สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 658-2 ชนะขาดลอย (2)
บทที่ 658-2 ชนะขาดลอย (2)
ซูเสวี่ยดวงตาสดใสเป็นประกาย รูปร่างอ้อนแอ้นอรชร ผ้าคลุมหน้าก็ปกปิดโฉมอันงดงามของนางไว้ไม่ได้ แม้จะเป็นจ้าวเวยกับหยวนเซี่ยวที่มีคู่หมั้นแล้วก็ยังอดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้
จากนั้นก็เอ็นดูหนูน้อยด้านหลังที่ตามนางมาเข้าให้
เจ้าหนูน้อยคนนี้แม้จะดำคล้ำไปหน่อย แต่ใบหน้าดวงน้อยก็น่ารักน่าชังยิ่งนัก เครื่องหน้าประณีตสุดจะบรรยาย โดยเฉพาะดวงตากลมโตคู่นั้นที่กะพริบปริบๆ เพียงแค่มองก็เหมือนกับว่าจะพูดได้
ขนตาก็ยาว เหมือนภูติน้อยขนตายาว
เจ้าสำนักเสินจำเจ้าเด็กคนนี้ได้ เขายิ้มพลางกวักมือเรียก “จิ้งคงมาแล้วหรือ”
“คารวะท่านลุงเจ้าสำนักขอรับ” เสี่ยวจิ้งคงทักทายอย่างมีมารยาท
เจ้าสำนักเสินแนะนำให้พวกมู่ชิงเฉิน “พวกเจ้าที่ดูการแข่งขันคราก่อนอยู่ที่ศาลา ไม่ได้มาขอบสนาม คงจะไม่รู้จัก เขาคืออัจฉริยะตัวน้อยจากสำนักบัณฑิตหลิงโป นามว่าจิ้งคง”
“คารวะพี่ๆ ทั้งหลาย” เสี่ยวจิ้งคงประสานมือคำนับให้
เจ้าสำนักเสินชอบเด็กคนนี้มาก ชี้ไปที่กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นที่อยู่ข้างกาย “มา มา มา นี่คือพี่กู้เหยี่ยน นี่คือพี่เสี่ยวซุ่น พวกเจ้าเคยเจอกันคราก่อน”
“อื้ม เคยเจอแล้วขอรับ คารวะพี่เหยี่ยน คารวะพี่เสี่ยวซุ่น” เสี่ยวจิ้งคงบุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขาลงห้วยมาด้วยกันกับพี่เขยนิตัวแสบมาตลอดทาง ฝีมือการแสดงจึงล้ำลึกพอๆ กันกับพี่เขยตัวแสบ เก็บทุกเม็ดไม่มีที่ติ
เจ้าสำนักเสินจะแนะนำให้กู้เจียวอีก เสี่ยวจิ้งคงจึงเอ่ยด้วยความน่ารักน่าชังขึ้น “ข้ารู้จักเขา ท่านลุงเจ้าสำนักชี้ให้ข้าดูเมื่อคราก่อนแล้ว คารวะพี่ลิ่วหลัง!”
กู้เจียวตีหน้าเย็นชา “อืม สำนักบัณฑิตพวกเจ้าหยุดรึ”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย “พวกเราเรียนเสร็จหมดแล้ว!”
