สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 643-3 โอ๋เจียวเจียว (2)
บทที่ 643 โอ๋เจียวเจียว (2)
จู่ๆ เสียงชายหนุ่มมุ่งมั่นเด็ดขาดก็ดังมาจากหน้าประตู
เป็นโจวถง
โจวถงประสานมือคารวะเจ้าสำนักเฉินและบรรดาอาจารย์สำนักบัณฑิตเทียนฉงในห้องทำงาน ก่อนเอ่ย “เจ้าสำนักเฉิน อาจารย์ทุกท่าน เมื่อคืนเซียวลิ่วหลังพักอยู่ที่หอพัก ไม่ได้ออกจากสำนักบัณฑิตเลย ข้าเป็นพยานได้”
เขาเพิ่งจะเอ่ยขึ้น ด้านหลังเขาก็มีบัณฑิตจากห้องหมิงซินคนหนึ่งก้าวออกมาแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าก็เป็นพยานได้เช่นกัน!”
“ข้าด้วย!”
บัณฑิตห้องหมิงซินคนที่สาม
จากนั้นก็คนที่สี่ ที่ห้า…
บัณฑิตแทบทั้งห้องหมิงซินต่างมากันหมด
“เมื่อวานสำนักบัณฑิตหยุด พวกเรากับเซียวลิ่วหลังนัดกันว่าตกค่ำจะไปตีคลีกันที่สนาม ตีกันจนดึกแล้ว ซ้ำยังดื่มกันเล็กน้อยอีกหลายจอก”
“จากนั้นพวกเราก็ไปตกปลากันด้วย”
“ระหว่างทางกลับซื้อขนมเปี๊ยะไส้บ๊วยที่ร้านตรงถนนตะวันออกซานฮวา”
“กลางดึกข้านอนไม่หลับ ตอนไปห้องน้ำเห็นว่าห้องพักเซียวลิ่วหลังยังเปิดไฟอยู่ จึงเข้าไปทักทายเขาด้วย”
“เมื่อเช้าเขาไม่ค่อยสบาย ข้าซื้อข้าวต้มไปให้เขาที่ห้องชามหนึ่ง เขายังทำข้าวต้มหกอยู่เลย”
คนทั้งกลุ่มพูดเสียเป็นตุเป็นตะ ราวกับว่าเมื่อคืนเซียวลิ่วหลังอยู่ด้วยกันกับทุกคนจริงๆ
เรื่องมีพิรุธนั้น…ไม่มีทางเลย หากคนมากมายเพียงนี้แต่งเรื่องยังทำไม่เป็น พวกเขาบัณฑิตสายบุ๋นยังจะเขียนหนังสือกราบบังคมทูลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองและเสนอข้อปรับปรุงแก้ไขราชการ เรียงความโบราณปากู่อะไรพวกนั้นได้หรือ
เรื่องต่อยตีนั้นสู้พวกท่านไม่ได้ แต่เรื่องแต่งเรื่องจะสู้พวกท่านไม่ได้หรือไร
บัณฑิตสำนักอู่เย่ว์พากันงงเป็นไก่ตาแตก
เจ้าสำนักอู่อับอายกลายเป็นโกรธเอ่ย “พวกเจ้าเตรียมการกันไว้ก่อนแล้ว! คนของสำนักบัณฑิตตัวเองย่อมปกป้องบัณฑิตของตัวเองอยู่แล้ว!”
