สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 638 จากลาไกล พบกันใหม่ย่อมหวานชื่น
บทที่ 638 จากลาไกล พบกันใหม่ย่อมหวานชื่น
เซียวเหิงเหมือนถูกฟ้าผ่า ร่างทั้งร่างแข็งค้างอยู่ตรงนั้น ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะได้สติกลับมา
เขาก้มมองดูตนเองในชุดเครื่องแบบลายดอกไม้ ก่อนจะถกชายกระโปรงเตรียมวิ่งหนี
กู้เจียวยื่นฝ่ามือบอบบางของตนออกไป ก่อนจะคว้าเสื้อนอกของเขาไว้แล้วรั้งเขากลับเข้ามาในห้อง เสียงประตูปิดดังปัง ร่างของเขาถูกดันให้แนบไปกับกำแพง แถมกู้เจียวยังใช้มืออีกข้างหนึ่งเอื้อมไปด้านหลังบั้นเอวเขาแล้วลงกลอนประตู
ทุกการกระทำนั้นไร้การติดขัด เสร็จสิ้นลงในชั่วพริบตา
กู้เจียวมองเซียวเหิง เซียวเหิงแทบจะหยุดลมหายใจ
อยากจะบอกว่านางลงมือได้อย่างหล่อเหลายิ่งนัก แต่แววตาของนางนั้นดุดันเสียเหลือเกิน ในหัวของเซียวเหิงพลันขาวโพลนไปหมด
ทุกอย่างเกินขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เซียวเหิงไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงยังไม่กลับไปอีก ทั้งๆ ที่นางเอ่ยปากขอตัวลาแล้ว ทั้งๆ ที่เขาได้ยินอย่างชัดเจนว่านางออกไปแล้ว
แต่ความจริงแล้วคนที่จากไปคือนักแสดงที่ตัวเองจ้างมาจากโรงละครต่างหาก
กู้เจียวมองเซียวเหิงด้วยแววตาเย็นชา ปลายนิ้วไล้ไปตามดวงหน้างดงาม หรี่ตามองอย่างมีเลศนัย “คุณสามียามนี้ใครเห็นเป็นต้องตกหลุมรัก นับแต่วันนี้ไป ข้าควรเรียกคุณสามีว่าใต้เท้าเซียว หรือว่าเรียกคุณสามีว่าแม่นางเซียวคนงาม”
เซียวเหิงกลืนน้ำลายลงคอ ใบหน้าแดงก่ำ มองนางอย่างขุ่นเคือง “เจ้ายังมีหน้ามาโกรธข้าอีกหรือ ตอนนั้นผู้ใดกันที่วางยาข้า หนีข้าไป ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีเจ้าเรื่องนี้เลย!”
ดวงตาของกู้เจียวกลอกซ้ายขวา “อ้อ”
ลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิทเลย
กู้เจียวคลายมือที่กำเสื้อนอกของเขาลง ก่อนจะช่วยเขาจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ แววตาดูอ่อนลงไม่น้อย
ดูเข้าสิ เอาอีกแล้ว
แม่หนูนี่พอตัวเองเป็นฝ่ายผิดก็จะแสร้งทำออดอ้อน
เขาจะยกโทษให้นางเร็วขนาดนั้นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นนางจะหลาบจำได้อย่างไร วันหน้าหากเกิดเรื่องเช่นนี้อีก นางคงทิ้งเขาไปอีก!
เซียวเหิงดึงมือของนางออก ก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างโต๊ะด้วยท่าทีแสนเย็นชา
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะลงนั่งข้างกายเขา
กู้เจียวยกกาน้ำชาขึ้นมารินชาให้เขา
“ร้อน!” เขาลืมว่าต้องปัดป้องกู้เจียว แต่กลับคว้าผ้าผืนหนาบนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะคว้ากาน้ำลงจากเตา
จากนั้นถึงได้รู้ว่าตัวเองไม่ควรทำเช่นนั้น แบบนี้แล้วเหมือนตัวเองยกโทษให้นางแล้วอย่างไรอย่างนั้น พอนึกขึ้นได้ก็ปั้นหน้าบูดบึ้งอีกครั้ง
นอกจากจะต้องคิดบัญชีกับกู้เจียวแล้ว เขายังมีอีกเหตุผลหนึ่งคือต้องการเบนสายตา ไม่อยากให้กู้เจียวสนใจเสื้อผ้าสตรีบนตัวเขา
กู้เจียวสองมือเท้าแก้มมองเขา “คุณสามี ที่แท้หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งสำนักบัณฑิตสตรีคือท่านนี่เอง”
ก็เป็นอย่างที่ว่ากันไม่มีผิด มิน่าล่ะแม้แต่ซูเสวี่ยยังอิจฉา สามีของนางสวยที่สุด ไม่ขอรับความเห็นต่าง!