ชั้นเรียนของเด็กอัจฉริยะคาบสุดท้ายของภาคเช้าเป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เด็กอัจฉริยะอย่างเสี่ยวจิ้งคงมีแต่วิธีที่จะทำให้อาจารย์ปล่อยเขาออกมา
บังเอิญซูเสวี่ยเดินผ่านหน้าประตูห้องเรียนพวกเขามาพอดี เขาจึงมาด้วยกันกับซูเสวี่ย
“นี่คือ…” มู่ชิงเฉินมองเสี่ยวจิ้งคงอย่างประหลาดใจ
ซูเสวี่ยเอ่ย “เขาเป็นคนที่ข้าเคยเล่าให้ท่านฟังนั่นอย่างไร น้องชายของเพื่อนร่วมหอพักข้า”
แม้ว่านางจะไม่ได้อยู่ที่หอพีก แต่บางครั้งเสี่ยวจิ้งคงก็ไปหาเซียวเหิงที่ห้องเรียนพวกนาง ด้วยเหตุนี้จึงนับว่านางรู้จักกับจิ้งคงเช่นกัน
เสี่ยวจิ้งคงวิ่งตึงตังมาตรงหน้ากู้เจียว “ท่านพี่ลิ่วหลัง ข้านั่งด้วยได้หรือไม่”
ซูเสวี่ยขมวดคิ้วเรียวสวย “เจ้าหนู ไหนเจ้าจะนั่งกับข้ามิใช่หรือ”
เสี่ยวจิ้งคงแบมือ ทอดถอนใจเอ่ย “แต่เจ้ามีพี่ชายแล้วนี่นา ข้ายังไม่มีเลย”
ซูเสวี่ย “…”
เสี่ยวจิ้งคงนั่งตรงกลางระหว่างกู้เสี่ยวซุ่นกับกู้เจียว เขาตัวเล็ก เบียดๆ นิดหน่อยก็นั่งได้แล้ว แถมยังไม่อึดอัดด้วย
มู่ชิงเฉินมองไปยังซูเสวี่ย แววตาเขาเคร่งขรึมมาก คล้ายกำลังบอกซูเสวี่ยว่าตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่สตรีอย่างนางควรมา
ซูเสวี่ยเอ่ยอย่างหนักแน่นมีเหตุผล “ข้ามาส่งจิ้งคงต่างหาก! เดี๋ยวข้าต้องพาเขากลับอีก!”
คราก่อนนางติดธุระไม่ได้มา ครานี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่พลาดเป็นอันขาด!
“ไม่เป็นไรหรอก” เจ้าสำนักเฉินแย้มยิ้ม “มู่ถง หาที่นั่งให้คุณหนูซูด้วย”
“ขอรับ” มู่ถงวางเบาะรองนั่งให้ซูเสวี่ยข้างๆ มู่ชิงเฉิน
ซูเสวี่ยยิ้มตาหยีนั่งลงข้างมู่ชิงเฉิน “พี่สี่!”
พี่ชายแท้ๆ อยู่ตรงนี้ทั้งคน ใครจะว่าอะไรได้อีก
ยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์หญิงของสำนักบัณฑิตผิงหยางก็อยู่ข้างๆ นี่ด้วย ในสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่ต้องสนใจการใกล้ชิดระหว่างชายหญิงจนเกินไป
การแข่งขันนัดที่สี่เริ่มต้นขึ้น เป็นการแข่งขันระหว่างสำนักบัณฑิตซงซานกับสำนักบัณฑิตจื่อหลิน
นี่คือสำนักบัณฑิตสองแห่งที่มีฝีมือการตีคลีอันเก่งกาจ คะแนนของทั้งสองฝ่ายสูสีกัน ซ้ำยังมีกลยุทธ์การตีที่แพรวพราว
ไม่มีภาพที่ทำให้ผู้ชมต้องอึ้งทึ่งจนอ้าปากค้าง เล่นกันตามกติกา ทั้งสองฝ่ายต่างผิดกติกากันเล็กน้อยเท่านั้น ปรับโทษไปสองสามครั้ง
สีหน้าทุกคนค่อนข้างงุนงง
ยอดเยี่ยมน่ะก็ยอดเยี่ยมอยู่ แต่มันรู้สึกแปลกๆ น่ะสิ เกิดอะไรขึ้น
ท่านกั๋วกงบนอัฒจันทร์ตรงข้าม คล้ายผ่านความทรมานอันน่าหวาดกลัวมา เหมือนกำลังโล่งอก
มู่หรูซินรู้สึกแปลกใจยิ่ง ม้าตัวนั้นทำให้เขารู้สึกอึดอัดก็ไม่ต้องดูต่อสิ นี่เอาแต่จ้องดูอยู่นั่น
แม้ว่าม้าตัวนั้นจะสะดุดตามาก