โจวฉงเอามือไพล่หลังข้างหนึ่ง พลางเอ่ยอย่างใจเย็น “คำให้การของพวกเราเหมือนกันจึงเหมือนปกป้องกันและกัน เช่นนั้นพวกเจ้ามาสาดโคลนที่สำนักบัณฑิตของพวกเราล่ะจะว่าอย่างไร คำให้การที่พวกเจ้าพอใจจึงเรียกว่าคำให้การ คำให้การของพวกเราไม่ถือเป็นคำให้การอย่างนั้นรึ”
“เช่นนั้นเอาอย่างนี้ดีกว่า ไปแจ้งทางการเลย ให้ทางการมาตัดสิน และให้คนทั้งแผ่นดินมาดูว่าบัณฑิตใหม่สำนักบัณฑิตเทียนฉงของพวกเราใช้เรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดต่อยตีบัณฑิตสายบู๊มากมายเพียงนั้นจนเละเทะไม่เป็นท่าอย่างไร”
“เจ้าสำนักเฉิน พวกเราเปิดห้องเรียนสายบู๊กันดีกว่า นี่เป็นโอกาสทองที่สำนักบัณฑิตเทียนฉงของพวกเราจะได้สร้างชื่อเสียงแล้ว อย่างไรเสีย บัณฑิตที่สำนักบัณฑิตสายบู๊ผู้สูงส่งพร่ำสอนมาหลายปี ยังสู้บัณฑิตใหม่ที่อาจารย์อู่ของพวกเราสอนแค่สามวันไม่ได้เลย!”
ฝีปากพวกสายบุ๋นแต่ละคนช่างฉกาจฉกรรจ์ไม่มีใครแพ้ใครเลย แต่ละถ้อยแต่ละคำทิ่มแทงถึงตายเลยทีเดียว
สีหน้าของเจ้าสำนักอู่เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง
พูดให้ชัดเลยก็คือ จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ได้ จะขายหน้าไม่ได้
ยามนี้เขาชักจะนึกเสียใจขึ้นมาแล้วว่าเหตุใดถึงหัวร้อนมาขอคำอธิบายด้วย นี่มันทำตัวเองขายหน้าชัดๆ
คนของสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์สุดท้ายก็ไม่ได้มีคำอธิบายอะไรทั้งนั้น ซ้ำยังข่มเพลิงโทสะไว้เต็มอก กัดฟันกรอด สีหน้าทะมึน ควันออกทวารทั้งเจ็ดจากไป
แต่ก่อนจะกลับ เจ้าสำนักอู่สำนักบัณฑิตอู่เย่ว์หยุดฝีเท้าลง หันกลับมามองกู้เจียวอย่างเย็นชา ไม่รู้ว่าเอ่ยอะไรกับกู้เจียว สุดท้ายก็เอ่ยกับสำนักบัณฑิตเทียนฉงทุกคน “คิดจริงๆ หรือว่าเรื่องนี้จะจบลงเท่านี้ พวกเจ้าคงไม่รู้ว่าบิดาของลั่วฉินเป็นรองแม่ทัพตระกูลหนานกง! สำนักบัณฑิตเราไม่ตามซักไซ้เอาความได้ แต่ตระกูลหนานกง…”
“เรื่องของตระกูลหนานกงไม่รบกวนเจ้าสำนักอู่หรอก”
เสียงทุ้มต่ำกังวานดังขึ้นหน้าประตูอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
ทุกคนหันไปมองตามเสียง เห็นมู่ชิงเฉินสวมชุดสำนักบัณฑิตสีฟ้าขาวเดินมาอย่างสุขุมเยือกเย็น
“มู่ชิงเฉินรึ” เจ้าสำนักอู่ขมวดคิ้ว
มู่ชิงเฉินประสานมือให้เจ้าสำนักเฉิน สาวเท้าเข้ามาในห้องทำงาน ก่อนหยุดลงข้างกายกู้เจียว “เซียวลิ่วหลังเป็นบัณฑิตของสำนักบัณฑิตเทียนฉง รบกวนเจ้าสำนักอู่บอกกับลั่วฉินว่า รองแม่ทัพตระกูลหนานกงผู้ยิ่งใหญ่ ข้ามู่ชิงเฉินไม่เห็นอยู่ในสายตาเลย!”
ถ้อยคำดังกล่าวเอ่ยขึ้น ทุกคนพลันตกตะลึง!
