สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 595 ฤดูล่าสัตว์!
บทที่ 595 ฤดูล่าสัตว์!
ตอนแรกจวงไทเฮายังแอบคิดว่าตนอาจตาฝาดไป แต่พอได้ยินประโยค “เป็นเจ้าที่ได้ใจเกินเหตุ หรือข้าเองที่ชักกระบี่ไม่ทัน” ก็รู้ในทันทีว่าเซวียนผิงโหวมาแล้วจริงๆ !
ดังนั้นการคาดเดาของเขาเมื่อครู่นี้ก็ถูกน่ะสิ ไม่ว่าจะให้เซียวเหิงใช้วิธีล่องูออกจากถ้ำก็ดี หรือการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของจวงไทเฮาก็ดี จุดประสงค์พื้นฐานคือการถ่วงเวลาและรอการปรากฏตัวของซวนผิงโหว!
แต่มันก็แปลกมิใช่หรือ
เพราะไม่กี่วันก่อน เขายังได้รับข้อความจากเกาะใต้โดยบอกว่ามีโจรสลัดกลุ่มหนึ่งหลบหนีออกมาทางเรือ โดยเซวียนผิงโหวได้รับมอบหมายให้ไปตามล่าพวกเขา!
อย่าบอกนะว่า
ทุกอย่างเป็นเรืองที่กุขึ้น แท้จริงแล้วเซวียนผิงโหวกำลังอยู่ระหว่างเดินทางกลับมายังเมืองหลวงอย่างนั้นสินะ
ราชครูจวงกัดฟังพร้อมกับถลึงตาใส่เซวียนผิงโหว สลับกับมองไปที่เซียวเหิง ท้องไส้ของเขาปั่นป่วนไปด้วยโทสะ ทั้งพ่อทั้งลูกเหมือนกันไม่มีผิด ที่แย่ไปกว่านั้นคือแผนการของพวกเขาลื่นไหลยิ่งกว่าแผนของพวกสุนัขจิ้งจอกเฒ่าในราชสำนักเสียอีก!
เซวียนผิงโหวเหลือบมองบาดแผลรอยแส้ฟาดบนใบหน้าของเซียวเหิง ก่อนหันมาส่งสายตาอำมหิตไปยังที่มือของราชครูจวงที่ถือแส้ไว้ “มือข้างไหนที่ตีลูกชายของข้า”
นี่เป็นครั้งที่สองที่เซวียนผิงโหวยอมรับเป็นการส่วนตัวว่าเซียวเหิงเป็นลูกชายของเขา
ที่เขากล้าพูดออกไปแบบนั้นอาจไม่ใช่สัญญาณที่ดีนักสำหรับราชครูจวง เพราะตัวตนที่แท้จริงของเซียวเหิงยังคงเป็นความลับอยู่เสมอมาและเสมอไป มีคนประเภทเดียวบนโลกใบนี้เท่านั้นที่สามารถเก็บความลับไว้ได้ตลอดกาล
ราชครูจวงเริ่มรู้สึกได้ถึงหนังตาที่กระตุก แม้ตำแหน่งของเขาจะไม่ด้อยไปกว่าเซวียนผิงโหวอีกทั้งยังแก่ประสบการณ์มากกว่าเสียด้วยซ้ำ เขาไม่เคยเกรงกลัวเซวียนผิงโหวมาก่อน
จนกระทั่ง…เวลานี้!
ราชครูจวงหันไปทางนายพลหนานกง
“ไม่ต้องมองขอความช่วยเหลือแล้ว เจ้านั่นก็ไม่รอดเหมือนกัน!” เซวียนผิงโหวเอ่ยจบก็ชักกระบี่ขึ้นมาแล้วปักลงบนพื้นอย่างดุเดือด นายพลหนานกงขมวดคิ้วแน่น
ม้าของราชครูจวงถึงกับเสียหลักเพราะตกใจและเปล่งเสียงม้าร้องโหยหวนออกมา
ราชครูจวงพยายามรักษาสมดุลไว้ แต่ในเวลานั้นปลายกระบี่ของเซวียนผิงโหวได้เข้ามาจ่อตรงหน้าเขาเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นเซวียนผิงโหวเข้าไปดึงคอเสื้อของเขา แล้วเหวี่ยงเขาลงจากม้าอย่างไร้ปราณี
“เซวียนผิงโหว”
ราชครูจวงร้องเสียงหลง!
“ชื่อเหมือนพ่อเจ้ารึ!”
