สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 659-2 ท่านพ่อเจียวผู้องอาจ! (2)
บทที่ 659 ท่านพ่อเจียวผู้องอาจ! (2)
เพราะปกปิดข่าวไว้แน่นหนา จึงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันนัดที่สี่ในยามบ่าย
เมื่อการแข่งขันจบลง ทางด้านช่วยเหลือผู้บาดเจ็บทั้งหมดก็เสร็จสิ้นลงอย่างราบรื่นแล้ว
สำนักบัณฑิตซงซานกับสำนักบัณฑิตจื่อจู๋ถูกตัดสิทธิ์การแข่งขันนัดถัดไปเพราะทำผิดกติกา
ผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่เป็นคนของสำนักบัณฑิตหลิงโป นอกจากนี้มีบัณฑิตที่ได้รับบาดเจ็บในระหว่างวิวาทและช่วยเหลือคนด้วยอีกนิดหน่อย
เจ้าสำนักทั้งสามแสดงความขอบคุณต่อกู้เจียวกับมู่หรูซิน โดยเฉพาะกู้เจียว การแสดงออกของนางชวนตื่นตะลึงจริงๆ
มู่หรูซินรู้สึกว่านางโดนแย่งความสนใจไป ก็แค่หมอเก๊ที่หลอกลวงคนเท่านั้น อีกเดี๋ยวสักสองสามวันอาการคนไข้แย่ลง คนพวกนี้ก็คงรู้เองว่าใครกันแน่ที่เป็นหมอเทวดาตัวจริง
นางเอ่ย “เจ้าสำนักเกรงใจเกินไปแล้ว หน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ไม่ต้องขอบคุณหรอกเจ้าค่ะ”
ส่วนกู้เจียวยื่นรายการสามใบให้เจ้าสำนักทั้งสาม “ค่ารักษา จ่ายสด งดเชื่อ เบื่อทวง”
เจ้าสำนักทั้งสาม “…”
เจ้าสำนักบัณฑิตหลิงโปกระแอมขึ้นเบาๆ รับใบรายการยาวที่สุดมา “แน่นอนอยู่แล้ว แน่นอนอยู่แล้ว!”
มู่หรูซินเหน็บเข้าให้ “เหอะ ท่านชายเซียว คนเป็นแพทย์ย่อมมีจิตเมตตา ช่วยแค่ผู้บาดเจ็บไม่กี่คนเอง เจ้าก็มีหน้ามาเก็บค่ารักษา อย่าตระหนี่ถี่เหนียวไปหน่อยเลยดีกว่า”
กู้เจียวยื่นใบรายการที่เหลือสองรายการให้นางทันที “เจ้าใจกว้างนักก็จ่ายมา”
มู่หรูซินสะอึก
กู้เจียวเก็บในส่วนที่นางควรเก็บเท่านั้น ส่วนมู่หรูซินกับหมอคนนั้นจะคิดค่ารักษาหรือไม่ก็เป็นเรื่องของทั้งสองคน
ส่วนเรื่องที่เซียวเหิงมาปรากฏตัวในที่เกิดเหตุก็ไม่ได้สร้างความสงสัยให้ใคร เพราะต่อมาซูเสวี่ยก็มาด้วยเช่นกัน
เพียงแต่สถานที่เกิดเหตุวุ่นวายมาก ซูเสวี่ยจึงโดนรั้งให้อยู่ด้านนอก เห็นกู้เจียวกับเซียวเหิงเดินตามกันออกมาจึงได้เพิ่งรู้ว่าทั้งคู่อยู่ในห้องเดียวกันมาเมื่อครู่
แต่นึกขึ้นได้ว่าทุกคนต่างช่วยเหลือผู้บาดเจ็บกันทั้งนั้น จึงไม่ได้สงสัยอะไร
ผู้คนเต็มศาลาทั้งนอกทั้งในไปหมด ตั้งแต่ต้นจนจบกู้เจียวกับเซียวเหิงรักษาท่าทางเหมือนคนแปลกหน้าต่อกันไว้ตลอด ไม่แม้แต่จะสบสายตากัน
เหล่าเจ้าสำนักก็แสดงความขอบคุณต่อเซียวเหิง ซูเสวี่ยและพวกมู่ชิงเฉินเช่นกัน
มู่ชิงเฉินเอ่ยกับกู้เจียว “ไปกันเถอะ” แล้วก็เอ่ยกับซูเสวี่ย “เจ้าก็ควรกลับได้แล้ว”
ซูเสวี่ยเบ้ปาก “เจ้าค่ะ”
กู้เจียวชะงัก จู่ๆ ก็หมุนตัวไปประสานมือคำนับให้เซียวเหิง “เมื่อครู่ขอบคุณยิ่งนัก”
เซียวเหิงก็ค้อมกายคำนับให้กู้เจียวคืนเช่นกัน
หยวนเซี่ยวลูบคางพึมพำ “พวกเจ้าขอบคุณกัน ไฉนจึงเหมือนกราบไหว้ฟ้าดินเลยเล่า”
มู่ชิงเฉินกับซูเสวี่ยพากันถลึงตาใส่เขา
หยวนเซี่ยวหันหลังลูบท้ายทอยป้อยๆ “โอ๊ย ไปดีกว่า!”
