สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 601 ความเดือดดาลของเซวียนผิงโหว
บทที่ 601 ความเดือดดาลของเซวียนผิงโหว
สถานการณ์พลิกผันราวกับพายุหมุน
อันจวิ้นอ๋องอาศัยอยู่เรือนท้ายบ้านหลังถัดกันมาตั้งนาน เขาไม่ยักจะโมโห แต่พอไปไหนมาไหนกับหลิ่วอีเซิงกลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
จิ้งคงเอ๋ยจิ้งคง หาเรื่องให้ข้าเก่งเสียจริง
ขณะที่กู้เจียวกำลังครุ่นคิดว่าจะง้อสามีตัวเองอย่างไรดี อีกฟากหนึ่ง เซียวเหิงเองก็ถูกเซียวฮองเฮาเรียกเข้าวังหลัง
“ท่านอา”
เซียวเหิงคำนับเซียวฮองเฮา
“มิใช่คนอื่นคนไกล มิต้องพิธีรีตอง มานั่งนี่มา” เซียวฮองเฮาเอ่ยกับเซียวเหิง
เซียวเหิงนั่งลงข้างเซียวฮองเฮาตามคำเชิญ
เซียวฮองเฮามองเรียวคิ้วที่กำลังขมวดมุ่นพลางถาม “อาเหิงเป็นอะไรไปรึ ท่าทางดูมีเรื่องไม่สบายใจ เป็นห่วงท่านแม่เจ้ารึ”
“ท่านแม่ข้าเป็นอะไรไปรึ” เซียวเหิงอยู่ที่กรมยุติธรรมทั้งคืน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับองค์หญิงซิ่นหยาง
เซียวฮองเฮาถาม “เจ้าไม่รู้หรอกรึ เมื่อวานแม่เจ้าเป็นลมหน้าประตูวัง ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพราะอยากจะถามว่าอาการนางเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
แม้จะบอกว่านางกับองค์หญิงซิ่นหยางไม่ถูกกันนัก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ของเซียวเหิง
ดวงตาของเซียวเหิงฉายแววกังวล “ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก เมื่อคืนวานข้าอยู่ที่กรมยุติธรรมทั้งคืน ไม่ได้ไปหาท่านแม่ ประเดี๋ยวข้าจะไปเยี่ยมขอรับ”
เซียวฮองเฮาคว้าข้อมือเขาเอาไว้ “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป ข้ายังมีเรื่องหนึ่งอยากจะพูดกับเจ้า”
…
วันนี้เซวียนผิงโหวไม่ได้นอนตื่นสาย เขาตื่นแต่เช้าไปยังถนนจูเชวี่ย
คิดไม่ถึงเลยว่าประตูหน้าเรือนขององค์หญิงซิ่นหยางจะมีรถม้าจอดอยู่หลายคัน
แปลกนัก เรือนขององค์หญิงซิ่นหยางแทบจะไม่เคยมีแขกคนอื่น เว้นเสียแต่กู้เจียวและเซียวเหิง เห็นได้ชัดว่ารถม้าหรูหราสามสี่คันนี้ย่อมมิใช่ของสองสามีภรรยาคู่นั้นแน่นอน
พลขับยกรถเข็นลงมาจากรถม้า “คารวะท่านโหว”
เซวียนผิงโหวขมวดคิ้ว
พลขับรีบเอ่ย “ท่านหมอกู้เป็นคนสั่งขอรับ นางบอกว่าหากท่านไม่นั่ง จะฟ้องใต้เท้าเซียวขอรับ”
เซวียนผิงโหวนั่งลงบนรถม้าด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
จังหวะเดียวกันกับที่เขาหย่อนตัวนั่งลงบนรถเข็นนั้น ภายในเรือนขององค์หญิงซิ่นหยางก็มีเสียงโหวกเหวกดังขึ้น
จากนั้นอวี้จิ่นและบรรดาสาวใช้ในเรือนก็พากันหอบข้าวของห่อเล็กใหญ่เดินออกมา
นางเดินไปพลางเหลียวกลับเอ่ยกับใครบางคน “ของเหล่านี้พวกท่านเอากลับไปเถิด น้ำใจของเหล่าอ๋องเฟยพวกข้ารับไว้แล้ว ไม่ต้องให้ของกำนัลพวกนี้หรอก”
แม่นมท่าทางสง่าผ่าเผยเดินตามหลังเหล่าสาวใช้รุ่นเล็กรุ่นใหญ่ออกมา นางใช้มือยั้งอวี้จิ่นเอาไว้ แสดงออกว่าไม่รับคืนของกำนัล นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ของเหล่านี้ล้วนแต่เป็นน้ำใจจากเหล่าอ๋องเฟย ตั้งใจนำมาให้จากหัวเมือง! เหตุใดจึงไม่รับเล่า!”