ร่างของราชครูจวงกระแทกลงพื้นในสภาพสุดอนาถ
เซวียนผิงโหวเป็นผู้บัญชาการทหาร รูปลักษณ์ที่สูงส่งและสง่างามของเขาต่อหน้าผู้คนเป็นเพียงเปลือกนอก แท้จริงแล้วเขามีความดุร้ายและป่าเถื่อนอยู่ในใจ
หากเป็นคนอื่น คงไม่คิดจะทำตัวหยาบคายกับอำมาตย์เก่าแก่และอ่อนแออย่างราชครูจวงไม่ว่ากฎหมายจะมีอารยะแค่ไหนก็ตาม แต่เซวียนผิงโหวหาใช่คนไม่
เขาไม่ได้มีความเป็นคนแต่แรกอยู่แล้ว!
เซวียนผิงโหวรังแกชายชราร่างผอมคนนี้อย่างไม่รู้สึกผิด เหวี่ยงร่างลงไปกองบนพื้นไม่พอ ยังกลั่นแกล้งด้วยการดึงบังเหียนม้าของเขาแน่นจนสองขาของเจ้าม้าลอยขึ้นจากพื้นแล้วย่ำลงไปบนมื้อทั้งสองข้างของราชครูจวงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เสียงกระดูกแตกดังลั่นในอากาศ ตามด้วยเสียงคร่ำครวญอันเจ็บปวดของราชครูจวง
หลังจากย่ำจนพอใจแล้ว เซวียนผิงโหวบังคับม้าให้เบี่ยงทิศออกไป ก่อนจะก้มไปมองร่างบนพื้นด้วยน้ำเสียงที่ใสซื่อ “ก็ข้าถามเจ้าแล้วว่ามือข้างไหน เจ้าไม่ยอมตอบ ข้าก็เลยจัดให้ทั้งสองข้างเลย”
ราชครูจวงได้แต่อ้ำอึ้ง
มีคนไร้ยางอายและหยิ่งผยองแบบนี้อยู่ด้วยหรือ!
ทำร้ายกันถึงเพียงนี้ที่แต่ยังทำหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนได้ คงมีแต่เจ้านี่สินะที่ทำได้ลงคอ!
เป็นอำมาตย์มาครึ่งชีวิต ได้ดิบได้ดีจากการขายน้องสาวให้กับวัง เลยอยู่อย่างราบรื่นมาโดยตลอด แม้ว่าจะมีใครคอยเข้ามาขัดขวางแต่นั่นก็เป็นแค่ส่วนน้อย
แล้วนี่พูดไปใครจะเชื่อล่ะว่าเขาถูกหักมือต่อหน้าคนตั้งมากมาย
คนอย่างเขาเกิดมาไม่เคยพบเจอกับความเจ็บปวดเช่นนี้ เจ็บเสียจนเกือบจะเป็นลม
เขามองไปที่ไทเฮาที่นั่งอยู่ในรถม้าไม่ไกลและเฝ้าดูฉากนี้ด้วยสายตาที่สงบนิ่ง
นางไม่นับคนที่กินเนื้อและเลือดของนางมาตลอดชีวิตเป็นพี่ชายอีก
“จวงจิ่นเซ่อ…ใจคอโหดเหี้ยมนัก…” ราชครูจวงกระอักเลือดและหายใจหอบแรง
คนที่ใจคอโหดเหี้ยมคือนางจริงๆ อย่างนั้นหรือ
มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง ที่คุ้นเคยกับการกินเนื้อและเลือดของคนอื่น แต่พอคนอื่นปฏิเสธที่จะให้ ก็กลายร่างเป็นคนเนรคุณและกลับกลอกในทันที
แต่ตอนที่พวกเขากัดกินเนื้อและเลือดของมนุษย์ พวกเขาไม่เคยคิดเลยหรือว่า ไม่ควรทำมันตั้งแต่แรก!
