สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 588 แม่ลูกใจสัมพันธ์
บทที่ 588 แม่ลูกใจสัมพันธ์
เซียวเหิงตั้งใจฟังและไม่รีบร้อนแสดงความคิดเห็นของตัวเอง องค์หญิงซิ่นหยางกำลังสอนเขาถึงวิธีการตั้งถิ่นฐานในแคว้นทั้งหก เหมือนดั่งเหยี่ยวตงไห่ชิงที่มากประสบการณ์กำลังสั่งสอนลูกน้อยของตัวเองอย่างอดทน
เขาจึงรับฟังคำสั่งสอนอย่างถ่อมตน
องค์หญิงซิ่นหยางตรัสเสียงเรียบ “เดิมทีข้ากะว่าจะนำทัพไปทำลายพวกเขา แต่พอมาคิดดู ทำเช่นนี้จะสูญเสียไม่น้อย ทุกชีวิตของทหารล้วนมีค่า”
เซียวเหิงเอ่ย “ท่านพบเจียวเจียวถึงได้เปลี่ยนใจกระมัง”
องค์หญิงซิ่นหยางหน้าบึ้งมองเขา ไม่ฉีกหน้าแม่เจ้าสักวันขนมันจะงอกทั่วตัวหรือไร
เซียวเหิงหัวเราะพลางเอ่ย “ข้าก็รู้สึกว่าชัยชนะโดยไม่มีการรบต่างหากที่เป็นยอดกลยุทธ์”
องค์หญิงซิ่นหยางพยักหน้า “รบน่ะก็ต้องรบอยู่หรอก แต่อย่าทำให้คนของตัวเองไปรบ อย่างไรเสียบรรดาองครักษ์หลงอิ่งก็ไม่ใช่ไก่กา จัดการกับคนเป็นร้อยๆ เราได้ตายเป็นพันแน่
หลังจากกู้เจียวเลือดท่วมกลับมาก็ทำให้ได้รู้ว่าราคาที่ต้องจ่ายนั้นมหาศาลเพียงใด
ไม่ใช่ว่าทุกคนเกิดมาจะรับผิดชอบชีวิตอาณาประชาราษฎร์ทั้งแผ่นดินเอาไว้ได้เลย นางเป็นองค์หญิงนั้นก็จริงอยู่ แต่จิตสำนึกไม่ได้สูงส่งถึงเพียงนั้น
กู้เจียวเป็นคนเปลี่ยนความคิดของนางจริงๆ นั่นแหละ
ตอนกู้เจียวอยู่ชายแดนก็คงพยายามทุ่มสุดตัวปกป้องปราการน้ำคูเมืองไว้เช่นนี้เหมือนกันกระมัง
นางเป็นเช่นนี้ เหล่าทหารแคว้นเจาก็เช่นกัน
…จะให้คนมาตายมากกว่านี้ไม่ได้อีก
“คนแคว้นเยี่ยนคนนั้นข้าจัดการเอง ส่วนราชครูจวง…” องค์หญิงซิ่นหยางหยุดเว้น มองเขาเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ใช่ “เป็นหน้าที่เจ้าก็แล้วกัน”
เซียวเหิงหัวเราะเบาๆ “ได้สิขอรับ”
องค์หญิงซิ่นหยางหยุดเว้น ก่อนเอ่ยต่อ “จริงสิ ขอเตือนเจ้าไว้อย่างหนึ่ง คนแคว้นเยี่ยนน่าจะทำข้อตกลงบางอย่างกับราชครูจวงไว้ ก่อนที่เจี่ยงผิงจะไป เคยบอกแม่ทัพหนานกงว่า แม่ทัพหนานกง ขอบคุณมาก”
อันที่จริงองค์หญิงซิ่นหยางรู้ข่าวมากกว่านั้น แต่นางแค่ไม่บอกเซียวเหิง นางหวังว่าเซียวเหิงจะคิดได้ด้วยตัวเอง
นางปกป้องเขาไปตลอดชีวิตไม่ได้ ต้องมีสักวันที่เขาจะต้องโบยบินด้วยตัวเอง บินไปสู่ฟากฟ้าที่กว้างใหญ่กว่านี้ นางหวังว่าเขาจะมีความสามารถเพียงพอในการรับมือกับทุกสิ่ง
หลังจากเซียวเหิงออกมาจากห้องหนังสือ อวี้จิ่นก็เดินเข้ามา เมื่อครู่นี้นางเฝ้าอยู่หน้าประตู สิ่งที่ควรได้ยินก็ได้ยินหมดแล้ว
นางเอ่ยอย่างเป็นห่วง “องค์หญิงเพคะ ราชครูจวงเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก ให้ท่านโหวน้อยไปจัดการเขาจะไม่เสี่ยงเกินไปหรือ”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริง “ตระกูลหนานกง อวี้จิ่น คนที่จะเอาชีวิตเขามาจากตระกูลหนานกงนะ ตระกูลหนานกงแข็งแกร่งเพียงใดเจ้ารู้หรือไม่ ตระกูลหนานกงมีคนนับพัน ทหารกล้าสองแสน ตระกูลจวงแข็งแกร่งมาก แต่เมื่อเทียบกับตระกูลหนานกงแล้ว เทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย หากแม้แต่ราชครูจวงเขายังล้มไม่ได้ ภายหน้าจะจัดการกับตระกูลหนานกงได้อย่างไร ข้ายอมให้เขาปกปิดตัวตนไปชั่วชีวิต ไม่ยุ่งเกี่ยวโลกยังดีเสียกว่า!”
