สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 662 องค์หญิงน้อย
บทที่ 662 องค์หญิงน้อย
คาบเรียนภาคเช้าคาบสุดท้ายจบลง กู้เจียวก็ไปหากู้เสี่ยวซุ่นเพื่อไปกินข้าว
มู่ชิงเฉินครุ่นคิด ก่อนเอ่ยรั้งนางไว้ “เจ้าขัดสนจริงๆ หรือ”
กู้เจียวมองเขา
เขาอ้าปากพลางเอ่ย “มีงานอยู่งานหนึ่ง ค่อนข้างลำบากหน่อย หากเจ้าอยากทำละก็ หลังเลิกเรียนข้าจะพาเจ้าไป”
“ได้” กู้เจียวตกลง
มู่ชิงเฉินขมวดคิ้วมองนาง “เจ้าไม่ถามหน่อยรึว่างานอะไร”
กู้เจียวเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “ท่านชายอย่างเจ้าจะข้องแวะกับงานเหี้ยมโหดไร้ศีลธรรมได้หรือ”
มู่ชิงเฉินหมดคำจะพูด
หลังเลิกเรียน กู้เจียวบอกกับกู้เสี่ยวซุ่นให้เขากลับบ้านไปก่อน ส่วนตัวเองจะออกไปทำธุระนิดหน่อย
“ท่านพี่ จะให้ข้าไปด้วยหรือไม่” กู้เสี่ยวซุ่นถามเสียงเบา
“ไม่ต้องหรอก” กู้เจียวบอก
นางทำงานคนเดียวก็พอแล้ว
กู้เสี่ยวซุ่นเชื่อฟังนางมาโดยตลอด ได้ยินแบบนั้นก็เกาหัวแกรกๆ “อ๋อ เช่นนั้นข้ากลับก่อนนะ พี่ก็กลับไวๆ ล่ะ”
หลังจากส่งกู้เสี่ยวซุ่นกลับไป กู้เจียวก็เลี้ยวขวาเดินไปสิบกว่าก้าวขึ้นรถม้าของมู่ชิงเฉิน ก่อนจะนั่งลงตรงที่นั่งด้านข้าง
มู่ชิงเฉินคงจะสั่งไว้แต่แรกแล้วว่าจะไปไหน สารถีจึงไม่พูดพร่ำทำเพลงขี่รถม้าออกไปเลย
ยามนี้ยังไม่ค่ำ ภายในรถม้าจึงร้อนอบอ้าว กู้เจียวดันหน้าต่างแง้มออกเล็กน้อย
แสงสว่างลอดเข้ามา ภายในรถจึงมองเห็นอย่างแจ่มชัด
มู่ชิงเฉินเบนสายตาไปเห็นผ้าคาดผมสีฟ้าบนหัวนางเข้า
ผ้าไหมสีฟ้าชนิดนี้หายากมาก นอกเมืองหาซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำ แน่นอนว่าสามารถเข้าเมืองชั้นในไปจับจ่ายได้ ทว่าปกติกู้เจียวไม่ได้มีนิสัยแต่งตัวหรูหรา
“มองข้าทำไม” กู้เจียวสังเกตเห็นสายตาของเขาที่จับจ้องมา
“ผ้าคาดผมสวยดี” มู่ชิงเฉินดึงสายตากลับ
กู้เจียวยกมือขึ้นลูบผ้าคาดผมที่เซียวเหิงมอบให้นาง โคลงศีรษะน้อยๆ ไปมา “อื้ม ข้าก็คิดว่าสวยดีเหมือนกัน!”