ทั้งคู่ลากันก่อนจะแยกย้าย เซียวเหิงไปรับเสี่ยวจิ้งคงที่อัฒจันทร์ พวกกู้เจียวไปที่เพิงม้า
กู้เจียวเดินมาถึงเพิงม้าด้านในสุดกำลังจะจูงราชาม้าออกมา พบว่านอกเพิงม้ามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ เป็นบุรุษอายุราวๆ สามสิบปี ไม่นับว่าสูงมาก แต่รูปร่างกำยำ เครื่องหน้าหล่อเหลาคมเข้ม
อีกฝ่ายเดิมทีกำลังชมราชาม้าในเพิงม้าอยู่ เห็นกู้เจียวเข้าก็รีบเผยยิ้มอบอุ่นออกมาให้
“น้องเซียว” เขาหันมาทักทาย
“เจ้าเป็นใคร” กู้เจียวถาม
เขาเอ่ยอย่างมีสุภาพ “ข้าแซ่ฉู่ น้องเซียวเรียกข้าว่าฉู่หนานก็ได้”
“มีธุระอะไรรึ” กู้เจียวถามต่อ
เขายิ้มหันไปมองราชาม้าในเพิงม้า ก่อนจะหันมาเอ่ยกับกู้เจียว “ข้าชอบม้าตัวนี้มาก”
“ไม่ขาย” กู้เจียวบอก
ฉู่หนานปลาบปลื้มสุดแสน “มันเป็นราชาม้ากระมัง แต่ว่า ราชาม้าวัยสองขวบครึ่งก็หาได้ยากนัก มิหนำซ้ำ ดูๆ แล้วมันก็ไม่เหมือนราชาม้าธรรมดาด้วย”
กู้เจียวเอ่ย “ดังนั้นมันยังไม่โตเต็มวัย ห้ามขี่มันอย่างนั้นรึ”
ฉู่หนานเอ่ย “ขี่ได้ แต่ต้องระวังน้ำหนัก”
เนื่องจากเป็นม้าของกู้เจียวจึงแข็งแรงพอ หากเป็นม้าตัวอื่นอย่างน้อยๆ สามขวบขึ้นไปถึงจะขี่ได้
ฉู่หนานถามต่อ “ไม่แนะนำให้ขี่มันบ่อยๆ อย่างวันนี้นะ ปกติคงไม่ได้ฝึกมันเช่นนี้ทุกวันกระมัง”
“ใช่” กู้เจียวขี่มันน้อยมาก คนที่บ้านก็ไม่ขี่
พอนึกบางอย่างขึ้นมาได้ กู้เจียวจึงถามอีก “แล้วทำงานได้หรือไม่ อย่างลากรถ ลากเครื่องบดอะไรเทือกนั้น”
ฉู่หนานยิ้มพลางพยักหน้า “ใช้งานไม่เป็นปัญหาอะไรเลย มันแข็งแรงมาก”
เอ่ยจบ ฉู่หนานก็รู้สึกแปลกๆ
ไฉนราชาม้าจึงได้ไปลากเครื่องบดเสียเล่า
กู้เจียวส่งเสียงอ้อ ก่อนมองไปยังราชาม้าพลางเอ่ย “ที่แท้เจ้าก็ยังเป็นเด็กอยู่นี่เอง ข้าก็นึกมาตลอดว่าเจ้าแก่มากแล้ว”
ราชาม้าหน้าหงิกขึ้นมาด้วยจิตใจห่อเหี่ยว ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ฉู่หนานหัวเราะออกเสียง
ราชาม้าวัยสองขวบครึ่งก็ไม่ได้เด็กแล้ว ขนาดรูปร่างไม่ค่อยต่างอะไรกับม้าที่โตเต็มวัยแล้ว เท่ากับคนวัยสิบกว่าปี เป็นช่วงวัยที่กำลังหัวเลี้ยวหัวต่อเลย
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มันจะกระปรี้กระเปร่าในสนามตีคลีถึงเพียงนั้น
ที่ฉู่หนานไม่ได้บอกก็คือนี่เป็นม้าพันธุ์ดีที่หายากในรอบร้อยปี สิ่งเดียวที่เทียบกับมันได้มีเพียงม้าศึกในปีนั้นของเทพสงครามเซวียนหยวนลี่ น่าเสียดายที่เซวียนหยวนลี่กับม้าของเขาตายในสนามรบเสียแล้ว
หลังจากที่กู้เจียวจูงราชาม้าจากไปแล้ว ฉู่หนานก็ออกมาจากเพิงม้า แล้วเดินไปทางตรงกันข้าม
หันเช่อรออยู่นานมากแล้ว
“ท่านชาย” ฉู่หนานประสานมือคำนับให้