กู้เจียวเพิ่งจะผ่านการต่อสู้มา เซียวเหิงไม่อยากให้นางต้องลำบากอีก จึงรั้งให้นางอยู่พักรักษาตัวกับองค์หญิงซิ่นหยางก่อน ส่วนเขากลับไปตรอกปี้สุ่ยจัดการเรื่องราชครูจวง
บนรถม้าระหว่างทางกลับ เขาพยายามปะติดปะต่อความจริงให้สมบูรณ์ตามเบาะแสในมือของเขา
เจี่ยงผิงบอกว่า แม่ทัพหนานกง ขอบคุณมาก
ประโยคดังกล่าวเหมือนทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงบางอย่างกันเรียบร้อยแล้ว
เซียวเหิงนึกบางอย่างขึ้นมาได้อีก ตอนที่กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงสะกดรอยตามฉินเฟิงเยียนไป ได้ยินฉินเฟิงเยียนสนทนากับคนแคว้นเยี่ยน
ฉินเฟิงเยียนบอกว่า ‘ดูท่าระหว่างเราจะไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว’
ชายผู้นั้นเอ่ย ‘เจ้าอยากเอาของของเจ้ากลับคืนไป ก็ทำตามที่พวกเราบอกจะดีที่สุด’
ฉินเฟิงเยียนเอ่ยต่อ ‘เหตุใดต้องยุ่งยากเช่นนี้ด้วย ไม่สู้ข้าช่วยพวกเจ้าฆ่าเขาเองดีกว่า’
ชายผู้นั้นบอก ‘หากเจ้าฆ่าเขาได้จริงๆ ก็ได้ เอาหัวเขามา แล้วพวกเราจะมอบของให้เจ้า’
จากบทสนทนาของทั้งคู่ ฉินเฟิงเยียนทำของบางอย่างตกสู่เงื้อมมือคนแคว้นเยี่ยนไป
ตอนที่องค์หญิงซิ่นหยางทลายรังโจรของฉินเฟิงเยียนแล้วเจอทรัพย์สมบัติและสมุดบัญชีที่จิ้งไท่เฟยทิ้งไว้ให้ฉินเฟิงเยียน สิ่งที่น่าพูดถึงก็คือ ตั้งแต่การสนทนาครานั้นฉินเฟิงเยียนก็ไม่ได้ไปพบคนแคว้นเยี่ยนคนนั้นอีกเลย
หรืออีกนัยก็คือ ของของฉินเฟิงเยียนยังอยู่ในมือของพวกแคว้นเยี่ยนนั่น
พวกเขาได้ตรวจสอบสัมภาระของฉินเฟิงเยียนที่เอามาจากชายแดนแล้ว ไม่มีสิ่งมีค่าอะไรเลย
สิ่งของเหล่านั้นจิ้งไท่เฟยเป็นคนทิ้งไว้ให้นาง
สิ่งของที่จิ้งไท่เฟยทิ้งไว้ให้ล้วนไม่ใช่ของธรรมดาทั้งสิ้น เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับของสิ่งนั้นหรือไม่
เซียวเหิงกลับมาถึงตรอกปี้สุ่ย เขาไปบ้านข้างๆ ก่อน
อันจวิ้นอ๋องหมู่นี้ก็พักอยู่ที่นี่ เขาลาออกจากงานในเน่ยเก๋อแล้ว เพื่อบีบคั้นให้เขาก้มหัว ราชครูจวงแทบจะตัดช่องทางถอยของเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านาย แม้แต่เพื่อนร่วมชั้นในอดีตของเขาก็ไม่มีใครกล้าเหลียวแลเขาเลย
นอกจาก…เซียวลิ่วหลังที่เคยถูกเขาเห็นเป็นหนามยอกอก
แน่นอนว่ามีฮั่วจี้จิ่วก็ด้วย
และต่อมาก็มีจวงไทเฮา
อันจวิ้นอ๋องค่อยๆ ฟื้นตัวจากอาการตกใจกับ ‘ไทเฮาแต่งตัวเป็นหญิงชรามาแอบเล่นไพ่ที่นี่’ รวมถึง ‘ฮั่วจี้จิ่วยกชาเทน้ำทำงานทำกับข้าวให้ไทเฮา ซ้ำยังจ่ายเงินส่วนตัวให้อีก’