มู่ชิงเฉินอดที่จะมองนางอีกหนไม่ได้ แววตานางมีความสุขปิดไม่มิด เพราะว่าผ้าคาดผมเส้นนี้นางไม่ได้เป็นคนซื้อเอง หรือว่าเพราะเรื่องที่กำลังจะไปหาเงินก็ไม่รู้ได้
“ยามนี้นับว่าเจ้าโด่งดังในศึกเดียวแล้ว เริ่มมีคนไม่น้อยอยากจะผูกมิตรกับเจ้า เจ้าอย่าได้ไปสนิทกับใครสุ่มสี่สุ่มห้าเชียว”
“อืม” กู้เจียวขานรับ
เดิมทีกู้เจียวคิดว่าเขาจะพาตัวเองเข้าไปทำงานในเมืองชั้นใน ไม่คิดเลยว่ารถม้าจะเลี้ยวไปอีกทางของเมืองชั้นนอก
เหมือนรถม้าจะเคลื่อนไปทางตะวันออกมาสิบลี้ ก่อนจะจอดยังคฤหาสน์หลังงามโอ่อ่าหลังหนึ่ง หน้าประตูคฤหาสน์มีทหารคุ้มกันสองสามนายเฝ้าอยู่ รถม้าแสดงป้ายคำสั่งให้ดู ทหารคุ้มกันก็เดินมา
มู่ชิงเฉินเลิกม่านขึ้น เอ่ยกับทหารคุ้มกัน “ข้าเอง”
ทหารคุ้มกันรีบประสานมือให้ แล้วปล่อยรถม้าเข้ามา
รถม้าวิ่งเข้ามาในคฤหาสน์เลียบไปตามถนนเส้นเล็กสักพัก สุดท้ายก็จอดลงนอกสนามหญ้า
“ท่านชาย ถึงแล้วขอรับ” สารถีบอก
มู่ชิงเฉินลงจากรถม้า
จากนั้นกู้เจียวก็กระโดดตามลงมา
“ว้าว”
หลังจากกู้เจียวเห็นภาพตรงหน้าก็อดอุทานขึ้นมาไม่ได้
นี่มันอยู่ในคฤหาสน์จริงๆ น่ะรึ
สนามหญ้ากว้างขวางมาก!
ฝั่งตะวันออกของสนามหญ้าติดกับสวนผลไม้ ทางใต้ติดกับป่า ทางตะวันตกเป็นทางที่พวกนางมาอย่างถนนเส้นเล็กๆ คดเคี้ยวทอดยาว ส่วนทางเหนือคือสระบัว
ใบบัวในสระบัวเขียวมรกตดุจหยก ดอกบัวน้อยบ้างสีขาวพิสุทธิ์ บ้างสีชมพูระเรื่อแซมตามมุม
ทิวทัศน์งดงามยิ่ง
“ที่นี่คือที่ไหนรึ” กู้เจียวถาม
“คฤหาสน์ของเยี่ยนซานจวิ้น” มู่ชิงเฉินบอก
“เยี่ยนซานจวิ้นอย่างนั้นรึ” กู้เจียวไม่เคยได้ยินมาก่อน
มู่ชิงเฉินกลับไม่ได้แนะนำอะไรมาก ขณะนั้นเอง สาวใช้หน้าตาหมดจดงดงามคนหนึ่งก็ซอยเท้าถี่เดินมาหา แย้มยิ้มทักทายมู่ชิงเฉิน “ท่านชายชิงเฉิน!”
มู่ชิงเฉินพยักหน้าให้เล็กน้อย “นายน้อยของเจ้าอยู่หรือไม่”
“อยู่เจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มเอ่ย “ข้าจะพาท่านชายชิงเฉินไปเอง ท่านนี้คือ…”
สายตานางตกลงบนร่างกู้เจียว
กู้เจียวกับมู่ชิงเฉินสวมเครื่องแบบสำนักบัณฑิตเทียนฉงเหมือนกัน ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เพียงแต่ดูๆ แล้วจะอ่อนวัยกว่า ซ้ำใบหน้าด้านซ้ายก็มีปานที่คิดจะเมินก็คงไม่ได้
มู่ชิงเฉินแนะนำอย่างใจเย็น “สหายร่วมชั้นข้าเอง แซ่เซียว”
“ท่านชายเซียว” สาวใช้ทักทายอย่างสุภาพ
กู้เจียวพยักหน้าให้
“เชิญทั้งสองท่านทางนี้เจ้าค่ะ” สาวใช้ไม่ได้ถามมู่ชิงเฉินต่อว่าพาสหายร่วมชั้นมาทำอะไร ก็พาทั้งคู่เดินไปทางสวนผลไม้ที่อยู่อีกฝั่งของสนามหญ้า
ระหว่างทางเจอคนรับใช้ไม่น้อย ล้วนรู้จักมู่ชิงเฉินกันหมด
หลังจากเข้ามาในสวนผลไม้ กู้เจียวก็ได้ยินเสียงเด็กสาวเอ่ยอย่างร้อนรน
“องค์หญิงเจ้าคะ! อย่าปีนต้นไม้นะเจ้าคะ!”