อวี้จิ่นยิ้มอย่างนอบน้อม “แม่นมกุ้ย พวกข้ารับไว้ไม่ได้จริงๆ องค์หญิงเพิ่งขึ้นรักษาแคว้นแทน แม่นมกุ้ยเองก็ย่อมรู้ดีว่ายามนี้องค์หญิงต้องดูแลไพร่ฟ้า ทำการสิ่งใดย่อมต้องระมัดระวัง นางกำชับพวกเราไว้ ไม่ว่าผู้ใดมามอบของกำนัลให้ถึงเรือนก็ไม่อาจรับไว้ได้”
แม่นมกุ้ยถลึงตามองนางพลางเอ่ย “คนพวกนั้นเทียบได้กับเหล่าอ๋องเฟยหรือ เหล่าอ๋องเฟยเห็นองค์หญิงมาตั้งแต่เล็กจนโต สนิทสนมกับองค์หญิง เฉกเช่นคนในครอบครัว!”
อวี้จิ่งยังคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้า “แม่นมกุ้ย ท่านอย่าทำให้พวกข้าลำบากใจเลย”
รอยยิ้มของแม่นมกุ้ยจางลง “ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากใจก็ได้ เจ้าไปทูลองค์หญิงด้วยล่ะ บอกว่าคนของเหล่าอ๋องเฟยมาเยี่ยมนางแล้ว”
อวี้จิ่นตอบรับเสียงเรียบ “ช่วงนี้ร่างกายองค์หญิงไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อคืนวานก็นอนไม่หลับทั้งคืน ฟ้าใกล้สางแล้วถึงได้ผล็อยหลับไป จะปลุกองค์หญิงให้ตื่นก็เกรงว่าจะมิควร”
แม่นมกุ้ยเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “ข้าไม่ยักรู้ว่าสุขภาพร่างกายขององค์หญิงซิ่นหยางเป็นธุระกงการอะไรของบ่าวไพร่คนหนึ่ง”
สาวใช้ที่อยู่ข้างกันเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าอวี้จิ่นคือผู้ดูแลจวนขององค์หญิง มีตำแหน่งเป็นขุนนางราชสำนัก แม่นมโปรดระวังคำพูดด้วย!”
แม่นมกุ้ยมองอวี้จิ่นด้วยสายตาดูแคลน พลางเชิดคางขึ้น “เช่นนั้นก็ดี ข้าจะรอที่นี่จนกว่าองค์หญิงจะตื่นขึ้นมา”
“ผู้ใดเสียงดังเอะอะโวยวาย”
เซวียนผิงโหวที่นั่งอยู่บนรถเข็น กำลังเคลื่อนเข้ามาช้าๆ ด้วยแรงดันของพลขับ
อวี้จิ่นได้ยินเสียงของเขาก็ตาเป็นประกาย หันหลังกลับไปคำนับในทันที
“ท่านโหวเหย่รึ” แม่นมกุ้ยเหลียวไปมองชายงามบนรถเข็น ก่อนจะชะงักไปอย่างอดไม่ได้
นี่…นี่…นี่คือพระสวามีขององค์หญิงซิ่นหยางอย่างนั้นรึ
ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว เหตุใดถึงไม่เปลี่ยนไปเลย
แม่นมกุ้ยเป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายเหล่าเหลียงอ๋องเฟย เคยอยู่เมืองหลวงมานานหลายปี ย่อมเคยพบเซวียนผิงโหวมาก่อน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่ากาลเวลาไม่อาจทำอะไรเขาได้
“ท่านโหวเหย่ ข้า…”
แม่นมกุ้ยพูดยังไม่ทันจบ เซวียนผิงโหวก็คว้าห่อผ้าในมืออวี้จิ่นออกมาแก่อนจะโยนลงริมเท้าของแม่นมกุ้ยอย่างไม่ใยดี
แม่นมกุ้ยตกตะลึงอีกครั้ง
เหล่าสาวใช้เห็นท่านโหวเหย่โยน พวกนางจึงกล้าโยนของกำนัลในมือบ้าง
หึ!