หันเช่อถามอย่างเคร่งขรึม “ม้าตัวนั้นเป็นเช่นไร”
ฉู่หนานรายงานไปตามความจริง
หันเช่อขมวดคิ้ว “แล้วเทียบกับม้าเฮยเฟิงของตระกูลหันเราเล่า”
ฉู่หนานชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตบหัวตัวเองเอ่ย “ข้าลืมราชาเฮยเฟิงไปเลย แน่นอนว่าราชาเฮยเฟิงเก่งกาจอยู่แล้ว ราชาเฮยเฟิงเป็นม้าหายากในรอบพันปีเชียวนะขอรับ”
“แต่ราชาเฮยเฟิงเป็นของพี่ใหญ่” หันเช่อมองไปยังราชาม้าที่กู้เจียวจูงไว้ในมืออยู่ไกลๆ อย่างองอาจ “หากมันเป็นของข้าคงจะดีไม่น้อย!”
เมื่อกู้เจียวจูงราชาม้าออกไปเสี่ยวจิ้งคงก็ถูกเซียวเหิงมารับไปแล้ว กู้เหยี่ยนกับเจ้าสำนักเฉินก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน
นางสาวเท้าเดินไปทางสำนักบัณฑิต
เมื่อเดินผ่านอัฒจันทร์อีกฝั่งพบว่าบัณฑิตที่มาชมการแข่งขันกลับกันไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว เหลือแต่สำนักบัณฑิตเทียนฉงกับสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์ ทั้งสองฝ่ายกำลังตั้งท่าใส่กัน ท่าทางเหมือนกำลังจะเปิดศึกขึ้น
มู่ชิงเฉินห้ามพวกเขาไว้
“เกิดอะไรขึ้นรึ” กู้เจียวเดินไปถาม
ไม่รอให้มู่ชิงเฉินบอก โจวถงคล้ายเห็นดาวช่วยชีวิตจึงดึงแขนเสื้อกู้เจียว ชี้ไปทางบัณฑิตของสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์พลางเอ่ย “พวกเขาพนันกับพวกเราว่าหากสำนักบัณฑิตของพวกเราชนะ พวกเขาจะเรียกพวกเราว่าพ่อ! สุดท้ายพวกเขาไม่ยอมรับ ซ้ำยังคิดจะต่อยพวกเราด้วย!”
กู้เจียวถามโจวถง “ต่อยโดนหรือไม่”
โจวถงเบ้ปาก “เกือบโดนแล้ว ท่านชายชิงเฉินมาถึงเสียก่อน”
บัณฑิตของสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์คนหนึ่งเอ่ยขึ้น “เหอะ อย่าคิดว่าสำนักบัณฑิตพวกเจ้าชนะสองการแข่งขันแล้วจะเก่งกาจเชียวนะ ก็แค่ได้ม้าตัวหนึ่งโกงการแข่งขันก็เท่านั้นแหละ!”
โจวถงเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด “ใครโกงกัน! ปากเจ้าพูดให้มันสะอาดๆ หน่อย!”
กู้เจียวถอนใจเอ่ย “ช่างเถิด อย่ามีเรื่องเลย เรื่องนี้เป็นความผิดข้าเอง”
ทุกคนต่างตะลึง
มู่ชิงเฉินขมวดคิ้ว
แม้บัณฑิตสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์จะไม่รู้ว่าเหตุใดกู้เจียวจึงยอมรับผิด แต่ก็เดาได้ว่ากู้เจียวปอดแหกขึ้นมาแล้ว จึงรู้สึกว่าตัวเองใจกล้าขึ้นมาทันที
บัณฑิตที่นำหน้ายิ้มเย็นเอ่ย “เจ้าก็รู้ว่าตัวเองผิดหรือนี่”
“แน่สิ” กู้เจียวพยักหน้าอย่างจริงจัง ก่อนมองไปยังพวกสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์ “บุตรเนรคุณเป็นความผิดของบิดา พวกเจ้าไร้ยางอาย เป็นความผิดของข้าเอง!”