“องค์หญิงลงมาเร็วเจ้าค่ะ!”
“องค์หญิง! ท่านทำเช่นนี้พวกเราจะบอกนายท่านอย่างไรเจ้าคะ!”
กู้เจียวกำลังคิดว่าองค์หญิงที่พวกนางเรียกอยู่เป็นใคร ใช่แม่นางที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับซูเสวี่ยหรือไม่ สุดท้ายก็เห็นเด็กผู้หญิงผิวพรรณเนียนขาวดุจหยกคนหนึ่งอยู่บนต้นท้อ
เด็กหญิงปีนขึ้นไปถึงกิ่งไม้สูงลิ่ว พวกคนรับใช้ไม่กล้าปีนเพราะกิ่งมันบางมาก ขืนพวกนางขึ้นไปกิ่งไม้ได้หักแน่
“องค์หญิงน้อย”
มู่ชิงเฉินเอ่ยขึ้นเบาๆ
เด็กหญิงพลันมองมาทางนี้ ก่อนที่ดวงตากลมโตจะเป็นประกาย “มู่ชิงเฉิน!”
โอ้ นึกไม่ถึงว่านางจะเรียกทั้งชื่อทั้งแซ่
มู่ชิงเฉินเดินไปหา เด็กหญิงกางแขนออกสองข้าง แล้วกระโดดลงมาโดยไม่ลังเล
บรรดาสาวใช้ตกใจจนหวีดร้อง
มู่ชิงเฉินรับตัวนางไว้ได้อย่างสบายๆ ก่อนวางนางลงบนพื้น
องค์หญิงน้อยเชิดหน้าขึ้นถามอย่างเคร่งขรึมยิ่ง “เหตุใดเจ้าไม่มาหาข้าบ้างเลย เจ้าคิดจะอู้ไม่สอนข้าใช่หรือไม่”
เสียงเล็กอู้อี้
มู่ชิงเฉินหัวเราะเบาๆ เอ่ย “หมู่นี้ยุ่งนัก เพิ่งจะเสร็จงานจึงได้มาหา”
องค์หญิงน้อยพยักหน้า “อืม ข้าได้ข่าวอยู่ เจ้าไปร่วมการแข่งขันตีคลีนี่นา เจ้าชนะหรือไม่”
มู่ชิงเฉินตั้งอกตั้งใจตอบยิ่ง “โชคดีที่ได้องค์หญิง ชนะไปสองนัด”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไม่เลวเลยนี่” องค์หญิงน้อยเอ่ยพลางหันหน้ามา เห็นกู้เจียวที่เดินมาทางนี้ “เอ๊ะ เจ้าเป็นใครกัน”
มู่ชิงเฉินแนะนำ “เขาเป็นอาจารย์ที่ข้าเลือกให้องค์หญิง ฝีมือการขี่ม้าของเขาเยี่ยมมาก”
องค์หญิงน้อยโคลงศีรษะมองกู้เจียว แล้วหันไปถามมู่ชิงเฉิน “เก่งกว่าเจ้าอีกหรือ”
มู่ชิงเฉินยิ้มพลางพยักหน้า “ใช่ เก่งกว่าข้าอีก ราชาม้าป่าของสำนักบัณฑิตเราถูกเขาปราบจนเชื่องเลย การแข่งขันตีคลีครานี้เขาก็เข้าร่วมด้วย”
มู่ชิงเฉินเป็นสุภาพบุรุษที่สำรวมกิริยา เวลายิ้มอ่อนโยนดุจหยกชวนอบอุ่นหัวใจขึ้นเป็นพิเศษ
บรรดาสาวใช้ดวงตาจดจ้องกันไม่ละห่าง
ท่านชายชิงเฉินเผยด้านอ่อนโยนเช่นนี้ให้แค่องค์หญิงน้อยเท่านั้น ช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก!