แม่นมกุ้ยและพรรคพวกจำต้องถดเท้าหนี
แบบนี้มันหักหน้ากันชัดๆ
พวกนางเดินทางมาแสนไกลเพื่อมอบของกำนัลให้กับองค์หญิงซิ่นหยาง ไม่รับของไม่ว่าแต่ดันมาทิ้งขวางต่อหน้าต่อตาแบบนี้!
แม่นมกุ้ยเอ่ยอย่างเดือดดาล “ท่านโหวเหย่! พวกข้าเป็นคนของจวนเหลียงอ๋องนะเจ้าคะ! ข้าก็แค่ทำตามคำสั่งของเหล่าเหลียงอ๋องเฟย!”
เหล่าเหลียงอ๋องและเหล่าเหลียงอ๋องเฟยนั้นยศสูงเพียงใดน่ะหรือ ก็ดูจากวันนี้ที่ไทเฮาพบพวกเขาแล้วต้องเรียกอย่างนอบน้อมว่าท่านลุงท่านป้า
เซวียนผิงโหวและองค์หญิงซิ่นหยางเป็นรุ่นหลานด้วยซ้ำ กล้าดีอย่างไร!
แต่มีหรือที่เซวียนผิงโหวจะไม่กล้า
เขาแทบจะไม่เหลือบตาขึ้นมองยามได้ยินคำข่มขู่ของแม่นมกุ้ย แต่กลับอิงพนักรถเข็นด้วยท่าทางเกียจคร้าน
ทั้งๆ ที่แม่นมกุ้ยยืนอยู่ ส่วนเขาเป็นคนนั่ง ทว่ารังสีที่แผ่ซ่านออกมานั้นยังคงน่าเกรงขามมิเสื่อมคลาย
เซวียนผิงโหวเอ่ยอย่างไม่แยแส “ยังไม่ไปอีก รอให้ข้าไล่เจ้าหรือไร”
แม่นมกุ้ยเหลืออด “ท่าน!”
สาวใช้ข้างกายเอ่ยเสียงกระแนะกระแหน “ช่างเถิดเจ้าค่ะแม่นม เซวียนผิงโหวใช่ว่าจะเคยเห็นหัวใครสักหน่อย! พวกเราอย่างมากก็แค่กลับไปทูลเหล่าเหลียงอ๋องเฟย ให้นางยื่นฎีกาทวงคืนความยุติธรรมต่อหน้าพระพักตร์! รอดูเถิดคนที่หมิ่นศักดิ์ศรีเหล่าเหลียงอ๋องเฟยจะต้องถูกปลดตำแหน่ง ขับไล่ออกมาจากเมืองหลวง หากมิเช่นนั้นคงเรียกว่าไม่เห็นจวนเหลียงอ๋องอยู่ในสายตา!”
แน่นอนว่านี่คือคำข่มขู่เซวียนผิงโหว พวกนางไม่เชื่อว่าเซวียนผิงโหวจะไม่กลัวเหล่าเหลียงอ๋องเฟย ไม่กลัวฝ่าบาท!
แต่ใครจะคิดว่าเซวียนผิงโหวกลับไม่ยี่หระแม้แต่นิด
อวี้จิ่นเม้มปากยิ้ม ก่อนจะเอ่ยกับแม่นมกุ้ยและพรรคพวก “ท่านโหวของพวกข้าเพิ่งสร้างคุณูปการจากศึกสงคราม พวกท่านคิดหรือว่าฝ่าบาทจะทำอะไรเขาในสภาพเช่นนี้ ก็แค่ไล่บ่าวไพร่ไม่กี่คน มิได้ไล่เหล่าเหลียงอ๋องกับเหล่าเหลียงอ๋องเฟยสักหน่อย”
ท่านโหวของพวกข้า
เป็นครั้งแรกที่อวี้จิ่นเอ่ยถึงเขาเช่นนั้น
เซวียนผิงโหวเลิกคิ้ว “ได้ยินหรือยัง ยังไม่รีบไสหัวไปอีก”
แม่นมกุ้ยกัดฟันกรอด “อย่าคิดนะว่าพวกเจ้าจะ…”
พรึ่บ!
