สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 627 พบกั๋วกงอีกครั้ง
บทที่ 627 พบกั๋วกงอีกครั้ง
กู้เจียวที่อยู่ในสภาพสะลึมสะลือจะรู้เรื่องที่อาจารย์กำลังสอนอยู่ได้อย่างไร
นางขยิบตาให้จงติ่ง เขาค่อยๆ กางหนังสือออก ก่อนจะชี้ไปที่คำอธิบายประกอบที่เขาเขียน
กู้เจียวมองตามนิ้วของเขาพร้อมกระตุกมุมปาก สหาย นี่มันภาษาแคว้นจ้าวนะ…
กู้เจียวตอบคำถามไม่ได้ จึงถูกทำโทษให้คัดบทเรียนห้าสิบครั้ง
กู้เจียวกัดฟันกรอดก่อนจะนั่งลง
ดีมาก
งามหน้าเสียจริง
แต่ที่งามหน้ายิ่งกว่านั้นคือ พอหลังจากเลิกเรียน กู้เจียวถูกเรียกไปที่ห้องพักครู รับทัณฑ์บน
กู้เจียวถึงกับตัวสั่น “เหตุใดข้าถึงได้รับทัณฑ์บน”
อาจารย์เจียงตอบกลับ “ห้ามบัณฑิตทุกของสำนักไปสถานที่อโครจร ผู้ใดฝ่าฝืนจะได้รับทัณฑ์บน!”
กู้เจียว “…”
สำนักบัณฑิตเทียนฉงมีโรงอาหารในตัว กู้เจียวและกู้เสี่ยวซุ่นจึงทานข้าวกลางวันที่สำนักบัณฑิต
ค่าอาหารรวมอยู่ในค่าฝากเรียนแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายเพิ่ม
“ท่านพี่!” กู้เสี่ยวซุ่นวิ่งเตาะแตะมายังหน้าประตูหมิงซินถัง
กู้เจียวหยิบทัณฑ์บนให้เขาดู พลางถาม “เป็นอย่างไรบ้างวันนี้”
“ก็ดี” กู้เสี่ยวซุ่นตอบ
กู้เจียว “เจ้าได้เผลอหลับไหม”
“เอ่อ ก็มีนะ” การเรียนมักมาพร้อมกับการนอนอยู่แล้วมิใช่รึ
กู้เจียวทำหน้านิ่ง “ไม่ถูกอาจารย์เรียกชื่อรึ”
“ก็ไม่นะ” กู้เสี่ยวซุ่นส่ายหัว
เผลอหลับเหมือนกัน แต่ทำไมมีแต่นางที่โดนเรียกเล่า
เป็นเพราะเจ้ามู่ชิงเฉินนั่นแท้ๆ
กู้เจียวรู้ดีว่าเขาจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ คืนนั้นที่เขาถูกนางลักพาตัวถือเป็นความอับอายตลอดชีวิตสำหรับเขาในฐานะคุณชาย และเขาต้องกู้สถานการณ์กลับคืนมา
กู้เจียวหรี่ตามองไปที่แผ่นหลังของมู่ชิงเฉิน
“ท่านพี่ เหตุใดถึงเอาแต่จ้องเขาอยู่ได้ล่ะ” กู้เสี่ยวซุ่นสังเกตสายตาของกู้เจียว
“ไม่มีอะไร ก็มองคนหล่อไง ไปกันเถอะ หิวแล้ว” กู้เจียวเบนสายตากลับมาที่เดิม
“อ้อ” ขณะที่เขากำลังว้าวุ่นกับเรื่องของกิน พอได้ยินคำตอบของกู้เจียว ก็รีบเข้าไปกระซิบใกล้ๆ “แต่ท่านพี่ ไยถึงพูดออกมาว่าคนอื่นหล่อล่ะ ระวังพี่เขยหึงเอานะ”
ก็เห็นเจ้าถามข้าก็เลยตอบแบบขอไปที ไม่ได้รึ
โชคดีที่กู้เสี่ยวซุ่นมัวสนใจอาหารมากกว่า เรื่องนั้นจึงถูกปัดตกไป “พวกเราจ่ายเงินไปตั้งเยอะขนาดนั้น ไม่รู้ว่าอาหารที่นี่จะอร่อยหรือไม่”
ทั้งสองคนเดินมาถึงโรงอาหาร มู่ชิงเฉินก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน ทุกคนในโรงอาหารต่างพากันจับจ้องไปที่เขา แต่ด้วยท่าทีไม่เป็นมิตร จึงไม่มีใครกล้าเข้าหาเขา
“ชิงเฉิน!”