เซียวเหิงสำลัก
โชคดีที่ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ในห้องไม่ได้จุดตะเกียง มองไม่เห็นว่าเขากำลังหน้าแดง
“ก็เพราะเจ้ามิใช่หรือ” น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึม
“อืม” กู้เจียวยกยิ้มมุมปาก กะพริบตาปริบๆ มองเขา
เซียวเหิง “ข้ากำลังพูดเรื่องจริงจังกับเจ้าอยู่นะ”
กู้เจียว “อื้ม”
แต่ก็ยังคงจับจ้องเขาอยู่อย่างนั้น
เซียวเหิงถูกมองจนแทบอยากจะยกมือขึ้นมาปิดตานาง
กู้เจียวยกยิ้มมุมปากพลางเอ่ย “คุณสามีแบบนี้ก็เปลี่ยนบรรยากาศไปอีกแบบนะเนี่ย”
ยัยเด็กคนนี้นี่หยุดพูดสักทีจะได้ไหม!
หากไม่ใช่เพราะนางเอาหนังสือตอบรับเข้าเรียนของเขาไป มีหรือเขาจะต้องใช้ของนางแทน!
“เมื่อครู่เจ้ารู้ได้อย่างไร” เซียวเหิงพยายามเบี่ยงประเด็นสุดชีวิต
“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะหรือ” กู้เจียวเอ่ย “นางเป็นคนบอกเอง”
เซียวเหิงชะงักไป แล้วก็เห็นว่ากู้เจียวกำลังมองมาที่แผ่นกระดาษบนโต๊ะ
บนโต๊ะมีลายมือสองแบบ แบบแรกเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใช้มือข้างที่ไม่ถนัดเขียน เอียงโย้เย้ไปหมด ส่วนอีกแบบหนึ่งกลับฝีแปรงสม่ำเสมอ ตัวอักษรเป็นระเบียบ
กู้เจียวเอ่ยต่อ “ตอนที่ข้ากำลังจะออกไป ตั้งใจทำกริชเล่มหนึ่งตกตรงหน้านาง นางใช้มือขวาเก็บขึ้นมา”
นางตั้งใจทำกริชตก เพื่อหยั่งเชิงว่าดูว่ามือขวาของนางบาดเจ็บจริงหรือไม่
เซียวเหิงขมวดคิ้ว “เจ้าสงสัยตั้งแต่แรกเลยหรือว่านางโกหก”
ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เซียวเหิงวางแผนได้อย่างรัดกุม ไม่ได้มีช่องโหว่ขนาดนั้น นิสัยของหญิงสาวผู้นี้แม้จะตรงตามคำเล่าลืออยู่ไม่น้อย แต่ก็ใช่ว่าคำเล่าลือจะเป็นเครื่องยืนยันได้ทั้งหมด
กู้เจียวมีหลักเกณฑ์การทดสอบและตรรกะของตนเอง ไม่เอนเอียงไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
กู้เจียวชี้ไปที่หุ่นบนเตียง “ว่าแต่เหตุใดเจ้าถึงต้องวางหมอนแสร้งทำเป็นคนด้วย”
เซียวเหิงยักคิ้ว ก่อนจะพึมพำด้วยเสียงที่มีเพียงตนเองที่ได้ยิน “ก็ แค่อยากเล่นซนน่ะ”
กู้เจียว “…”
ในที่สุดกู้เจียวก็ได้เข้าใจเรื่องราวที่เกิดทั้งหมดจากปากของเซียวเหิงสักที ที่แท้นางเองก็ได้ตอบรับเข้าสำนักบัณฑิตสตรี นางชักจะเริ่มประหลาดใจกับนักบวชเฒ่าหนวดขาวผู้นั้นเข้าไปเสียทุกที ช่างเป็นพระที่จิตใจเมตตาดีแท้
อีกอย่าง ที่เสี่ยวจิ้งคงไม่ยอมเอ่ยถึงเซียวเหิงเลยก็ไม่ได้มีเหตุผลอื่นใด เพียงแค่ไม่อยากไปเรียนหนังสือก็เท่านั้น
เสี่ยวจิ้งคงเรียนในห้องเด็กอัจฉริยะ แต่ห้องเด็กอัจฉริยะที่ดีที่สุดของแคว้นเยี่ยนอยู่ในเมืองชั้นใน รั้วเดียวกันกับสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน
กู้เจียวมุมปากกระตุก เจ้าหนูนี่โดดเรียนเป็นกับเขาแล้วหรือ
เซียวเหิงเห็นสีหน้ากู้เจียวตกตะลึงกับความจริงที่เกิดขึ้น ก็หัวเราะเสียงเย็นออกมา “เหอะ เขาก็เชื่อฟังเฉพาะยามอยู่ต่อหน้าเจ้านั่นแหละ”
คงไม่รู้ว่าลับหลังแล้วคือปีศาจน้อยจากภพภูมิใดสินะ!