ช่างปะไร ให้คุยเรื่องบาปบุญคุณโทษธรรมมะกับคนพรรค์นั้นน่ะรึ
คนที่เห็นแก่ตัวจนลึกเข้าไปในกระดูกดำแบบนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดถึงคนอื่น ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำสิ่งที่เลวร้ายมากมายขนาดนี้
จวงไทเฮาไม่ได้ร้องขอชีวิต และไม่แม้แต่จะชายตามองเสียด้วยซ้ำ “อาเหิง เข้ามาข้างใน”
นางเอ่ยในฐานะท่านย่า
ไม่ใช่ไทเฮา
วินาทีนั้นราชครูจวงจึงได้รู้ว่านางไม่ได้กำลังลองใจเขา แต่เป็นเพราะนางได้ละทิ้งตระกูลจวงและเข้าไปอยู่ในครอบครัวใหม่ ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันเสียด้วยซ้ำ
ครั้งหนึ่ง…จวงไทเฮาก็เคยญาติดีกับตระกูลจวง
เพียงแต่ไม่เคยมีใครเห็นความดีของนางเลยสักคน หากไม่นับจวงอวี้เหิง ทุกคนล้วนคิดว่านางเป็นลูกสาวของตระกูลจวง และสมควรที่จะใช้เวลาทั้งชีวิตทำงานหนักเพื่อวงศ์ตระกูล
เซียวเหิงหันไปทางรถม้าของไทเฮา
แววตาของนายพลหนานกงพลันนิ่งลง
เซวียนผิงโหวเห็นดังนั้นจึงรีบชักกระบี่แล้วควบม้าเข้ามายืนกำบัง “ตาแก่นั่นเดี๋ยวข้าจะจัดการทีหลัง ตอนนี้ถึงคราวคิดบัญชีระหว่างเจ้ากับข้า”
เขาล้มเหลวในการปกป้องลูกชายเมื่อห้าปีที่แล้ว คราวนี้เขาจะไม่ยอมให้คนพวกนี้ได้ใจอีกต่อไป
นายพลหนานกงจ้องเขม็งไปที่เซวียนผิงโหว
เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับชื่อเสียงของเซวียนผิงโหว หนึ่งคือเป็นคนที่ไร้ยางอายอย่างยิ่ง และสองคือเขาอยู่ในรายชื่อคนงามของแคว้นทั้งหก!
ไม่รู้ว่าไปโผล่อยู่ในรายชื่อนั้นได้อย่างไร!
ขนาดชื่อของพี่สาวของเขาองค์หญิงหนานกงยังอยู่รองจากชื่อของเจ้านี่!
คาดไม่ถึงคนงามที่ว่าจะเป็นปรมาจารย์แห่งการสู้รบ
นายพลหนานกงได้สืบข้อมูลก่อนที่จะมาแคว้นเจา เขาหรี่ตามองเอวและหน้าท้องของชายร่างใหญ่ตรง “เซียวจี่ นักรบอันดับหนึ่งของแคว้นเจา ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บที่เอว ฉะนั้นเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเอาชนะข้าได้ ข้าจะต่อให้เจ้าสามกระบวนท่า”
เซวียนผิงโหวแสยะยิ้ม ใครมันจะไปสู้ตัวต่อตัวกัน ข้าชอบแบบเล่นพรรคพวกมากกว่า!
“ฉังจิ่ง”
เซวียนผิงโหวกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย
ทันใดนั้น ปรากฏร่างชายหนุ่มในชุดดำพร้อมกับนักรบหน้ากากผีสามคนกระโดดลอยข้ามหัวเหล่าทหารหลงอิ่งออกมาจากกองทัพหน้ากากผี ก่อนจะร่อนลงอย่างแข็งกร้าวตรงพื้นที่ข้างเซวียนผิงโหว
“ต่อยมัน” เซวียนผิงโหวสั่ง
นายพลหนานกงถึงกับผงะที่อีกฝ่ายไร้มารยาทในการต่อสู้ นายพลปะทะนายพลควรเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวมิใช่หรือ
“ช้าก่อน ข้าสั่งผิด” เซวียนผิงโหวเอ่ยกับฉังจิ่ง “หักร่างมัน!”
หึหึ! คิดจะหักนิ้วลูกชายข้างั้นเรอะ
นายพลหนานกง “…”
ฉังจิ่งคว้ากระบี่ออกมา
มันเป็นกระบี่เหล็กสีดำที่มีใบไผ่สลักอยู่บนใบมีด
นายพลหนานกงเริ่มหน้าถอดสี “สำนักอั้นเย่รึ”
สำนักอั้นเย่ กลุ่มนักฆ่าที่ใหญ่ที่สุดในหกแคว้น
แต่พวกอั้นเย่ไม่ได้อยู่ที่แคว้นระดับบนหรอกรึ
เหตุใดถึงปรากฏตัวที่นี่ได้
แถมยังเป็นคนของเซวียนผิงโหวอีกด้วย
ด้วยความที่ฉังจิ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมานักต่อนัก ฝีมือการต่อสู้ของเขาเรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าใคร ท่วงท่าของเขาหนักแน่นและรุนแรง เขาฟาดกระบี่ลงไปยังเป้าหมาย นายพลหนานกงจึงชักกระบี่ขึ้นมาต้านกลับ!
