ้นมาสิ” องค์หญิงเอ่ยกับกู้เจียว
“อ้อ” กู้เจียวเดินขึ้นรถม้าพร้อมกับทวนพู่แดงคู่ใจ
อวี้จิ่นยิ้มรับพร้อมกับเอ่ยขึ้น “หม่อมฉันไปเตรียมน้ำชาให้เพคะ”
พูดจบก็เดินลงจากรถม้า
ตอนนี้บนรถม้ามีเพียงแค่องค์หญิง เซียวเหิง และกู้เจียว
เซียวเหิงแต่งตัวเตรียมไปข้างนอก และถูกองค์หญิงซิ่นหยางดักรอไว้เช่นกัน
“ว่าอย่างไรล่ะ เจ้าจะไปทลายรังของพวกมันอย่างนั้นรึ” องค์หญิงซิ่นหยางตรัสพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่อาวุธของกู้เจียว
เซียวเหิงอ้าปากเตรียมตอบ
“ข้าไม่ได้ถามเจ้า” องค์หญิงซิ่นหยางตรัส
เซียวเหิงจึงเงียบลงอีกครั้ง
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ “องค์หญิงหนิงอันหนีไปแล้ว ข้าต้องไปตามนาง”
“ไม่เห็นหัวข้ากันแล้วใช่ไหม ใยต้องให้สตรีตัวเล็กๆ เช่นเจ้าไปจับด้วย นี่มันมากเกินไปแล้วนะ!” องค์หญิงสวดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนจะยื่นมือออกไปแย่งทวนพู่สีแดงจากมือของกู้เจียว ทว่าออกแรงแค่ไหนก็ยกไม่ขึ้น องค์หญิงจึงได้แต่รู้สึกขายหน้าอย่างบอกไม่ถูก
“มา ข้าเอง” เซียวเหิงถือทวนพู่สีแดงที่ห่อด้วยผ้าด้วยมือทั้งสองข้าง และหยิบมันมาจากมือของภรรยาและมารดาของเขา
“ซื้ดดด…”
หนักใช่เล่นนะเนี่ย!
เขาเกือบจะยกมันไม่ขึ้นด้วยซ้ำ
แต่เขาไม่อาจขายหน้าต่อหน้าสตรีทั้งสองได้ จึงได้แต่ตีหน้านิ่งและวางทวนไว้บนขาของเขา
“หนักไหมล่ะ” องค์หญิงซิ่นหยางตรัสถามแกมหัวเราะ
เซียวเหิงยังคงตีหน้านิ่ง “ไม่หนัก ไม่เห็นจะหนักเลย ถ้าไม่ติดว่ารถม้าคันนี้เล็กเกินป่านนี้ข้าคงใช้มันให้ท่านดูแล้ว”
องค์หญิงซิ่นหยางแสยะยิ้มให้หนึ่งที ก่อนเอ่ยต่อ “คืนนั้นข้าจงใจปล่อยนางออกไปเอง แล้วข้าก็รู้ดีกว่าต้องทำอย่างไรต่อ แม้ข้าจะช่วยอะไรได้ไม่มากนักหากเป็นเรื่องสงคราม แต่ถ้าให้ต่อกรกับพวกมันข้ายังพอทำได้ พวกเจ้ารออยู่ที่เรือนก็พอแล้ว”
กู้เจียวตอบ “ดูเหมือนพวกแคว้นเยี่ยนจะรู้วิธีจัดการกับองครักษ์”
“ข้ารู้แล้ว เจ้าวางใจเถิด” องค์หญิงซิ่นหยางขานรับ
เซียวเหิงยังคงนั่งนิ่ง
พอเห็นว่าเขานิ่งเฉยไม่ลุก กู้เจียวก็เลยนิ่งตาม
องค์หญิงซิ่นหยางจึงทักเขา “นั่งบื้ออยู่ไย ยังไม่รีบลงไปอีก”
เซียวเหิงหัวเราะกลบเกลื่อน “ข้าก็แค่อยากอยู่กับท่านให้นานขึ้นเท่านั้นเอง”
องค์หญิงซิ่นหยางหันไปหากู้เจียว “เขาถือมันไม่ไหวแล้วล่ะ”
เซียวเหิง “…” ทำให้ลูกชายขายหน้าแบบนี้จะดีหรือ
กู้เจียวยิ้มมุมปากแล้วคว้าทวนพู่แดงเดินลงจากรถม้า
หลังจากแยกกับองค์หญิงแล้ว กู้เจียวจึงถามเซียวเหิง “ข้าไม่ต้องไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม”
เซียวเหิงส่ายหน้า “ไม่ต้องไปแล้ว นางมีหลงอี องครักษ์อีกสี่นาย เพียงพอที่จะไปจับตัวหนิงอัน”
ที่องค์หญิงซิ่นหยางยอมปล่อยหนิงอันไปมิใช่เพราะต้องการตามหาคนของแคว้นเยี่ยน เพราะที่กบดานของคนจากแคว้นเยี่ยนถูกค้นพบโดยเสี่ยวจิ่วแล้วตั้งแต่ในตอนแรก สิ่งที่องค์หญิงซิ่นหยางต้องการรู้ก็คือไพ่ลับของหนิงอัน
องค์หญิงจึงส่งองครักษ์สองคนและองครักษ์ลับจากจวนองค์หญิงในการสะกดรอยตามตามหนิงอัน
ด้วยความที่หนิงอันระมัดระวังตัวอย่างมาก นางยอมเดินวนอยู่ในป่าเขาหนึ่งวันหนึ่งคืน จนในที่สุดก็เดินเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งในหุบเขาที่ดูไม่เตะตานัก
จากนั้นหนิงอันก็ได้มาถึงค่ายลับแห่งหนึ่งในป่าท้อ