ยามนี้ท่านกั๋วกงก็ยังดูอยู่ ดวงตากลับไม่มองที่สนามตีคลีเบื้องล่างเลย แต่เป็น…อัฒจันทร์ฝั่งตรงข้ามแทน
ฝั่งตรงข้ามเป็นอาจารย์และบัณฑิตของสำนักบัณฑิตผิงหยางและสำนักบัณฑิตเทียนฉง
ท่านกั๋วกงกำลังมองใครกัน
มู่ชิงเฉินรึ
เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยในครึ่งที่เจ็ดของการแข่งขันนัดที่สี่ นักกีฬาตีคลีของสำนักบัณฑิตซงซานคนหนึ่งอ้างว่าเขาถูกไม้ตีคลีของคู่ต่อสู้ตีเข้าที่หลังมือ อีกฝ่ายปฏิเสธท่าเดียว สุดท้ายกรรมการตัดสินว่านักกีฬาสำนักบัณฑิตจื่อจู๋ผิดกติกา
สำนักบัณฑิตซงซานได้แต้มไป จำนวนธงของทั้งสองฝ่ายไล่กันจนเสมอ สิบสามต่อสิบสาม
มาถึงการพักในรอบสุดท้าย
“พวกเจ้าว่าใครจะชนะ” มู่ชวนถาม
หยวนเซี่ยวเอ่ย “สำนักบัณฑิตจื่อจู๋กระมัง รุกหนักเลยทีเดียว” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
จ้าวเวยเอ่ย “แต่พวกเขาเอาแต่ทำผิดกติกานะ นี่ปรับไปสามแต้มแล้ว”
กู้เหยี่ยนเอ่ย “สำนักบัณฑิตซงซานโกหก”
หยวนเซี่ยวกับจ้าวเวยพากันตะลึง “อย่างนั้นหรือ”
เพิ่งจะเอ่ยจบ มู่ถงที่ไปตักน้ำมาจากศาลาก็ลนลานรีบร้อนขึ้นมาหา “แย่แล้ว! สำนักบัณฑิตซงซานกับสำนักบัณฑิตจื่อจู๋วิวาทกันแล้ว!”
เรื่องวิวาทกันในสนามแข่งนั้นมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนทั้งกลุ่มบ้างก็นั่งอยู่ บ้างก็ไปดูที่ศาลา
มู่ถงบังเอิญอยู่ตรงนั้นพอดีจึงได้นำข่าวมาบอกได้ทันเวลา คนอื่นๆ ทางอัฒจันทร์ยังคงไม่รู้เรื่องราว
อาจารย์ของสำนักบัณฑิตผิงหยางประหลาดใจมาก เหตุใดจึงพากันลุกไปหมดเลยเล่า
เจ้าสำนักเฉิน เสี่ยวจิ้งคง กู้เหยี่ยน ซูเสวี่ยและมู่ชวนถูกรั้งอยู่ที่นี่
มู่ชวนรับผิดชอบดูซูเสวี่ยกับเสี่ยวจิ้งคง
เมื่อคนทั้งกลุ่มมาถึงศาลา ทั้งสองฝ่ายก็ต่อยตีกันอุตลุดแล้ว ขนาดทหารคุ้มกันยังเข้าไปแยกไม่ได้
การตีคลีเป็นกีฬาที่เหล่าคุณชายลูกผู้ดีมีเงินเล่นกัน บรรดายาจกยากจนแม้แต่ม้าที่ใช้ตีคลียังไม่มีปัญญาจะซื้อ ทว่าคุณชายเหล่านี้แทบจะร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้กันมาตั้งแต่เด็ก ซ้ำยังเรียนรู้สืบทอดจากยอดฝีมือ ทหารคุ้มกันธรรมดาๆ จะไปสู้ได้อย่างไร
กู้เจียวกับมู่ชิงเฉินเดินไปจับพวกนักกีฬาตีคลีที่กำลังคลุกวงในกันแยกกันคนละคน
ส่วนหยวนเซี่ยวกับจ้าวเวยช่วยทหารคุ้มกันคุมตัวคนที่พวกเขาสองคนโยนออกมา
ที่เกิดเหตุโกลาหลวุ่นวาย เมื่อถูกจับแยกได้หมดแล้ว ยังมีคนคิดจะพุ่งไปต่อยอีก มู่ชิงเฉินจึงตวาดขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้! ใครลงมืออีกข้าจะไม่เกรงใจแล้ว!”
ทั้งสองฝ่ายจึงได้หยุดวิวาทกัน
เดิมทีคิดว่าทุกอย่างจะจบลงเพียงเท่านี้ ใครจะคิดว่าตอนที่ทั้งสองวิวาทกันเมื่อครู่ใช้กำลังภายในชนไปถึงผนังโถงด้านหลังตั้งหลายรอบ ในที่สุดผนังฝั่งนั้นก็ต้านทานรับไม่ไหว พังครืนลงมาทันที!