มีบัณฑิตคนหนึ่งโบกมือให้มู่ชิงเฉินจากชั้นสอง
มู่ชิงเฉินเงยหน้าขึ้นมองคนผู้นั้น แล้วก้าวขึ้นบันได
อาหารกลางวันเป็นซาลาเปาและเครื่องเคียงเนื้อสัตว์และผัก ถ้าไม่อิ่มขอเพิ่มได้เป็นบางอย่าง
ด้วยความที่ชั้นหนึ่งมีคนนั่งเยอะแล้ว พวกเขาจึงจะขึ้นไปชั้นสอง แต่กลับถูกเจ้าหน้าเหลี่ยมขวางทางไว้
เจ้าหน้าเหลี่ยมที่เพิ่งถูกมู่ชิงเฉินหักหน้ามาหมาดๆ ดันไม่โกรธ แต่กลับมาลงกับกู้เจียวแทน “จะไปไหนรึ เซียวลิ่วหลัง ”
“คงอยากจะขึ้นไปหามู่ชิงเฉินสินะ!” เจ้าตาสามเหลี่ยมโพล่งขึ้นพร้อมหัวเราะเสียงดัง
ส่วนเจ้าหน้าเหลี่ยมเอามือกอดอก แล้วชี้นิ้วโป้งขึ้นไปที่ข้างบนพร้อมเอ่ยด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง “ข้างบนนั้นไม่ใช่ที่ที่คนจากแคว้นชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าจะขึ้นไปนั่งได้นะ”
จงติ่งที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างจากระยะไกลจึงรีบวางจานข้าวของตัวเองลงแล้วเดินไปหากู้เจียว “ที่นั่งข้างบนไม่ได้มีไว้สำหรับบัณฑิตธรรมดาอย่างพวกเราหรอก”
ต้องเป็นคนระดับมู่ชิงเฉินที่เป็นลูกหลานของตระกูลสูงส่งเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ขึ้นไปนั่งได้
กู้เสี่ยวซุ่นบ่นอุบอิบ “สำนักบัณฑิตบ้าอะไรกันถึงได้มีกฎเยอะขนาดนี้”
กู้เจียวแค่อยากให้ทุกอย่างคลี่คลาย ถ้าขึ้นไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
“เสี่ยวซุ่น ไปกันเถอะ” กู้เจียวเอ่ย
“อื้อ!”