มู่ชิงเฉิน ท่านชายอันดับหนึ่งแห่งเซิ่งตู บิดามาจากตระกูลซูซึ่งอยู่ในตระกูลอันดับเก้า มารดามาจากตระกูลมู่ซึ่งเป็นตระกูลอันดับห้า พี่สาวน้องสาวของท่านตาคือเหล่าไท่จวินตระกูลหวัง ตระกูลสามอันดับแรก
อำนาจทางการทหารของตระกูลเซวียนหยวนถูกแบ่งให้สี่ตระกูล ตระกูลหนานกง ตระกูลหาน ตระกูลหวังและตระกูลมู่
จะเห็นได้ว่าฐานะของมู่ชิงเฉินสูงส่งเพียงใด
เจ้าสำนักอู่ไม่ได้เอ่ยอะไรต่ออีก เขาจากไปด้วยสีหน้าทะมึน
“เจ้าสำนัก พวกเราก็ขอตัวกันก่อนนะขอรับ” มู่ชิงเฉินบอกเจ้าสำนักเฉิน
“ช้าก่อน!’ เจ้าสำนักเฉินเรียกบัณฑิตห้องหมิงซินทุกคนไว้ ยกเว้นมู่ชิงเฉิน “กลับไปคัดปกิณกคดีมา ห้ามขาดตกแม้แต่ตัวเดียว!”
ไอ้เด็กพวกนี้โกหกกันจนขึ้นสวรรค์แล้ว คิดว่าเขาดูไม่ออกรึ
เจ้าสำนักมองกู้เจียวพลางเอ่ย “แล้วก็เจ้า เซียวลิ่วหลัง โดนจดชื่อหนึ่งครั้ง!”
หากไม่จดชื่อไว้ คราวหน้าเขาก็จะกล้าทำอีก!
…
ออกมาจากห้องทำงาน คาบเช้าก็จบไปแล้ว
“กินข้าวหรือไม่” มู่ชิงเฉินถาม
นึกขึ้นได้ว่าตัวเองโดนจดชื่อ กู้เจียวก็ค่อนข้างหงุดหงิด แต่ข้าวก็ยังต้องกินอยู่
“อืม” นางขานรับอย่างนิ่งๆ
“เจ้าออกไปทำงานข้างนอกไม่ใช่รึ กลับมาไวเพียงนี้เชียว”
“จัดการธุระเสร็จแล้วน่ะ”
กู้เจียวสังเกตเห็นมือเขาถือห่อผ้าไว้ด้วย
“ของของเจ้าจะร่วงแล้ว” กู้เจียวชี้ห่อผ้าของเขาพลางบอก
เพิ่งจะเอ่ยจบ ตุ๊กตาผ้าน้อยๆ ในห่อผ้าของมู่ชิงเฉินก็ร่วงออกมาเพราะรับแรงไม่ไหว
มู่ชิงเฉินตาไวมือเร็วรับไว้ทัน ไม่ให้กู้เจียวได้เห็นด้วย รีบยัดมันเข้าห่อผ้าคืนทันที
กู้เจียวมองเขาอย่างแปลกใจ
เขาลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็อธิบาย “เพื่อนเล่นวัยเด็กคนหนึ่งมอบให้น่ะ”
กู้เจียว “อ้อ”
ก็แค่ตุ๊กตาผ้าเอง นางเห็นแล้ว เหมือนจะอัปลักษณ์ไม่เบา
“จริงสิ เจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือไม่” กู้เจียวหยิบป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งยื่นให้เขา
เดิมทีนางกะว่าจะไปลองดูเอง แต่ในเมื่อมีคุณชายตระกูลดังอย่างมู่ชิงเฉินแล้ว ลองถามเขาดูก็ไม่เสียหาย
มู่ชิงเฉินมองป้ายคำสั่งสำริดแผ่นนั้น แววตาพลันเปลี่ยน “เจ้ามีสิ่งนี้ได้อย่างไร”
ดวงตากู้เจียวกลอกกลิ้ง “ข้ามีแล้วกัน ข้าถือมันเข้าเมืองชั้นในได้หรือไม่”
มู่ชิงเฉินเอ่ยนิ่งๆ “แรกๆ ก็ได้ อย่าว่าแต่เมืองชั้นในเลย หากคิดจะเข้าตำหนักกั๋วซือก็ยังได้ เพียงแต่ยามนี้เจ้าของป้ายคำสั่งนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทางที่ดีเจ้าอย่าได้ใช้มันสุ่มสี่สุ่มห้าดีกว่า”