ค่ายลับนั้นมีสายลับอยู่ราวร้อยนาย
ที่แห่งนี้คงเป็นฐานทัพลับที่จิ้งไท่เฟยทิ้งไว้ให้หนิงอัน
องค์หญิงซิ่นหยาง หลงอี องครักษ์สี่นาย รวมถึงองครักษ์ลับจากจวนเลยทำการบุกทะลวงเข้าไปในค่ายลับและคว้าตัวหนิงอันไว้
นอกจากนี้ พวกเขายังพบกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในค่ายลับแห่งนี้
“เปิดมันออก” องค์หญิงซิ่นหยางสั่งหนิงอัน
“อยากเปิดก็เปิดเองสิ” หนิงอันยิ้มเย็นตอบกลับ
จากนั้นองค์หญิงซิ่นหยางจึงมองไปที่กล่องใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ “คิดว่าข้าจะไม่กล้าเขวี้ยงมันให้แตกรึ”
หนิงอันขึ้นเสียงท้าทาย “ก็เอาเลย”
“ดูทรงแล้วคงโยนทิ้งโยนขว้างไม่ได้สินะ” องค์หญิงซิ่นหยางตรัสกับองครักษ์ “เก็บกล่องนั้นกลับไป แล้วใช้กุญแจเปิด”
ทันใดนั้นองค์หญิงหนิงอันเริ่มหน้าถอดสี
องค์หญิงซิ่นหยางแสยะยิ้มหนึ่งที “กุญแจของเจ้าน่ะถูกทำขึ้นใหม่แล้ว ตกใจละสิ”
องค์หญิงหนิงอันเบิกตาโต “พวกเจ้า!”
“พาตัวนางกลับไป คราวนี้จับขังคุกไว้เลย” องค์หญิงซิ่นหยางออกคำสั่ง
“บังอาจ! ข้าเป็นองค์หญิงนะ!”
“แหม บังเอิญเสียจริง ข้าก็เหมือนกัน” องค์หญิงซิ่นหยางลดสายพระเนตรลงไปมององค์หญิงหนิงอันที่กำลังถูกจับกดให้คุกเข่าลงบนพื้น “คราวนี้อย่าแม้แต่จะคิดหนีออกไปอีกล่ะ ไม่อย่างนั้นข้าหักขาเจ้าแน่”
ในตอนนั้นเอง หลงอีได้ยินเป็นว่าให้หักขาของนาง
เขาจึงรีบพุ่งตัวเข้ามาแล้วหักขาของหนิงอันในทันที!
หนิงอัน “…!!”
องค์หญิงซิ่นหยาง “…”
ครั้งนี้องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้พานางกลับไปที่วัง แต่จับขังไว้ในคุกของศาลต้าหลี่
จากนั้น องค์หญิงซิ่นหยางก็นำกล่องปริศนาไปยังตรอกปี้สุ่ย
กุญแจที่สร้างขึ้นจากพิมพ์เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ และมันสามารถเปิดกล่องได้จริงๆ
หลังจากเปิดมันออก พวกเขาพบว่ากล่องไม้ที่ดูเรียบง่ายนี้มีกลไกที่ซับซ้อนมาก หากฝืนเปิด หรือแงะออก กลไกจะทุบสิ่งที่อยู่ในกล่องให้แตก
“ดูซิว่าจิ้งไท่เฟยทิ้งอะไรไว้ให้หนิงอันบ้าง” กู้เจียวเอ่ย
“ได้เลย” จากนั้นเซียวเหิงหยิบกระดาษในกล่องออกมา พบว่ามันเป็นสมุดบัญชีซึ่งบันทึกการติดต่อของจิ้งไท่เฟยกับเจ้าหน้าที่และอำมาตย์ต่างๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “คนพวกนี้…เป็นเครือข่ายที่จิ้งไท่เฟยมอบไว้ให้หนิงอัน”
องค์หญิงซิ่นหยางนิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วตรัส “เอกสารพวกนี้สำคัญมาก เป็นหลักฐานชั้นดีในการมัดตัวคนพวกนั้น”
เซียวเหิงพลิกดูหน้ากระดาษต่อ แล้วพูด “มีแผนที่สมบัติด้วย”
“มีแผนที่สมบัติจริงๆ หรือ” กู้เจียวถึงกับอุทาน
จากนั้นเซียวเหิงมองไปที่กู่เจียวอย่างขบขัน “หลอกน่ะ มันคือธนบัตรน่ะ หากคำนวณอย่างคร่าวๆ ก็เป็นเงินหลายแสนตำลึงเลยล่ะ”
พอได้ยินดังนั้น แววตากู้เจียวก็พลันส่องประกายเป็นสีทองคำ
องค์หญิงซิ่นหยางถึงกับมองหางตาใส่ พร้อมกับกดหว่างคิ้วอย่างอดไม่ได้ “คราวนี้เจ้ากรมสิงคงเปิดคดีได้แล้วสินะ”
เซียวเหิงพยักหน้า “นั่นสิ ของที่ต้องการก็ได้มาแล้ว ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป”
องค์หญิงซิ่นหยางลุกขึ้นยืนพร้อมกับตรัส “ถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องรู้เรื่องวีรกรรมของหนิงอัน”
“องค์หญิงเพคะ!” อวี้จิ่นเดินมาที่ประตูพร้อมกับรายงาน “ฝ่าบาทฟื้นแล้วเพคะ!”