กู้เสี่ยวซุ่นจึงเดินตามกู้เจียวไป
เจ้าหน้าเหลี่ยมและพรรคพวกถึงกับออกอาการมึนงง
“เดี๋ยวก่อนสิ…เดินออกไปง่ายๆ แบบนี้เลยรึ” เจ้าตาสามเหลี่ยมเอ่ยพลางมองตามหลังกู้เจียว
พลางคิดในใจว่าจะไม่เถียงกับพวกเขาหน่อยรึ อย่างเช่น เถียงหน่อยสิว่าเป็นคนจากแคว้นชั้นต่ำแล้วมันยังไง บัณฑิตยังต้องมีแบ่งชนชั้นกันอีกด้วยหรือ มาทำเป็นอวดเบ่งอยู่ได้
เถียงไม่ออกรึยังไง
“พวกมันทำเหมือนพวกเราเป็นอากาศสินะ” เจ้าตาสามเหลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยความงุนงง
กู้เจียวหามุมเงียบๆ แล้วนั่งกินข้าวกับกู้เสี่ยวซุ่น
กู้เจียวรู้ว่าน้องชายของนางชอบกินเนื้อ ก็เลยแบ่งเนื้อให้เขา
แม้จะบอกว่าถ้าไม่อิ่มก็เติมได้ แต่พวกเขาตักเนื้อสัตว์ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น
กู้เสี่ยวซุ่น “ท่านพี่ เก็บไว้กินเองเถอะ”
กู้เจียว “เจ้ากินเถอะ ข้ากินไม่หมด”
ขณะเดียวกัน ที่โรงอาหารชั้นสอง เด็กหนุ่มรูปงามสวมที่คาดศีรษะสีขาวกำลังจ้องไปที่มู่ชิงเฉินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะ “ลมอะไรหอบเจ้ามาที่นี่ล่ะ ก่อนหน้านี้ข้าออกปากชวนเจ้ามาเข้าเรียนตั้งหลายครั้ง เจ้าก็ไม่ยอมมา คราวนี้ถึงกับมาสองวันติด แถมยังมากินข้าวที่โรงอาหารอีกด้วย นี่ข้าตาฝาดไปหรือเปล่านะ”
มู่ชิงเฉินไม่โต้ตอบอะไร ทว่าสายตาของเขากลับเหลือบมองไปที่กู้เจียวที่กำลังยกเนื้อสัตว์ในชามของตัวเองทั้งหมดให้น้องชาย ก่อนกลับมามองอาหารอันโอชะที่วางอยู่ตรงหน้า แล้วเอ่ยถามขึ้น “กินกันแค่สองคน ต้องสั่งเยอะขนาดนี้เชียวรึ”
“นี่เยอะแล้วหรือ กับข้าวแปดอย่างเองนะ” ชายหนุ่มคาดหัวเอ่ยตอบ
ชายหนุ่มมองตามสายตาของมู่ชิงเฉิน จากนั้นแสยะยิ้มเอ่ย “อะไรกัน บัณฑิตคนนั้นกวนใจเจ้าอยู่สินะ แต่ก็ไม่แปลกหรอก ดูสิ เจ้านั่นมีใบหน้าที่อัปลักษณ์ยิ่งนัก ไม่เจริญตาเอาเสียเลย อย่ากังวลไป ภายในสามวัน ข้าจะทำให้มันออกจากสำนักบัณฑิตเทียนฉงให้ได้!”
“ก็ลองสิ ถ้าเจ้าไม่รักตัวกลัวตาย” มู่ชิงเฉินหรี่ตามองคนตรงหน้า
“ฟังจากที่เจ้าพูดแล้ว แปลว่า ข้าไม่สามารถต่อสู้กับพวกแคว้นล่างได้อย่างนั้นรึ” เมื่อครู่นี้ชายหนุ่มคาดหัวได้ยินเรื่องที่พวกเขาเป็นคนจากแคว้นเจา
เอ่ยจบ เหมือนว่านึกอะไรขึ้นได้ จึงจ้องไปที่มู่ชิงเฉินด้วยท่าทีสงสัย “หรือเจ้า คิดจะปกป้องเขา”
“เจ้าคิดเยอะเกินไปแล้ว” มู่ชิงเฉินพูดพลางดันจานกับข้าวให้คนตรงหน้า “ก้มหน้าก้มตากินข้าวไป อย่าทำให้บิดาของเจ้าต้องเดือดร้อน”
พอเอ่ยถึงบุพการี ชายหนุ่มคาดหัวก็ไม่พูดอะไรต่อดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
คาบบ่าย กู้เจียวยังคงนั่งข้างจงติ่ง
