สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 592 แม่สามีกับลูกสะใภ้
บทที่ 592 แม่สามีกับลูกสะใภ้
ณ ห้องปีกข้าง เซียวเหิงกำลังปอกส้มให้กู้เจียว
กู้เจียวพักรักษาตัวมาสี่วันแล้ว บาดแผลที่แขนและหน้าท้องสมานกันดีมาก แผลรอยรัดบนข้อมือและแผลที่โดนแทงก็ฟื้นฟูได้ไม่เลว อีกสองสามวันก็ถอดผ้าพันแผลได้แล้ว
กู้เจียวไม่เคยพักฟื้นนานขนาดนี้ นางอยู่ในห้องจนราจะขึ้นแล้ว เริ่มจะเข้าใจความหงุดหงิดของม่อเชียนเสวี่ยขึ้นมาบ้างแล้ว
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว กลับบ้านได้แล้ว” กู้เจียวนั่งบนเตียงเอ่ยขึ้น
“ไม่ได้” เซียวเหิงปฏิเสธ “หมอซ่งบอกแล้วว่าอย่างน้อยๆ เจ้าต้องรักษาตัวเจ็ดวัน”
อันที่จริงตามหลักการแล้วควรจะพักรักษาตัวครึ่งเดือนด้วยซ้ำ แต่หมอซ่งกับเซียวเหิงต่างรู้ดีว่าคนบางคนไม่มีทางอุดอู้อยู่ในห้องได้หลายวันเพียงนั้น ผนวกกับบาดแผลของนางฟื้นตัวเร็วกว่าคนปกติจริงๆ จึงได้ย่นระยะเวลาเป็นเจ็ดวันแทน
กู้เจียว “อ้อ”
เซียวเหิงหัวเราะเบาๆ ส่งกลีบส้มที่ปอกแล้วให้กับนาง เขารู้ว่านางอุดอู้ สองวันมานี้เขาไปศาลาว่าการน้อยมาก โดยมากจะอยู่เป็นเพื่อนนางที่นี่เสียมากกว่า
“จัดการเรื่องของราชครูจวงเรียบร้อยแล้ว จวงอวี้เหิงเป็นคนไปเอามา” เขาเล่าให้นางฟังคลายเครียด “ใครจะไปคิดว่าจิ้งไท่เฟยจะมีราชโองการเปล่าของฮ่องเต้พระองค์ก่อนอยู่ในมือ”
กู้เจียวถาม “นางมีราชโองการอยู่แล้วเหตุใดไม่เอาออกมาใช้แต่แรก”
เซียวเหิงปอกส้มที่เหลือต่อ “ข้าเดาว่าราชโองการหากไม่ตกอยู่ในมือคนแคว้นเยี่ยนแต่แรก ก็คงจะถูกซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง จิ้งไท่เฟยเพิ่งจะหาเจอก่อนจะตาย เพียงแต่นางเองไม่มีโอกาสได้ครอบครองไว้ นางจึงทิ้งจดหมายไว้ให้ฉินเฟิงเยียน ให้ฉินเฟิงเยียนไปเอามา แต่ระหว่างทางที่ฉินเฟิงเยียนไปเอาราชโองการถูกคนแคว้นเยี่ยนรู้เข้า คนแคว้นเยี่ยนจึงแย่งราชโองการตัดหน้ามา แล้วเอามันมาเป็นข้อตกลงกับฉินเฟิงเยียน”
“ที่เจ้าว่ามาดูสมเหตุสมผลมาก” กู้เจียวกินส้มกลีบหนึ่ง หวานจัง!