เซวียนผิงโหวชักกระบี่ยาวออกมาจากหลังรถเข็น
“มีคนจะฆ่าข้า!” แม่นมกุ้ยวิ่งหนีหัวหด!
ส่วนคนที่เหลือก็เผ่นแนบขึ้นรถม้าของตัวเองไป ลืมแม้กระทั้งของกำนัล
อวี้จิ่นสั่งให้เหล่าสาวใช้โยนของรกหูรกตาพวกนี้กลับเข้าไปในรถม้าของพวกนาง ก่อนจะพากันหนีออกไป
เซวียนผิงโหวโยนกระบี่ยาวให้พลขับ ก่อนจะเลื่อนรถเข็นเข้าไปในเรือน
เขาไปยังห้องขององค์หญิงซิ่นหยาง เป็นไปอย่างที่คาดไว้ นางไม่ได้หลับแต่นั่งพิงหัวเตียง ใบหน้าซีดขาว
รถเข็นของเขาเข้าไปไม่ได้
เซวียนผิงโหวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกยืนขึ้น เข็นรถเข็นข้ามธรณีประตู หลังจากนั้นก็กลับลงนั่งอีกครั้ง
เขามาถึงหน้าเตียง องค์หญิงซิ่นหยางตะแคงข้างหันหลังให้เขา
เช่นนี้แปลว่าปฏิเสธที่จะสนทนาอย่างนั้นสินะ
เซวียนผิงโหวนึกถึงอาการป่วยของนาง จึงไม่กล้าเข้าใกล้มากไปกว่านี้ เขามองไปรอบทิศ เมื่อมั่นใจแล้วว่าประตูหน้าต่างล้วนแต่เปิดกว้าง เขาจึงเอ่ยกับอีกฝ่าย “ฉินเฟิงหว่าน….”
“อย่าถาม” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยเสียงแผ่วเบา
เซวียนผิงโหวอยากพูดแต่พูดไม่ออก ได้แต่กลืนคำพูดที่ริมฝีปากลงคอไป “ได้ ข้าไม่ถาม เขาจะมาบอกเจ้า เจ้าเป็นภรรยาของข้าเซียวจี่ผู้นี้ จะไม่มีผู้ใดรังแกเจ้าได้”
ว่าจบก็ตั้งใจว่าจะเข็นรถเข็นออกไป
แต่เพราะไม่เชี่ยวชาญการใช้รถเข็นสักเท่าใด เข็นอยู่นานสองนานก็ไม่ยอมหมุนกลับเสียที
เขาลุกยืนขึ้นมันเสียเลย ใช้มือบังคับทิศทางของรถเข็นแทน
เขาวางรถเข็นลงกับพื้นก็ได้ยินเสียงพึมพำรำไรขององค์หญิงซิ่นหยาง “ข้าก็เป็นถึงองค์หญิงนะ”
เซวียนผิงโหวคิ้วขมวด
เซวียนผิงโหวไม่อยู่นานไปมากกว่านั้น เพราะกลัวว่าอาจจะทำให้นางอึดอัดเอาได้
เพียงแต่สิ่งที่เซวียนผิงโหวไม่คาดคิดก็คือ เขาเพิ่งจะก้าวเดินออกไป เหล่าเหลียงอ๋องเฟยก็มาเยือน
คราวนี้นางมาเยี่ยมด้วยตนเอง
เหล่าเหลียงอ๋องเฟยอายุมากแล้ว ร่างกายมิได้เหมือนแต่ก่อน เดินเหินไม่สะดวกนัก แม้นางจะเดินได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะนั่งรถเข็นมากกว่า
หน้าต่างภายในห้องปิดสนิท แสงสว่างรำไร มีเพียงองค์หญิงซิ่นหยางและเหล่าเหลียงอ๋องเฟยเพียงแค่สองคน
องค์หญิงซิ่นหยางนั่งบนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว ท่อนขาปกคลุมด้วยผ้าห่ม