กู้เจียวส่งเสียงอ้อ “เข้าตำหนักกั๋วซือได้อีกด้วยรึ”
มู่ชิงเฉิน …เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดบ้างหรือไม่
มู่ชิงเฉินเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริง “ไม่ว่าเจ้าจะได้มาอย่างไร ทางที่ดีเจ้าอย่าได้เอามันออกมาสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่อย่างนั้นเจ้าได้โดนจับในฐานะมือสังหารเป็นแน่”
กู้เจียวถาม “เช่นนั้น เจ้าของป้ายคนนี้เป็นใครรึ”
มู่ชิงเฉินชะงัก เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้น ท่านอาวุโสเมิ่ง”
“เป็นอาจารย์อาวุโสท่านหนึ่งนี่เอง…” กู้เจียวลูกคาง “เขา…เคยไปแคว้นเจาหรือไม่ เคยเป็นขอทานหรือไม่ เคยจ่ายเงินให้คนมาเล่นหมากรุกด้วยหรือไม่”
มู่ชิงเฉินมองกู้เจียวเหมือนมองคนบ้า “เจ้าหมายถึงท่านอาวุโสเมิ่งน่ะหรือ เขาไม่เคยไปแคว้นเจา อีกอย่าง เจ้ารู้หรือไม่ว่าฐานะท่านอาวุโสเมิ่งสูงส่งเพียงใด ข้าอยากเล่นหมากรุกกับเขา ใช้เงินยังไม่ได้เลย! ซ้ำยังเป็นขอทานอีกรึ เจ้าคิดได้อย่างไร”
กู้เจียวพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ข้าก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก จริงสิ คนที่รู้จักท่านอาวุโสเมิ่งมีเยอะหรือไม่”
มู่ชิงเฉินส่ายหน้า “ท่านอาวุโสเมิ่งไม่ชอบไปมาหาสู่กับผู้คน คนที่เคยเจอเขามีไม่มาก คราก่อนเขามาเล่นหมากรุกใกล้ๆ สำนักบัณฑิต ข้าก็แค่มองผ่านม่านเท่านั้น ไม่เคยเห็นใบหน้าท่านอาวุโสตรงๆ เลย”
กู้เจียวถามอีก “คนของตำหนักกั๋วซือก็ไม่เคยเห็นเขาหรือ”
มู่ชิงเฉินครุ่นคิดอย่างละเอียด เอ่ย “กั๋วซือน่าจะเคยเจอ ลูกศิษย์คนอื่นๆ…น่าจะรู้จักรถม้ากับป้ายคำสั่งของเขา”
กู้เจียวลูบคางไปมา “ที่แท้ก็แบบนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว”
มู่ชิงเฉินมองนางด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “เจ้าเข้าใจอะไรรึ”
กู้เจียวตบบ่าเขา “ตอนบ่ายลาให้ข้าทีนะ!”
มู่ชิงเฉินขมวดคิ้วมองมือนาง “เจ้าจะไปไหน!”
“ตำหนักกั๋วซือ!”
“เจ้าถือป้ายนี่ไปตำหนักกั๋วซือได้โดนจับแน่!”
กู้เจียวรีบกลับมาที่เรือนด้วยความเร็วด่วนจี๋ นางจูงราชาม้าออกมา สวมบังเหียนกับเพลารถให้มัน คว้าตัวตาเฒ่าที่อาบแดดกับกู้เหยี่ยนอยู่ในลานบ้านขึ้นรถม้า
ท่านอาวุโสเมิ่งสีหน้างงงวย “เจ้าจะทำอะไร”
กู้เจียวเอ่ยอย่างจริงจัง “ปลอมตัวเป็นคนผู้หนึ่งให้ข้าที แล้วพาข้าไปตำหนักกั๋วซือ!”
“ปลอมเป็นใคร”
“ปรมาจารย์หมากรุกแห่งแคว้นทั้งหก!”
ท่านอาวุโสเมิ่ง ปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นตัวจริง “…”