จะไปกังวลอะไรนักหนา
ค่าเช่าเขายังไม่ได้จ่ายเลย
กู้เหยี่ยนจ้างเขาให้ตักมูลไก่ทุกวันครั้งละสองเหรียญทองแดง ให้อาหารไก่ครั้งหนึ่งสองเหรียญทองแดง พาไก่ไปเดินเล่นครั้งละสองเหรียญทองแดง เยินยอกู้เหยี่ยนประโยคละสี่เหรียญทองแดง เมื่อนับรวมๆ หนึ่งวันแล้วได้ถึงสิบเหรียญทองแดงทีเดียว
ทว่าหนึ่งเดือนมานี้ได้มาแค่สามร้อยเหรียญทองแดงเท่านั้น ค่าเช่าวันเดียวยังไม่พอเลย
ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง
มีคนเคาะประตูห้อง
อันจวิ้นอ๋องนวดไหล่ที่เมื่อยขบพลางเอ่ย “เข้ามา”
เซียวเหิงดันประตูเข้ามา
อันจวิ้นอ๋องเอ่ย “กลางวันแสกๆ เจ้ากลับมาได้อย่างไร ไม่ต้องไปทำงานรึ”
คนที่บ้านไม่รู้เรื่องที่กู้เจียวบาดเจ็บ อันจวิ้นอ๋องจึงไม่รู้ด้วย คิดว่ากู้เจียวไปดูแลองค์หญิงซิ่นหยางจริงๆ
“มีธุระจะคุยด้วย”
“นั่งสิ”
เซียวเหิงนั่งลงตรงข้ามอันจวิ้นอ๋อง
อันจวิ้นอ๋องเห็นสีหน้าเขาแปลกพิกล จึงอดถามไม่ได้ “ธุระใดรึ สีหน้าเคร่งขรึมเพียงนี้ เจ้าคงไม่ได้จะขึ้นค่าเช่ากระมัง”
เซียวเหิง “ข้าดูเหมือนจะขึ้นค่าจ้างให้เจ้าหรือไร เดือนหน้าค่อยขึ้น”
อันจวิ้นอ๋อง ข้าไม่น่าเอ่ยถึงเลย!
เซียวเหิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจ้าต่างหาก เจ้าเลือกจะไม่ตอบก็ได้”
สีหน้าอันจวิ้นอ๋องพลันเปลี่ยน “เกี่ยวกับเรื่องท่านปู่ข้าใช่หรือไม่”
ไม่ได้โง่นี่นา
ในเมื่อเอ่ยขึ้นแล้ว เซียวเหิงจึงเข้าประเด็นเลย “ใช่ หมู่นี้ข้าเจอข่าวบางอย่าง ปู่เจ้าสมคบคิดกับพวกแคว้นเยี่ยน”
“แคว้นเยี่ยนอย่างนั้นรึ จะเป็นไปได้อย่างไร” ไม่ใช่ว่าอันจวิ้นอ๋องดูถูกตัวเองจนเกินไป แต่แคว้นเยี่ยนเป็นแคว้นเบื้องบน แม้แต่โอกาสที่พวกเขาจะได้ติดต่อคนแคว้นเยี่ยนยังไม่มีเลย จะเอาที่ไหนมาสมคบคิด
อันจวิ้นอ๋องจ้องพลางเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ถูกกับท่านปู่ข้า แต่เจ้าจะมาใส่ร้ายแบบนี้ไม่ได้”
เซียวเหิงเอ่ย “มีกลุ่มอำนาจกลุ่มหนึ่งที่แทรกซึมเข้ามาในแคว้นเจา เป้าหมายของพวกเขายังบอกเจ้าตอนนี้ไม่ได้ ที่ปรึกษาปู่เจ้ามีคนที่ชื่อเจี่ยงผิงด้วยใช่หรือไม่”
อันจวิ้นอ๋องขมวดคิ้ว “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
เซียวเหิงบอกตามตรง “คนที่ไปติดต่อกับคนแคว้นเยี่ยนวันนั้นก็คือเขา นอกจากปู่เจ้าแล้วเจี่ยงผิงคงไม่ได้มีคนที่สองที่เขาภักดีด้วยหรอกกระมัง”