ช่วงบ่ายเป็นคาบของอาจารย์เกา กู้เจียวยังคงเอามือเท้าคางแล้วแอบหลับเหมือนเดิม
จงติ่งมั่นใจอย่างมากว่าเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาแทบไม่ได้ฟังอาจารย์พูดแม้แต่คำเดียว ดังนั้นเขาจึงจดบันทึกไว้ให้ แน่นอนว่าครั้งนี้เขาไม่เขียนด้วยภาษาแคว้นจ้าวแล้ว
“ทำอะไรมาเมื่อคืน” หลังเลิกเรียน จงติ่งถามกู้เจียว
“ไม่ได้ทำอะไรนี่” กู้เจียวตอบ
“อ่ะนี่” จงติ่งยื่นสมุดจดบันทึกของเขาให้ “คราวหน้าเจ้าอย่าทำแบบนี้อีกล่ะ อาจารย์เกาคือหนึ่งในอาจารย์ที่เข้มงวดที่สุดของสำนักบัณฑิต วิชาของเขามีทดสอบทุกเดือน คนที่สอบไม่ผ่านจะต้องลำบากแน่ๆ ”
“รู้แล้วน่า” กู้เจียวอ้าปากหาวหวอด ก่อนยื่นมือรับสมุดแล้วเก็บลงกระเป๋า เตรียมตัวจะออกจากห้องเรียน
ส่วนจงติ่งยังคงนั่งทำโจทย์อยู่
“ข้อสามเจ้าทำผิดนะ” กู้เจียวเอ่ยขึ้นลอยๆ
จงติ่งทำหน้าเหวอพร้อมหันไปหากู้เจียว ก่อนจะหันไปมองรอบๆ “นี่เจ้า อยากพูดกับข้าขึ้นมาแล้วงั้นรึ”
“คำตอบคือสิบเก้า” กู้เจียวเอ่ยขึ้นทั้งๆ ที่ไม่ได้มองโจทย์ด้วยซ้ำ จากนั้นก็คว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไป
“จะเป็นสิบเก้าได้อย่างไร ไม่ใช่สิบเจ็ดหรอกรึ นี่เจ้าอ่านโจทย์แล้วหรือยัง อย่ามาพูดมั่วซั่วนะ” จงติ่งไม่เชื่อหรอก คนที่หลับทั้งคาบแบบนั้นเอาอะไรมาทำโจทย์เป็น
…
หลังมื้อเย็น กู้เจียวตัดสินใจเข้าเมืองอีกครั้ง
อาจารย์แม่หนานทักขึ้น “ในเมืองมีการกักบริเวณ ไม่รอให้สถานการณ์ผ่านไปก่อนจะดีกว่าหรือ”
กู้เจียวตอบกลับ “สถานการณ์เช่นนี้ไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะผ่านไปได้ แต่อาเหยี่ยนรอไม่ได้”
อาจารย์แม่หนานแอบคิดว่าในเมื่อที่ผ่านมาไปถามโรงหมอตั้งมากมายแต่ก็ไม่ได้คำตอบเสียที เกรงว่าห้องผ่าตัดอะไรนั่นคงจะไม่มีอยู่จริง
แต่ความไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาของกู้เจียวทำเอาอาจารย์แม่หนานพูดอะไรไม่ออก
บางคนก็ยอมรับชะตา แต่บางคนก็ไม่ กู้เจียวคือคนประเภทที่นอกจากจะไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาแล้ว หากทำได้คงกล้าท้าสวรรค์เพื่อช่วงชิงโชคชะตามาด้วย
“เจ้าต้องระวังตัวนะ” อาจารย์แม่หนานกำชับ
“ข้าจะระวังตัว” กู้เจียวเปลี่ยนเสื้อเสร็จก็ให้กู้เสี่ยวซุ่นพาไปส่งที่ประตูเมืองชั้นใน
“เจ้าเด็กคนนี้นี่นะ” อาจารย์หลู่ถอนหายใจ
อาจารย์แม่หนาน “นางทำให้ข้านึกถึงใครคนหนึ่ง”
อาจารย์หลู่ “ใครรึ”
อาจารย์แม่หนาน “ท่านกั๋วกงไงล่ะ”
“เจ้าหมายถึงอันกั๋วกงรึ” อาจารย์หลู่ถึงกับหน้าเสีย “ช่วงนี้เห็นเจ้าพูดถึงเขาบ่อยเหลือเกิน ถ้าเป็นแบบนี้อีกข้าจะโกรธจริงๆ ละนะ!”