องค์หญิงน้อยสองมือกอดอก เอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ “อันที่จริงเจ้าไม่อยากสอนข้ามากกว่ากระมัง จึงได้หาคนมาแทน”
มู่ชิงเฉินหยิบใบไม้ที่ร่วงลงบนศีรษะนางออกให้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “องค์หญิงน้อยจะลองดูก็ได้”
องค์หญิงน้อยหันมามองกู้เจียวอีกหน พินิจกู้เจียวตั้งแต่หัวจรดเท้า คงจะสนใจใคร่รู้บางอย่างบนหน้านาง “เหตุใดบนหน้าเจ้าจึงมีดอกไม้ด้วย”
นางเด็กกว่าเสี่ยวจิ้งคงแท้ๆ แต่กลับไม่พูดคำซ้ำเลย
“วาดเอา” กู้เจียวบอก
องค์หญิงน้อยวางมาดเคร่งเป็นพิเศษเอ่ย “เดี๋ยววาดให้ข้าด้วยนะ”
เหล่าสาวใช้เม้มปากแอบหัวเราะ
มู่ชิงเฉินแนะนำงานให้กู้เจียวฟังว่าเป็นการสอนองค์หญิงน้อยขี่ม้า มู่ชิงเฉินเองสอนเด็กเล็กไม่ค่อยเป็น เมื่อวานเห็นกู้เจียวพูดคุยกับน้องชายเพื่อนร่วมหอของซูเสวี่ยบนอัฒจันทร์ได้ไม่เลว รู้สึกว่ากู้เจียวมีพรสวรรค์ในการสื่อสารกับเด็กๆ
“แค่นี้น่ะรึ” กู้เจียวเอ่ย
มู่ชิงเฉินเอ่ย “องค์หญิงน้อยเป็นโรคหอบหืด เจ้ารู้วิชาแพทย์ ไม่มีใครเหมาะสมเท่าเจ้าอีกแล้ว”
“อ๋อ” กู้เจียวเข้าใจ “ต้องมาทุกวันหรือว่า…”
มู่ชิงเฉินส่ายหน้า “ไม่หรอก สามถึงห้าวันมาหนนึงก็พอ แต่ละครั้งจะสอนนานเท่าใดเจ้าก็พิจารณาจากสภาพร่างกายขององค์หญิงน้อยได้เลย เดือนละห้าสิบตำลึง”
กู้เจียวพอใจกับค่าแรงและเนื้องานมาก
เนื่องจากเป็นวันแรก มู่ชิงเฉินจึงห่วงว่ากู้เจียวจะมีความสามารถพอที่จะทำงานนี้ได้หรือไม่ จึงได้รั้งอยู่ด้วยกันกับกู้เจียว
ทั้งคู่ไปเลือกม้าที่คอกเป็นเพื่อนองค์หญิงน้อย
องค์หญิงน้อยมีคอกม้าเป็นของตัวเอง
ในคอกม้ามีแต่ลูกม้าที่นิสัยโอนอ่อน องค์หญิงน้อยให้กู้เจียวเลือก กู้เจียวเลือกม้าสีขาวมาตัวหนึ่ง “วันนี้เจ้าสวมกระโปรงนางฟ้าสีขาว เข้าคู่กันพอดีเลย”
ไม่รู้เพราะคำว่านางฟ้าทำให้องค์หญิงน้อยรื่นหูกระมัง องค์หญิงน้อยจึงได้เชิดหน้าขึ้น “ถูกต้องแล้ว ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน!”