เหล่าเหลียงอ๋องเฟยนั่งอยู่บนรถเข็นปลายเตียง สองมือผมแห้งเหี่ยวกุมมือขององค์หญิงซิ่นหยางไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบา “…นันนัน”
นันนัน ชื่อเล่นขององค์หญิงซิ่นหยาง
องค์หญิงซิ่นหยางสีหน้าเจ็บปวดยามได้ยิน
อวี้จิ่นไม่กล้าเข้าไป แต่ก็ไม่กล้าแอบดูเช่นกัน ทำได้เพียงแนบกับซอกประตู พยายามเงี่ยหูฟัง
นางรู้ว่าตนเองไม่ควรทำเช่นนี้ แต่หากไม่ทำเช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีทางเข้าใจสาเหตุการป่วยขององค์หญิง
นางได้ยินองค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “อย่าเรียกข้าเช่นนั้น ขยะแขยงสิ้นดี”
ขยะแขยงอย่างนั้นหรือ
อาการเช่นนี้….
อวี้จิ่นได้ยินน้ำเสียงของเหล่าเหลียงอ๋องเฟยที่เอ่ยด้วยความรู้สึกผิด “นันนัน เจ้ายังไม่หายโกรธป้าอีกหรือ โกรธที่ป้ากับท่านลุงดูแลเจ้าไม่ดีอย่างนั้นหรือ ตอนนั้นที่เจ้าหกล้มในจวนอ๋อง ตกลงไปในบ่อน้ำค่อนคืนกว่าจะมีคนมาพบ เป็นเพราะป้ากับท่านลุงละเลย… ตอนนั้นป้ากับท่านลุงควรใจใส่ใจมากกว่านี้… แล้วก็เรื่องการแต่งงานของเจ้ากับเซวียนผิงโหวอีก… เขาเป็นคนไม่ละเอียดอ่อน… หากรู้แต่แรก… ป้ากับท่านลุงจะขัดขวางการแต่งงานครั้งนั้นให้ถึงที่สุด…”
“พอได้แล้ว!”
“เจ้าอย่าโมโหไปเลย เรื่องใดที่ป้าทำไม่ถูก เจ้าก็บอกมาเถิด เจ้าจะโกรธป้าก็ได้ ด่าทอป้าก็ได้ ป้ายอมรับทั้งนั้น ที่ป้ากับลุงเจ้าต้องไปออกอยู่หัวเมืองกะทันหันก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจควบคุมได้ เดิมทีตั้งใจว่าจะพาเจ้าไปด้วย แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็คือองค์หญิง ไม่อาจอยู่กับพวกข้าไปได้ตลอด เจ้าอย่าได้คิดว่าท่านลุงกับป้าทอดทิ้งเจ้าเลย…”
องค์หญิงซิ่นหยางแทบจะเสียสติแล้ว
ความจริงบางอย่างไม่อาจเปิดเผยได้ไปตลอดกาล
แต่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ เพียงแต่นางยังไม่กล้าก้าวข้ามผ่านปมใจจิตใจ
เหล่าเหลียงอ๋องเฟยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา เอ่ยเสียงสะอื้นจากใจจริง “เจ้าจะโทษป้าอย่างไรก็ได้ แต่ท่านลุงเจ้าก็อายุมากแล้ว ใกล้จะไม่ไหวแล้ว ก่อนจากไปเขาอยากจะพบเจ้าอีกสักครั้ง ท่านลุงเจ้าเอ็นดูเจ้าเป็นที่สุด เห็นแก่ที่เขาเคยรักเจ้า เจ้าช่วยไปพบเขาเป็นครั้งสุดท้ายเถิด”
องค์หญิงซิ่นหยางยกมือกุมอก ก่อนจะไอโขลกด้วยลำคอแห้งผาก “แค่กๆ …”
ขอบตาของนางแดงก่ำ สองอีกฝ่ายด้วยความเคียดแค้น