อาจารย์แม่หนานหันไปมองสามีด้วยสายตาขุ่นเคือง “ข้าก็แค่มองว่าเจียวเจียวในตอนนี้คล้ายกับอันกั๋วกงสมัยก่อน ยังจำเรื่องงานแต่งงานของเขากับคุณหนูเซวียนหยวนได้หรือไม่”
อาจารย์หลู่ฉุนขาด “ข้ามิใช่คนแคว้นเยี่ยน แล้วก็ไม่ได้มาอาศัยอยู่ที่นี่นานเช่นเจ้า ข้าจะไปจำเรื่องพวกนั้นได้อย่างไร”
อาจารย์แม่หนานถลึงตาใส่เขา ทั้งรู้สึกโกรธแต่ก็อดขำไม่ได้ในคราวเดียวกัน “คุณหนูเซวียนหยวนเคยพูดกับท่านกั๋วกงว่า ‘คนอย่างท่านทำอะไรก็ไม่เป็น สู้ข้าก็ไม่ได้ บิดาของข้าเคยกล่าวไว้ หากบุตรสาวตระกูลเซวียนหยวนต้องออกเรือน ย่อมต้องได้ครองคู่กับชายที่กล้าหาญและแข็งแกร่งที่สุดในปฐพี’”
อาจารย์หลู่ออกอาการสงสัย “แต่สุดท้ายพวกเขาก็ได้แต่งงานกันอยู่ดี”
อาจารย์แม่หนานหัวเราะ “ก็ใช่น่ะสิ ใครๆ ก็มองว่าเป็นไปไม่ได้ แต่กั๋วกงอันเป็นคนไม่ยอมแพ้ เจียวเจียวก็เหมือนกัน”
“ข้ากลับมองว่า…การช่วยชีวิตกู้เหยี่ยนนั้นยากเสียกว่าเรื่องความรักของพวกเขาเสียอีก” อาจารย์หลู่ทอดถอนใจ
หากจะพูดว่ายากเหมือนเหาะขึ้นฟ้าก็ไม่ปาน กั๋วกงอันแค่ต้องแข่งกับชายอื่น แต่เจียวเจียวนี่สิ นางกำลังแข่งกับยมทูต
อาจารย์แม่หนานถอนหายใจ “ก็ใช่น่ะสิ แถมเจียวเจียวไม่ได้มีญาติสนิทมิตรสหายอยู่ที่แคว้นเยี่ยนเลย ลำบากกว่าเดิมอีก”
ดูเหมือนว่าในเมืองจะยิ่งตรวจเข้มงวดมากขึ้น คราวนี้กู้เจียวไม่เลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ใต้รถ แต่ใช้วิธีอำพรางตัวให้แนบเนียนไปกับกองผ้าไหม
“หยุดรถ!”
เมื่อมาถึงประตูเมืองชั้นใน ทหารยามก็สั่งหยุดรถม้า พวกเขาไม่เพียงตรวจแค่รอบๆ แต่ยังตรวจบริเวณใต้รถรวมถึงสั่งให้เปิดกล่องสินค้าออก พอเห็นว่าเป็นผ้าไหมก็ไม่ติดใจอะไรและปล่อยผ่านไป
พอรถม้ามาถึงที่หมาย สารถีก็เรียกให้คนมาขนของ
กู้เจียวใช้โอกาสนี้รีบออกมาจากกล่อง พอมองไปรอบทิศก็ถึงกับมึนงง
มาโผล่ที่จวนกั๋วกงอีกแล้วรึ
“เอาละ พวกเจ้าขนกล่องผ้านี้ไปที่ตำหนักของฮูหยินรองเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ!”
“ส่วนผ้าไหมและเครื่องประดับที่เหลือทั้งหมดนี้เป็นรางวัลจากฮูหยินรองที่มอบให้แม่นางมู่ ตอบแทนที่นางทำหน้าที่รักษาท่านกั๋วกง”
“พวกข้าน้อยรับทราบขอรับ!”