อีกฝั่งหนึ่งของผนังมีคนรับใช้ทั้งหมดยี่สิบสามสิบคนกำลังเตรียมน้ำชาให้กับศาลาและบนอัฒจันทร์ทั้งหมด
มู่ชิงเฉินกำหมัดแน่นเสียงดังกรอด “งามหน้าเสียจริง!”
เหล่านักกีฬาตีคลีของสำนักบัณฑิตซงซานกับสำนักบัณฑิตจื่อจู๋เริ่มนิ่งงันอยู่กับที่
พวกเขาก็แค่วิวาทกันเท่านั้น ไม่เคยคิดจะไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์เลย!
กู้เจียวมองไปยังนักกีฬาของทั้งสองฝ่ายแวบหนึ่ง “มาช่วยคนก่อน”
ทุกคนเริ่มลงมือช่วยเหลือ
บรรดานักกีฬาตีคลีไม่ลงสนามเสียที ย่อมเรียกความสนใจจากสนามแข่งขึ้นมา จากนั้นทุกสำนักบัณฑิตก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในศาลา
สำนักบัณฑิตหลิงโปมีหมอมาด้วย แต่ก็มีคนเดียวเท่านั้น หมอมาถึงทันเวลา แต่เห็นได้ชัดว่าจำนวนคนไม่พอ
กู้เจียวเอ่ยกับหยวนเซี่ยว “ไปหากู้เสี่ยวซุ่น ให้เขาเอาชุดปฐมพยาบาลของข้ามาที แล้วเจ้าค่อยไปหาคนมาทำเปลหามสักสองสามเปล!”
คนมากมายเพียงนี้ ไม่รู้ว่ายาในชุดปฐมพยาบาลจะพอใช้หรือไม่ หากว่า…
“ได้!”
หยวนเซี่ยวขานรับ ก่อนรีบไปทันที
กู้เจียวเอ่ยกับมู่ชิงเฉินต่อ “ในห้องโถงใหญ่มีที่ไม่พอ ข้าต้องการพื้นที่กว้างๆ ”
“ได้” มู่ชิงเฉินพาจ้าวเวยไปด้วย และเรียกพวกทหารคุ้มกันสองสามคนของสำนักบัณฑิตหลิงโปมาด้วย ก่อนจะใช้เชือกล้อมนอกห้องโถงใหญ่เอาไว้
กู้เสี่ยวซุ่นมาถึงอย่างรวดเร็วมาก
ชุดปฐมพยาบาลของกู้เจียวจัดเก็บเรียบร้อยไปเมื่อวานนี้เอง ใส่ไว้ในตะกร้าสะพายของกู้เหยี่ยน ด้านในนอกจากชุดปฐมพยาบาลแล้วก็มียาที่กู้เหยี่ยนต้องใช้ด้วย
“ลิ่วหลัง! ของมาแล้ว!” กู้เสี่ยวซุ่นข้ามเชือกมาข้างกายกู้เจียว
ยามนี้บนพื้นที่ว่างมีผู้บาดเจ็บที่ช่วยจากใต้ซากปรักหักพังออกมาได้สองรายนอนอยู่ ทั้งสองล้วนบาดเจ็บที่ขา ไม่นับว่าร้ายแรงนัก แต่ต้องรักษาโดยด่วน
กู้เจียวเอื้อมมือไปหยิบชุดปฐมพยาบาลมา กลับพบว่าเป็นกล่องยาใบน้อย “เอ๊ะ เจ้าเอากล่องยามาด้วยรึ”
กู้เสี่ยวซุ่นถาม “เจ้าเป็นคนเอาใส่ไว้เมื่อคืนมิใช่หรือ”
กู้เจียวส่ายหน้าเอ่ย “ข้าเอาชุดปฐมพยาบาลใส่ไว้ต่างหากเล่า”
“อ๋อ ชุดปฐมพยาบาลข้าก็เอามาด้วยเช่นกัน!” กู้เสี่ยวซุ่นส่งชุดปฐมพยาบาลในมืออีกข้างให้
จากนั้นเขาก็ครุ่นคิด ก่อนเอ่ย “กู้เหยี่ยนอาจจะเป็นคนเอามาใส่กระมัง”