เซียวเหิงเห็นท่าทางแก้มพุ้ยของนาง เหมือนกระรอกตัวน้อยจอมตะกละมาก จึงอดหัวเราะไม่ได้ เอ่ย “ข้าก็แค่เดา แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญหรอก…ค่อยๆ กินสิ”
กู้เจียว “อื้อ”
ปากขานรับไปเช่นนี้ แต่มือกลับจับกลีบส้มมากมายยัดใส่ปาก
เหตุใดจึงชอบกินส้มนักนะ เซียวเหิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ส่งส้มอีกครึ่งลูกที่ปอกเรียบร้อยให้นาง
นางรับมา ชี้ไปที่ส้มในจาน
เจตนาชัดเจนมาก นางจะเอาอีก
เซียวเหิงเลิกคิ้ว “เรียกใช้สามีเจ้าคล่องขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ หื้ม”
กู้เจียวพยักหน้า ยอมรับอย่างใจกว้างสุดจะเปรียบ
เซียวเหิงยิ้มพลางปอกส้มให้นางอีกลูก
ครานี้กู้เจียวไม่ได้กินเอง แต่เอ่ยกับเขา “เจ้าก็กินด้วยกันสิ”
เซียวเหิงเอ่ย “ข้าไม่ชอบกิน”
กู้เจียวถาม “เช่นนั้นเจ้าชอบกินอะไรล่ะ”
เซียวเหิงแววตาลุ่มลึกมองนาง “ไม่มี”
เขาหลบตาลงปอกส้มต่อ
ปอกไปปอกมา จู่ๆ เขาก็รู้สึกเบื้องหน้ามืดลง ตัวของกู้เจียวโน้มลงมาหาเขา
เขาลมหายใจกระชั้น ขนตาสั่นระริก
กู้เจียวเอียงศีรษะ ยื่นมือไปหาเขา จับคางเขาไว้
หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะ!
“อุ้ย มีอะไรเปื้อนแหน่ะ” กู้เจียวมองซ้ายมองขวา หยิบใยฝ้ายเล็กๆ ออกจากแก้มเขา
เซียวเหิงหน้าแดงเห่ออย่างกระอักกระอ่วน
ทะ…ที่แท้ก็ใยฝ้ายนี่เอง
เขาก็นึกว่านางจะ…
“สามี เป็นอะไรรึ” กู้เจียวมองเขาพลางถาม
“มะ…ไม่มีอะไร” เซียวเหิงหลบตาลงอย่างผิดหวัง วางเปลือกส้มที่ปอกแล้วลงกับโต๊ะ ก่อนเริ่มแกะใยส้มให้นาง
กู้เจียวยกมุมปาก มองใบหน้าหล่อเหลาเจือความไม่พอใจ ก่อนขยับไปใกล้ แล้วจุมพิตบนมุมปากเขาอย่างแผ่วเบา
เซียวเหิงชะงักไป ปากอ้าตาค้างมองนาง
กู้เจียวไม่ได้ดึงตัวกลับ จ้องตากับเขาในระยะใกล้ทั้งอย่างนั้น ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ
ทรวงอกของเซียวเหิงร้อนวูบวาบขึ้นมา เดิมก็เป็นช่วงอายุที่เลือดลมพลุ่งพล่านอยู่แล้ว จะทนกับการแกล้งยั่วของนางได้อย่างไร
ลูกกระเดือกเซียวเหิงขยับไหว แววตาปรารถนาลึกล้ำมองนาง ในใจมีเซียวเหิงน้อยผดุงคุณธรรมตะโกนว่าอย่านะ อย่านะ ก่อนที่เซียวเหิงน้อยฝ่ายอธรรมจะตบหัวเซียวเหิงน้อยฝ่ายคุณธรรมตายในฉาดเดียว
เซียวเหิงเอื้อมมือไปช้อนท้ายทอยนางไว้ พร้อมกับขยับตัวไปหา
ในขณะที่กำลังจะมอบจุมพิตให้นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงกระแอมหนักๆ ดังขึ้นที่หน้าประตู “อะแฮ่ม!”
เป็นเสียงขององค์หญิงซิ่นหยาง
เซียวเหิงเท้าเซทันที ชนเข้ากับเสาเตียงข้างกายกู้เจียว หน้าผากปูดโปนเป็นลูกเบ้อเร่อ
อวี้จิ่นกับพวกสาวใช้ปิดปากหัวเราะ
องค์หญิงซิ่นหยางทนดูไม่ได้
หากนางมาเพียงลำพังก็ยังพอจะแอบเดินหนีออกไปได้ แต่นางดันพาคนยกโขยงมากันหมดนี่สิ สายตามากมายหลายคู่เพียงนี้มาเห็นเข้า คิดจะทำตาบอดก็คงไม่ได้แล้ว
“ออกไปให้หมด” นางขมวดคิ้วเอ่ย
“เพคะ”
อวี้จิ่นแอบขำ ก่อนพาเหล่าสาวใช้ออกไป
องค์หญิงซิ่นหยางมองเจ้าลูกชายจอมเซ่อที่อายุสิบเก้าแล้วยังเป็นเด็กอยู่อย่างไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่าน “งามหน้า! กลางวันแสกๆ ไม่รู้จักปิดประตูเสียบ้าง!”