คนผู้นี้ยังมีหน้า…ยังมีหน้ามาพูดจาเช่นนี้อีกหรือ
องค์หญิงซิ่นหยางโกรธจนสั่นไปทั้งตัว
ทว่าเหล่าเหลียงอ๋องเฟยก็ยังไม่หยุด อ้อนวอนนางอย่างเจ็บปวด ทว่าแววตากลับเปี่ยมไปด้วยความอิจฉาริษยาของสตรี
องค์หญิงซิ่นหยางใกล้จะอดทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว ร่างของสั่นสะเทิ้นอย่างรุนแรง น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลริน นางอยากจะหนีไปให้พ้น แต่กลับขยับเขยื้อนไม่ได้ราวกับต้องมนต์สะกด
ราวกับท้องฟ้าหมุนวน เสียงที่ได้ยินก็เริ่มเลือนลาง
จนกระทั่งนางได้ยินเสียงกรีดร้องของเหล่าเหลียงอ๋องเฟย
“กรี๊ดดด…”
เงาร่างสูงใหญ่พรวดเข้ามา ฝ่ามือหยาบกร้านคว้าลำคอของเหล่าเหลียงอ๋องเฟยเอาไว้ก่อนจะลากนางลงมาจากรถเข็น
ราวกับลากถุงกระสอบมิปาน ไม่ว่าเหล่าเหลียงอ๋องเฟยจะร้องโหยหวนแค่ไหน นางก็ยังถูกลากออกไปกลางลานบ้านก่อนจะถูกโยนออกไปนอกเรือนอย่างไม่ใยดี
เหล่าเหลียงอ๋องเฟยอายุมากแล้ว โดนฉุดกระชากลากถูเช่นนั้น นางก็แทบจะสิ้นใจอยู่รอมร่อ
“อ๋องเฟย!”
แม่นมกุ้ยและพรรคพวกกรูเข้าไปพยุง
เหล่าเหลียงอ๋องเฟยเอนกายพิงในอ้อมอกของแม่นมกุ้ยอย่างเหนื่อยล้า สายตาทอดมองชายอำมหิตด้วยลมหายใจหอบกระชั้น “เซวียน…เซวียน…ผิง…โหว”
เซวียนผิงโหวเชิงคงมองต่ำลงมาที่นาง “ข้านั้นเคารพผู้อาวุโส เอ็นดูผู้เยาว์ แต่ข้าไม่เคารพเดรัจฉานหนังเหนียวหรอกนะ”
ทุกคนตกตะลึงกับคำพูด
เซวียนผิงโหวบ้าไปแล้วหรือ! เขากล้าพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร!
แม่นมกุ้ยมองเขาด้วยไฟโกรธสุมทรวง “เซวียนผิงโหว! ท่านกล้าพูดจาเหยียดหยามเหล่าเหลียงอ๋องเฟยเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่กลัวหัวหลุดออกจากบ่ารึ!”
เซวียนผิงโหวแค่นหัวเราะ ยกเท้าขึ้นถีบจนเหล่าเหลียงอ๋องเฟยกับแม่นมกุ้ยกระเด็นไปไกล
เหล่าเหลียงอ๋องเฟยเลือดกระอัก
ทุกคนต่างตื่นตระหนก
พวกนางนึกถึงข่าวลือในเมืองหลวงที่ว่าเซวียนผิงโหวคือเรื่องซิบซุบนินทาของชาวเมืองสามเวลาหลังอาหาร แต่อย่างมากก็เอ่ยถึงว่าเขานั้นเจ้าชู้ประตูดินอย่างไร หน้าไม่อายอย่างไร หรือไม่ก็โมโหร้ายแค่ไหน แต่กลับไม่เคยตำหนิติเตียนเขา
น้อยนักที่เขาจะแค้นเคืองผู้ใด อย่างมากก็แค่กวนประสาท
เขาออกจะมีอารมณ์ขันด้วยซ้ำ
ทว่ายามนี้ ร่างทั้งร่างของเขาปกคลุมไปด้วยม่านหมอกเย็นเยียบ ราวกับกระบี่ยาวสีเงินวาววับส่องประกาย
————————————-