แม้ต้านได้ก็จริง แต่กระนั้นเขาก็ถูกบีบให้ต้องลงจากหลังม้า
พวกสำนักอั้นเย่นี่แข็งแกร่งกันทุกคนเลยหรือ
นายพลหนานกงอดสงสัยมิได้
นั่นเป็นเพราะเขามาจากตระกูลหนานกง ซึ่งถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของหกแคว้นในด้านศิลปะการต่อสู้
ในไม่ช้า เขาก็เข้าใจว่าทำไมศิลปะการต่อสู้ของเด็กชายชุดดำคนนี้ถึงได้ดีเช่นนี้
เขาเคยเห็นกระบี่ยาวนั้นมาก่อน พู่กระบี่นั้นเป็นของพระราชทานของฮ่องเต้แห่งแคว้นเยี่ยน วันที่เป็นพิธีมอบ นายพลหนานกงก็อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งเจ้าของกระบี่ยาวนั้นคือฉังคุน หัวหน้าคนปัจจุบันของสำนัก
ฉังคุน…ฉังจิ่ง…
พอเขามองไปที่ฉังจิ่งอีกครั้งถึงกับขนลุกซู่
นี่มันนายน้อยของสำนักอั้นเย่ไม่ใช่เรอะ!
เซวียนผิงโหวใช้เงินเท่าไหร่ในการเชิญเจ้ามา ตระกูลหนานกงของข้าจะจ่ายให้สองเท่า!
ต่อให้คราวนี้เขาจะออมหรือไม่ออมแรง ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน ถ้าเขาออมแรงตอนนี้ เขาก็จะตายทันที แต่ถ้าไม่ออมแรงแล้วใส่ไม่ยั้ง นายน้อยสำนักอั้นเย่อาจจะตายได้ จากนั้นหัวหน้าของสำนักก็จะตามมาล้างแค้นที่ตระกูลหนานกงและฆ่าเขาอยู่ดี
นายพลหนานกงไม่ใช่ทหารจอมพาลเหมือนกับเซวียนผิงโหว เขาเป็นคนที่มีอารยะ และคืนนี้เขาได้สบถคำที่หยาบที่สุดในชีวิตของเขาออกมาในใจแล้ว
เซวียนผิงโหวไม่สนใจความคิดซับซ้อนของอีกฝ่าย เขาขี่ม้า ถือมีดยาว และบุกโจมตีทหารหลงอิ่งและทหารองครักษ์ของแคว้นเยี่ยนอย่างไม่เร่งรีบ
กองทัพหน้ากากผีของเขามีจำนวนราวสามพันคน หากต่อสู้เพียงลำพัง พวกเขาอาจยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ทัดเทียม แต่หากรวมตัวกันก็ไม่มีใครแข็งแกร่งกว่าไปพวกเขาอีกแล้ว!
ทหารของนายพลหนานกงถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งอยู่ในพื้นที่โล่ง อีกกลุ่มอยู่บริเวณหน้าหุบเขา และตรงกลางของคนทั้งสองกลุ่มคือรถม้าของจวงไทเฮา
พอเซวียนผิงโหวได้เข้าสู่สถานะการต่อสู้ ท่าทีของเขาแตกต่างออกไปจากเดิม เขาขี่ม้าตัวสูงและโบกธงที่อยู่ในมือด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
กองทหารสามพันนายลงจากหลังม้าและแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม ถือโล่และหอกล้อมรอบกองกำลังแคว้นเยี่ยนทั้งสองกลุ่ม
ตั้งแต่ท่วงท่าเคลื่อนธง ขบวนมังกรขดตัว ขบวนมังกรเหินฟ้า ถอยทัพตั้งการ์ด เดินหน้าโจมตี ทุกการเปลี่ยนแปลงของการเดินทัพนั้นไร้ที่ติ ขณะที่ฝั่งกองทัพของแคว้นเยี่ยนดูจะไม่ค่อยเป็นใจในการคว้าชัยชนะนัก
ทหารหลงอิ่งค่อยๆ ล้มลงทีละกลุ่ม พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนที่ดังขึ้นรอบทิศ
นายพลหนานกงเฝ้าดูขบวนทัพของอีกฝ่ายครอบงำกองทัพของเขาราวกับสัตว์ดุร้ายขนาดยักษ์อย่างไร้ความปราณี ตอนนี้ตัวเขาเองก็ไม่สามารถออกคำสั่งอะไรได้เพราะกำลังรับมือกับฉังจิ่งและทหารหน้ากากผีอีกสามนาย!
ขณะที่เขาเผลอ ฉังจิ่งสบโอกาสแทงกระบี่ตรงเข้าที่เอวและหน้าท้องของเขาแล้วเหวี่ยงหลังมือขึ้น จนลำแขนข้างหนึ่งของนายพลหนานกงถูกเฉือนจนขาดสะบั้น!
——————————-