คนรับใช้ในคอกม้าหยิบอานม้าที่องค์หญิงน้อยใช้โดยเฉพาะมาให้ กู้เจียวใส่อานม้าเรียบร้อย ก่อนจะอุ้มองค์หญิงน้อยขึ้นไป
องค์หญิงน้อยยังไม่ทันจะหย่อนก้นลงนั่งกับที่ก็โผพรวดไปหากู้เจียว “เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว! ข้ากลัว!”
กู้เจียวส่งเสียงอ๋อคำหนึ่งพลางเอ่ย “มีอะไรต้องกลัวกัน มันเชื่องมาก ท่านแค่จับบังเหียนไว้ให้ดี ก็ไม่ตกลงมาแล้ว”
องค์หญิงน้อยห้อยโหนอยู่บนตัวกู้เจียว สองแขนน้อยๆ กอดคอนางไว้แน่น ไม่กล้าหันกลับไป “กะ กะ กะ ก็ข้ากลัวนี่!”
ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่ขึ้นม้า
มู่ชิงเฉินไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาสอนองค์หญิงน้อยมาหลายครั้ง ทุกครั้งล้วนจบด้วยการขึ้นม้าไม่ได้
กู้เจียวชะงักไป ก่อนถามองค์หญิงน้อยที่กำลังตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่ในอ้อมแขนนาง “ในเมื่อท่านกลัว เหตุใดยังจะเรียนอีกเล่า เด็กไม่ขี่ม้าก็ได้นี่นา”
องค์หญิงน้อยแม้ภายนอกดูเข้มแข็งแต่ภายในจิตใจขี้ขลาดตาขาว “ก็ข้าจะเรียน!”
กู้เจียวมองไปยังมู่ชิงเฉิน มู่ชิงเฉินเลิกคิ้วอย่างจนปัญญา บ่งบอกว่าเขาก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าดูข้าขี่ก่อนดีหรือไม่”
“ก็ได้” องค์หญิงน้อยลงมาจากตัวกู้เจียว
กู้เจียวขอม้าพันธุ์ดีโตเต็มวัยจากคนรับใช้ของคอกม้า นางขี่ม้าวิ่งรอบสนามรอบหนึ่ง ไม่ช้าไม่เร็ว ไม่ทำให้เด็กน้อยตกใจ
เป็นอย่างที่คิด ท่าทางสง่าผ่าเผยบนหลังม้าของนางทำให้องค์หญิงน้อยอยากจะขี่บ้าง
มู่ชิงเฉินส่งสายตาให้คนรับใช้
คนรับใช้จูงลูกม้าสีขาวตัวนั้นเดินมาหา
มู่ชิงเฉินอุ้มองค์หญิงน้อยขึ้นมา “องค์หญิงน้อยลองดู”
“ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา!” องค์หญิงน้อยมุดหน้าเข้าอกมู่ชิงเฉินท่าเดียว
กู้เจียวควบม้ามาหา เอื้อมมือไปคว้าตัวเจ้าหนูน้อยมาบนหลังม้าทันที
“ไอ้หยา…”
องค์หญิงน้อยหมอบอยู่บนอานม้า!