“อาการของกู้เหยี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง” เซียวเหิงถาม
กู้เจียวตอบ “เขาฟื้นขึ้นมาแล้ว ตอนนี้ใช้ยาพยุงอาการ ข้าลาเรียนให้เขาที่สำนักบัณฑิตแล้ว สำนักบัณฑิตก็อนุญาตแล้ว อาจารย์แม่หนานหาบ้านใกล้ๆ ให้หลังหนึ่ง ข้ากับเสี่ยวซุ่นไม่ได้พักที่สำนัก กลับมานอนที่บ้านทุกคืน”
ได้ยินดังนั้น เซียวเหิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ไม่รู้ว่าโล่งอกเพราะอาการของกู้เหยี่ยนไม่เป็นอะไรมากในยามนี้ หรือว่าโล่งอกที่นางไม่นอนที่หอพักชายกันแน่
เซียวเหิงเอ่ย “เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อเจ้าก็มาแล้ว พวกเราก็ควรจะสลับตัวกลับได้แล้ว”
กู้เจียวถามเขาอย่างสงสัย “ทำไมต้องสลับตัวกลับด้วย”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เซียวเหิงเอ่ย “ทำไมน่ะหรือ เจ้าอยากจะแต่งเป็นชายต่อไปหรืออย่างไร อยู่ใกล้ชิดกับพวกบุรุษทุกวันเช่นนั้น เหมาะสมแล้วหรือ”
กู้เจียวมองเขาพลางเอ่ย “แต่ตัวตนของเจ้าปลอดภัยกว่านี่นา พวกคนที่คิดอยากจะฆ่าเจ้าคงคาดไม่ถึงแน่นอนว่าเจ้าจะเข้ามาในแคว้นเยี่ยนด้วยตัวตนนี้”
เซียวเหิงไม่รู้จะเถียงกลับอย่างไร เพราะความจริงก็เป็นเช่นที่นางพูด เขาเข้ามาในแคว้นเยี่ยนได้ระยะหนึ่งแล้วแต่ก็ยังไม่พบว่ามีผู้ใดไล่ล่า ถึงขั้นว่ามีครั้งหนึ่งที่เขากับพวกตระกูลหนานกงเข้าพักที่โรงเตี๊ยมเดียวกัน แต่พวกคนตระกูลหนานกงก็เดินผ่านหน้าไปโดยที่จำเขาไม้ได้ด้วยซ้ำ
ในยามนี้ตัวตนนี้ของเขาคือเกราะกำบังที่แข็งแกร่งที่สุด
เพียงแต่…
กู้เจียวเข้าใจว่าเขากำลังกังวลเรื่องใดอยู่ “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าเลย หนานกงลี่เคยพบเจ้า รู้ว่าเจ้าไม่ได้หน้าตาเหมือนข้า อย่างมากก็คงคิดว่าข้าชื่อแซ่เดียวกันเท่านั้น หรือไม่ก็แอบแฝงปลอมตัวเป็นเจ้า แค่พวกเราไม่ติดต่อกันให้ใครรู้ ไม่ไปมาหาสู่ ก็คงไม่มีใครรู้ว่าพวกเราสลับตัวกันแล้ว”
ยุคนี้ไม่ใช่ยุคอินเทอร์เน็ตเสียหน่อย ข่าวคราวไม่ได้แพร่กระจายเร็วอย่างที่คิด
“พวกเราก็ระวังตัวให้มากหน่อย อย่าเผยพิรุธ” กู้เจียวเอ่ยพลางทุบหน้าอก “นี่คือแผนการที่ดีที่สุดในตอนนี้ เจ้าเชื่อข้าเถอะ!”
เซียวเหิงจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของนาง เขาเอ่ยด้วยแววตาซับซ้อน “อันที่จริงเจ้าอยากชกต่อยมีเรื่องกับคนอื่นใช่ไหมล่ะ” คนสำนักบัณฑิตเทียงฉงน่ะหาเรื่องเก่งจะตายไป
กู้เจียวหน้าสำนึกผิด “ใช่เสียที่ไหน”
เหตุใดถึงได้เดาแม่นนัก
กู้เจียวกระเง้ากระงอดทั้งยั้งดึงมือเขามาจับไว้… โดยเฉพาะตอนดึงมาจับนั่นแล เซียวเหิงจึงยอมรับแผนการที่ไม่ต้องสลับตัวกลับ
ม่านราตรีโรยตัวลงมา ทั้งสองพูดคุยกันจนลืมจุดตะเกียงในห้อง ภายในห้องมืดสลัว มีเพียงแต่จันทร์ลอดผ่านกรอบหน้าต่างมารำไร
ไม่ทันรู้ตัวฟ้าก็มืดเสียแล้ว ยามอยู่ด้วยกันสองคนเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วขนาดนั้นเชียวหรือ
“นี่ก็มืดค่ำแล้ว ข้าต้องไปล่ะ” กู้เจียวเอ่ย
“ข้าไปส่งเจ้าเอง” เซียวเหิงเอ่ย
“ไม่ต้องหรอก ข้ากลับเองได้” กู้เจียวจำทางได้
เซียวเหิงชะงักไปพลางเอ่ย “อยากไปส่งเจ้านี่นา”
กู้เจียวไม่ปฏิเสธอีกต่อไป
ทั้งสองเดินออกมาจากหอพักของเซียวเหิง กู้เจียวนึกว่าศาลาหลิงลงจะเงียบสงบเหมือนหอพักของเขาเสียอีก ทว่าพอเดินออกมาถึงได้เห็นว่าศาลาหลิงหลงช่างครึกครื้น มีเพียงห้องพักของเขาเท่านั้นที่เงียบสงัดราวกับอยู่อีกโลกหนึ่ง
กู้เจียวเอ่ย “วันพรุ่งนี้ข้าจะพาจิ้งคงมาส่ง”
เซียวเหิงฮึดฮัด “เหอะ เจ้าให้เขาอยู่เมืองชั้นนอกเถิด กลับมาคงกวนใจข้าแย่”
ปากบอกว่ารำคาญ แต่น้ำเสียงกลับไม่ได้แข็งกระด้าง
กู้เจียวยกยิ้มมุมปาก “ข้าเข้าใจแล้ว”
ทั้งสองใช้เส้นทางหลบเลี่ยงคนในสำนักบัณฑิต มาถึงยังบริเวณที่ปีนกำแพงออกไปง่ายที่สุด
“ส่งถึงแค่ตรงนี้ก็พอ” กู้เจียวมองเขาพลางเอ่ย “เจ้าออกไปด้วยสภาพเช่นนี้คงไม่ปลอดภัยนัก”
เซียวเหิงหน้าบูดบึ้ง อย่าเอ่ยถึงจะได้หรือไม่
“เอาละ ข้าไปก่อนนะ” กู้เจียวก้าวไปข้างหน้าก่อนจะกระโดดขึ้นกำแพง ท่าทางคล่องแคล่วเสียเหลือเกินแม่คุณ!
เซียงเหิงชะงัก “ไป…ไปแล้วหรือ”
ไม่เร็วไปหน่อยหรือไร
ไม่มีอะไรจะกำชับข้าเลยหรือ
กินข้าวเยอะๆ ดื่มน้ำเยอะๆ อย่าไปยุ่มย่ามกับพวกคุณหนูอะไรแบบนั้น
“อ๋อ” ขาข้างหนึ่งของกู้เจียวที่ก้าวออกไปแล้วถอยกลับบมา นางกระโดดลงพื้นแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวเหิง ก่อนจะเขย่งปลายเท้าหอมแก้มเขา
เซียวเหิงชะงักไป “ข้า…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
กู้เจียวครุ่นคิด “เช่นนั้น แบบนี้หรือ”
กู้เจียวเขย่งปลายเท้าอีกครั้ง คว้าเสื้อนอกของเขาไว้แล้วกดจูบบนริมฝีปาก
เซียวเหิงแทบจะหัวระเบิด!
กู้เจียวทาบทับลงมาอย่างแผ่วเบาก่อนผละออก ใครจะไปรู้ว่าเท้ายังไม่สัมผัสพื้นดินด้วยซ้ำ ก็ถูกเซียวเหิงรวบตัวกลับเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง
เซียวเหิงดันร่างของนางให้แนบไปกำแพงเย็นเฉียบ มือข้างหน้าประครองเอวของนางไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็โอบแผ่นหลังของนางไว้ ไม่ให้สัมผัสกับกำแพงแข็ง
ความคิดถึงยิ่งทวีคุณในความมืดมิดยามราตรี ลมหายใจของเขาหอบหนัก สายตาจับจ้องไปที่นางอย่างลึกซึ้ง ดวงหน้าก้มลงก่อนจะกดจูบนุ่มนวลด้วยความเอาแต่ใจ