กู้เจียว “ห้ามดุสามีข้านะ”
องค์หญิงซิ่นหยาง “ข้าจะดุเขาจะทำไมข้าล่ะ”
เซียวเหิงหน้าแดงเห่อลำคอพอง จุมพิตภรรยากลางวันแสกๆ ยังพอทำเนา นี่ยังถูกมารดาแท้ๆ กับพวกอวี้จิ่นมาเห็นเข้าอีก กฎของเขาตั้งแต่สมัยประถมไม่อนุญาตให้เขาทำเช่นนี้ แต่เมื่อครู่เขาแหกกฎเสียแล้ว
ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ แบกรับโทษแหกกฎเอาไว้ ซ้ำยังไม่ได้ลิ้มรสของการแหกกฎอีก
อีกนิดก็จะจูบโดนแล้วแท้ๆ
ฮึ่ย!
“อะแฮ่ม” เซียวเหิงมาขวางไว้ตรงกลางระหว่างกู้เจียวกับองค์หญิงซิ่นหยาง แล้วเอ่ยกับองค์หญิงซิ่นหยางอย่างจริงจัง “ท่านแม่มาได้อย่างไรหรือ”
องค์หญิงซิ่นหยางแค่นเสียงเอ่ย “ข้ามาไม่ได้หรือไร จะรบกวนเรื่องดีๆ ของพวกเจ้าเข้าล่ะสิ เซียวเหิงเจ้ารู้หรือไม่ว่าโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าประตูอยู่ เจ้าปิดประตูเข้าสิ!”
กู้เจียวชะโงกหน้าออกมาจากด้านหลังเซียวเหิง “แบบนั้นมันไม่เร้าใจ”
เซียวเหิง “…!!”
ภรรยาเจ้าหยุดพูดก่อนเถิด!
เซียวเหิงเหงื่อเย็นแตกพลั่กๆ รีบประคองแขนองค์หญิงซิ่นหยาง ยิ้มแหยๆ เอ่ย “เจียวเจียวต้องพักรักษาตัว ข้าพยุงท่านออกไปเดินเล่นก่อนดีกว่าเนอะ”
“เฮอะ!”
องค์หญิงซิ่นหยางสะบัดแขนเสื้อหันหลังให้
กู้เจียวผินหน้าหนี แค่นเสียงขึ้นจมูก “เฮอะ”
องค์หญิงซิ่นหยางถลึงตาหันมามอง “เอ๊ะ! เด็กคนนี้นี่…”
เซียวเหิงใช้ตัวบังนางไว้ ประคององค์หญิงเดินไปด้านนอก “ไอ้หยา ดอกไม้ในลานบานแล้วนี่! ช่างงามทีเดียว! สมกับเป็นฝีมือของท่านแม่ข้าปลูก! คนสวนในวังยังสู้ท่านไม่ได้เลย!”
องค์หญิงซิ่นหยางถูกลูกชายทั้งดึงทั้งจูงออกจากห้อง เซียวเหิงมือหนึ่งประคองนาง อีกมือพลิกไปปิดประตูให้กู้เจียว
องค์หญิงซิ่นหยางถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “มีเมียแล้วลืมแม่เชียวนะ!”
เซียวเหิงเอ่ยด้วยสีหน้าใสซื่อ “ดูท่านพูดเข้าสิ ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือไร”
องค์หญิงซิ่นหยางเลิกคิ้วเอ่ย “เช่นนั้นข้าถามหน่อย…”
เซียวเหิงถอนหายใจตัดบทนาง “หากท่านตกน้ำลงไปพร้อมกับเจียวเจียว ข้าจะช่วยใครก่อนใช่หรือไม่ ก็ต้องช่วยท่านอยู่แล้วสิ ข้ากับเจียวเจียวจะช่วยท่านด้วยกัน! เจียวเจียวว่ายน้ำเป็น!”