เสียงบทสนทนาเริ่มเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ กู้เจียวจึงเลือกเดินออกไปอีกทาง
ทันใดนั้นมีเงาดำปริศนาเคลื่อนตัวผ่านพื้นสนามหญ้าบริเวณใกล้ๆ ที่จริงหากกู้เจียวไม่ได้อยู่แถวนั้นพอดีก็แทบจะมองไม่เห็นเลย
หัวใจของนางเริ่มบีบตัวพร้อมกับสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร
เงานั้นพุ่งตรงไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งเป็นที่ตั้งของตำหนักกั๋วกง
มีคนคิดจะลอบสังหารกั๋วกงอย่างนั้นรึ!
หนานเซียงเคยเตือนกู้เจียวไว้ว่าไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับจวนกั๋วกง ให้คิดเสียว่าเขาเป็นแค่คนแปลกหน้า
“เอาละ ไม่ยุ่งก็ได้ ที่จวนนี้ก็มีคนดูแลตั้งมากมาย ไม่ต้องถึงมือตัวเองหรอก”
เงาปริศนาที่ว่านั้นหลบเลี่ยงทหารยามลาดตระเวนทั้งหมดและแอบเข้าไปในตำหนักของกั๋วกงได้สำเร็จ
เหลียนเชี่ยวคนที่เป็นสาวใช้ประจำตำหนักดูเหมือนจะแอบอู้งานอีกแล้ว ทั้งห้องเหลือแค่กั๋วกงอยู่แค่คนเดียว
มือสังหารสวมชุดสีเทาค่อยๆ ย่องมาที่เตียงพร้อมกับกริชแวววาวในมือ
แสงที่สะท้อนจากกริชตกลงไปที่เปลือกตาของกั๋วกงที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ไม่แน่ชัดว่ากั๋วกงสัมผัสได้หรือไม่ ทว่ามือของกั๋วกงเริ่มขยับเล็กน้อย
เขาพุ่งกริชแล้วเล็งไปยังหน้าอกซ้ายของกั๋วกง!
ปัง!
ทันใดนั้น ร่างเล็กพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วและเตะมือสังหารออกไป!
จนร่างของมือสังหารชนเข้ากับเสาและล้มลง กู้เจียวไม่รอช้า รีบพุ่งตัวเข้าไปเตะซ้ำโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้มีจังหวะลุกขึ้น!
มือสังหารมองชายหนุ่มสวมหน้ากากอย่างเย็นชาที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น เมื่อรู้ว่าแผนการลอบสังหารในวันนี้ล้มเหลว เขาไม่ต้องการต่อสู้อีกต่อไป ก่อนกระโดดหนีออกไปนอกหน้าต่าง
กู้เจียวคว้ากริชที่อีกฝ่ายทำตกไว้แล้วเก็บเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ
จากนั้นเดินมาที่เตียง แม้มือสังหารจะทำไม่สำเร็จ กระนั้นกลับทิ้งรอยแผลไว้ที่หลังมือของกั๋วกง
“ข้าทำแผลให้” กู้เจียวใช้น้ำเสียงที่แท้จริงของตนเอ่ยกับกั๋วกง เพราะรู้ว่าไม่มีใครมาได้ยินอยู่แล้ว
ทว่านิ้วของกั๋วกงเริ่มขยับเล็กน้อย
“ท่านได้ยินที่ข้าพูดใช่ไหม” กู้เจียวพึมพำ
จากนั้นนิ้วของกั๋วกงก็ขยับอีกครั้ง
ดูท่าคงจะได้ยินจริงๆ เป็นสัญญาณที่ดีที่ผู้ไข้เริ่มตอบสนองกับสิ่งเร้าภายนอก
กู้เจียวควักห่อปฐมพยาบาลฉุกเฉินออกมา “เดี๋ยวข้าขอทำแผลก่อน อย่าเพิ่งขยับนะ”
หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง กู้เจียวก็เอ่ยเสริม “ไม่เจ็บหรอก”
————————————