ลมแรงพัดโชยมา พัดเอาแก้มน้อยๆ ของนางพองโตขึ้น
เด็กๆ ที่บ้านก็เอาอยู่มาหมดแล้ว รวมถึงกู้เสี่ยวเป่าที่อายุไม่กี่เดือนด้วย กู้เจียวขาดประสบการณ์ในการคลุกคลีกับเด็กผู้หญิงน่ารักน่าเอ็นดู สุดท้ายนางก็ทำองค์หญิงน้อยร้องไห้เป็นที่เรียบร้อย
…
กู้เจียวออกมาจากสนามก็ขึ้นนั่งรถม้าของมู่ชิงเฉิน
องค์หญิงน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นจนหายใจไม่ทัน มู่ชิงเฉินไปปลอบนาง
ราวๆ หนึ่งเค่อต่อมา มู่ชิงเฉินก็กลับมาขึ้นรถม้า
กู้เจียวครุ่นคิดว่าถือว่าตัวเองทดลองงานไม่ผ่านแล้วใช่หรือไม่ ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเด็กผู้หญิงจะร้องไห้ง่ายดายเพียงนี้
“เจ้าอุตส่าห์มีน้ำใจ คราหน้า…”
“องค์หญิงน้อยถามว่าคราหน้าเจ้าจะมาเมื่อใด”
กู้เจียวนิ่งอึ้ง
มู่ชิงเฉินปรายตามองนาง “ไม่อยากมาแล้วรึ”
กู้เจียวเอ่ย “ไม่ใช่หรอก แค่แปลกใจอยู่ไม่น้อย นางร้องไห้ถึงขนาดนั้นแล้ว ยังจะให้ข้ามาอีกรึ”
มู่ชิงเฉินแย้มยิ้มบางบนมุมปาก “องค์หญิงน้อยบอกว่ามีแค่เจ้าที่กล้าจับนางขึ้นม้า คนอื่นไม่มีใครกล้าเลย หากเรียนกับคนอื่นชั่วชีวิตนี้นางก็ขี่ม้าไม่เป็นหรอก ถ้าได้เรียนกับเจ้าอาจจะเป็นก็ได้”
อ๋อ ช่างเป็นยัยหนูขี้แยที่หัวรั้นพอดูทีเดียว
กู้เจียวหันไปมองมู่ชิงเฉิน
มู่ชิงเฉินถูกกู้เจียวมองจนรู้สึกแปลกๆ “มีอะไรรึ”
กู้เจียวถาม “องค์หญิงน้อยเป็นอะไรกับเจ้ารึ”
มู่ชิงเฉินเอ่ย “เยี่ยนซานจวิ้นบิดานางเป็นสหายสนิทกันกับอันกั๋วกง เมื่อนานมาแล้วเคยอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของอันกั๋วกง เคยสอนข้าเล่นหมากรุก และเคยสอนอินอินเล่นด้วย”
“อินอิน” สีหน้ากู้เจียวชะงัก “เพื่อนเล่นวัยเด็กคนนั้นของเจ้าน่ะรึ”
“อืม” มู่ชิงเฉินพยักหน้า
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ชิงเฉินเอ่ยชื่อของเพื่อนวัยเด็กคนนั้น
กู้เจียวรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูแปลกๆ ราวกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
“เยี่ยนซานจวิ้นหมู่นี้ไม่อยู่ที่จวน เขาออกจากบ้านไปไกลทีเดียว” มู่ชิงเฉินเอ่ย ราวกับกำลังอธิบายว่าเหตุใดจึงไม่ได้พานางไปคารวะเยี่ยนซานจวิ้น
กู้เจียวส่งเสียงอ้อคำหนึ่ง
นางไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย
นางกำลังคิดถึงชื่อนั้นอยู่ต่างหาก
อินอิน
ฟังแล้วค่อนข้างติดอยู่ในหัวไม่ไปไหนเลย
รถม้าออกจากคฤหาสน์แล้ว
“ท่านชาย เราจะไปไหนต่อขอรับ กลับสำนักบัณฑิตหรือ” สารถีเอ่ยถาม
มู่ชิงเฉินมองกู้เจียว
กู้เจียวเอ่ย “กลับสำนักบัณฑิตแล้วกัน”
ก็ยังไม่ยอมบอกที่อยู่กับเขา
มู่ชิงเฉินไม่ได้เอ่ยอะไร
รถม้าควบวิ่งไปทางสำนักบัณฑิตเทียนฉง ขามาพวกเขาผ่านประตูเมืองชั้นในฝั่งใต้ ขากลับย่อมผ่านที่เดิม
อากาศร้อน กู้เจียวจึงเปิดหน้าต่างไว้ตลอด