องค์หญิงซิ่นหยาง “…”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้มาหาเรื่องจริงๆ หรอก แค่นเสียงฮึดฮัดสองสามคำก็เข้าประเด็นเลย คร่าวๆ คือนางจะออกไปข้างนอกสักหน่อย สองสามวันถึงจะกลับ เรื่องในราชสำนักนางกำชับไท่จื่อไปแล้ว ไม่มีทางเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแน่นอน
“ไม่มีอะไรเจ้าก็ไม่ต้องออกจากเมืองหลวงล่ะ ถึงมีอะไรก็อย่าออกไป รอข้ากลับมาก่อน”
“ขอรับ”
กำชับลูกชายเสร็จ องค์หญิงซิ่นหยางก็พาอวี้จิ่นกับหลงอีขึ้นรถม้าออกเดินทาง
อวี้จิ่นถาม “องค์หญิง เราจะไปที่ใดหรือเพคะ”
องค์หญิงซิ่นหยางตรัส “ไปหากลุ่มอำนาจแคว้นเยี่ยนอีกกลุ่ม”
นางสงสัยมาตลอดว่ากลุ่มคนที่ลอบสังหารเซียวเหิงไม่กล้าลงมือในเมืองหลวงเพราะเมืองหลวงมีกลุ่มอำนาจแคว้นเยี่ยนอีกกลุ่มอยู่
กลุ่มอำนาจนี้อาจไม่ได้มาเพื่อปกป้องเซียวเหิง เป็นไปได้มากที่จะเป็นแค่หน่วยสอดแนมของแคว้นเยี่ยนที่ซุกซ่อนอยู่ในแต่ละแคว้น พวกเขาไม่สอดมือเข้ามายุ่งกับการเมืองและราชสำนักของแต่ละแคว้น มีหน้าที่ติดตามข่าวกรองของแคว้นต่างๆ เท่านั้น
ตระกูลหนานกงน่าจะลงมือโดยพลการ จึงให้ทางแคว้นเยี่ยนรู้ไม่ได้ มิฉะนั้นผลที่ตามมาได้ร้ายแรงนัก
องค์หญิงซิ่นหยางเลิกม่านขึ้นมุมหนึ่ง เอ่ยกับอวี้จิ่น “เจ้าดูผู้คนบนท้องถนนสิ แต่ละคนต่างแต่งตัวเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ แต่ไม่แน่ว่าหนึ่งในนี้อาจจะเป็นสายลับจากแคว้นอื่นก็ได้ สายลับแคว้นเยี่ยน แคว้นจิ้น แคว้นเหลียง…”
อวี้จิ่นเอ่ย “สายลับมากมายเพียงนี้เชียวหรือ”
องค์หญิงซิ่นหยางตรัส “เราก็มีสายลับอยู่ในแคว้นอื่นเช่นกัน”
อวี้จิ่นตกใจเล็กน้อย “ที่แคว้นเบื้องบนก็มีหรือ”
องค์หญิงซิ่นหยางตรัสเสียงเรียบ “มีที่แคว้นเหลียง ยังไม่มีที่แคว้นเยี่ยนกับแคว้นจิ้น”
อวี้จิ่นอืออาอย่างฉงน “เช่นนั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาคนไหนเป็นสายลับแคว้นเยี่ยน”
“เดาน่ะสิ” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย
รถม้าจอดลงหน้าร้านผ้าไหมแห่งหนึ่ง คนขับรถลงไปเจรจากับเถ้าแก่สองสามคำ เพียงไม่นานเถ้าแก่ก็ขึ้นรถม้ามารายงานเอง “ทูลองค์หญิง หมอยาแคว้นเยี่ยนคนนั้นวันนี้จะออกเมืองไปเก็บสมุนไพร ข้าให้คนปล่อยข่าวออกไปแล้ว บอกว่ามีวัตถุดิบยาที่เขาต้องการในภูเขาชางเป้ย”
ด้านหลังร้านผ้าคือโรงบู๊ใต้ดิน
ไม่มีใครรู้ว่าร้านผ้าไม่สะดุดตาแห่งนี้ความจริงแล้วจะเป็นหูเป็นตาที่องค์หญิงซิ่นหยางวางเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน
อวี้จิ่นขมวดคิ้วเอ่ย “องค์หญิงสงสัยว่าหมอยาแคว้นเยี่ยนคนนั้นจะเป็นสายลับที่แทรกซึมเข้ามาในเมืองหลวงแคว้นเยี่ยนหรือ นี่มันชักเหิมเกริมใหญ่แล้ว ไม่ปิดบังตัวตนว่าเป็นคนแคว้นเยี่ยนหน่อยหรือไร”
องค์หญิงซิ่นหยางแค่นเสียงเย็น “บางครายิ่งเปิดเผยเท่าใดก็ยิ่งไม่มีใครสงสัย อีกอย่าง แคว้นเจาก็เป็นแค่แคว้นเบื้องล่าง ไม่ต้องให้แคว้นเยี่ยนเปลืองแรงมาระวัง เขาจะใช่คนที่ข้าต้องการตัวหรือไม่ ตามไปลองหยั่งเชิงดูก็รู้แล้ว”