แววตาอันจวิ้นอ๋องหดหู่ “เจี่ยงผิงไม่ได้เป็นที่ปรึกษาของปู่ข้าเท่านั้น ยังเป็นบุตรบุญธรรมของปู่ข้าด้วย คนที่เรียกใช้เขาได้ก็มีแค่ปู่ข้าคนเดียว”
เซียวเหิงมองเขาพลางเอ่ย “ข้าไม่ได้มาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เจ้าเชื่อเรื่องนี้ จากสถานการณ์ที่ข้าเข้าใจในยามนี้ คนแคว้นเยี่ยนน่าจะมอบสิ่งของที่สำคัญมากๆ แก่ปู่เจ้า ของสิ่งนี้เป็นไปได้มากที่จะเป็นไพ่ไม้ตายที่จิ้งไท่เฟยทิ้งไว้ให้ฉินเฟิงเยียน เสียดายก็แต่จับพลัดจับผลูไปอยู่ในมือคนแคว้นเยี่ยนเสียได้ เจ้าคงรู้ว่าจิ้งไท่เฟยเป็นกบฏที่หลงเหลือของราชวงศ์ก่อน เป้าหมายของนางคือการฟื้นฟูราชวงศ์ก่อนให้เรืองอำนาจ ดังนั้นไพ่ตายที่นางทิ้งไว้ให้ฉินเฟิงเยียนต้องเป็นสิ่งที่สามารถโค่นล้มอำนาจกษัตริย์แคว้นเจาได้ หากของสิ่งนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือปู่เจ้าจริง จากนิสัยปู่เจ้าแล้ว เจ้าก็น่าจะเดาได้ไม่ยากว่าเขาจะทำอะไร”
อันจวิ้นอ๋องเงียบไป
เซียวเหิงเอ่ยต่อ “วันนี้ข้ามาเพราะอยากถามเจ้าว่า ปกติปู่เจ้าจะซ่อนของสำคัญๆ ไว้ที่ไหน แน่นอนว่าอย่างที่ข้าพูด เจ้าจะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ก็จะไม่ลากเจ้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
อย่างไรเสียราชครูจวงก็เป็นปู่ของอันจวิ้นอ๋อง
ต่อให้แตกหักกับราชครูจวง ก็ไม่ได้หมายความว่าอันจวิ้นอ๋องจะสามารถขายราชครูจวงได้อย่างสบายใจเฉิบ
เซียวเหิงเข้าใจจุดนี้ดี เขาจึงไม่ได้บีบบังคับอีกฝ่าย
อันจวิ้นอ๋องแววตาสับสน พักใหญ่ๆ เขาก็กำหมัดแน่น เอ่ยเสียงเบา “ปู่ข้าเป็นคนรอบคอบมาก หากพวกเจ้าคิดจะไปหาของที่ห้องหนังสือหรือเรือนของเขา พวกเจ้าอาจจะดีดลูกคิดผิด”
“เช่นนั้นเขาจะเก็บไว้ที่ใด” เซียวเหิงถาม
อันจวิ้นอ๋องเอ่ย “ต้องดูว่าของสิ่งนั้นคืออะไร และดูอารมณ์เขาด้วย เขาเคยบอกว่า ต้องทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ถึงกฎเกณฑ์ คนอื่นก็จะอ่านเราไม่ออก”
ที่เขาพูดมาคือความจริงทั้งหมด ความคิดของปู่เขาล้ำลึกยิ่งกว่ามหาสมุทร
เซียวเหิงจุ๊ปาก “สมกับเป็นจิ้งจอกเฒ่า”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยอีก “เรือนตระกูลจวงกว้างกว่าจวนจอมพล พวกเจ้าสุ่มหาแบบนี้ได้หาไม่เจอแน่”
เซียวเหิงลุกขึ้น “หาไม่เจอก็ต้องหา”
คืนนี้เขาจะไปหากับหลงอี
“เซียวลิ่วหลัง” อันจวิ้นอ๋องเรียกเขาไว้
เซียวเหิงหันกลับมา “มีอะไรรึ”
อันจวิ้นอ๋องลูกกระเดือกขยับไหว สีหน้าซับซ้อนเอ่ย “ข้าจะไปหาเอง”