สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 740 เทพสงครามออกโรง
บทที่ 740 เทพสงครามออกโรง
เมื่อครู่คือองครักษ์ตระกูลเฟิ่ง เหล่าคนที่ออกมาทำภารกิจครานี้ล้วนไม่ใช่องครักษ์ธรรมดา แต่เป็นยอดฝีมือที่ผ่านการคัดเลือกมาทั้งสิ้น
สามารถแทงทวนโดนเขาได้ เดิมก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงฝีมือของเด็กหนุ่มคนนี้ได้แล้ว
ทว่าหากอาศัยแค่สิ่งนี้คงไม่อาจทำให้ทุกคน ณ ที่นั้นตกตะลึงพรึงเพริดกันได้หรอก
ไอสังหารและความเหี้ยมโหดที่แผ่กำจายออกจากตัวเด็กหนุ่มทำให้ทุกคนรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาก เพียงแต่ยามนี้มีเพียงประมุขตระกูลต่งเท่านั้นที่นึกถึงเซวียนหยวนเฉิงขึ้นมา
“ปึก!”
เมื่อพวกประมุขตระกูลต่งออกคำสั่ง องครักษ์อีกห้านายที่เหลือบ้างก็ชักดาบ บ้างก็ง้างกระบี่ พุ่งไปหากู้เจียว
ทุกคนจ้องมองเด็กหนุ่มต่อสู้กับเหล่าองครักษ์ตาไม่กะพริบ
เด็กหนุ่มรู้ว่าตัวเองเสียเปรียบด้านจำนวนคน เขาต้องรักษาพละกำลังร่างกายในระดับที่สูงที่สุด ดังนั้นทุกกระบวนท่าของเขาล้วนโจมตีโดนจุดตายของคู่ต่อสู้ ไม่มีทางปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายได้โต้คืน
“พวกท่านนึกถึงใครกันบ้าง” ประมุขตระกูลต่งถาม
ในหัวของทุกคนมีชื่อหนึ่งผุดวาบขึ้นโดยพร้อมเพียง เซวียนหยวนเฉิง
เซวียนหยวนเฉิงติดตามบิดาลงสนามรบตั้งแต่สิบขวบ สิบสองขวบก็สร้างคุณูปการทางการทหาร เขาเป็นหมาป่าหนุ่มกระหายโลหิตที่กล้าหาญที่สุดในสนามรบ
เจอเทพสังหารเทพ เจอมารสังหารมาร ถึงจะฆ่าไม่ตายก็จะกัดกระชากเนื้อบนร่างอีกฝ่ายให้หลุดมาสักชิ้น
ดังนั้น แม้ว่าจะเป็นทัพศัตรูที่เอาชนะเซวียนหยวนเฉิงได้ แต่ก็ไม่อยากต่อสู้กับเซวียนหยวนเฉิงอีกหนแล้วเช่นกัน
…เพราะสิ่งที่ต้องแลกนั้นมีมากมายเหลือเกิน
เฟิ่งเหล่าซานถาม “เจ้าเด็กนี่เป็นใครมาจากไหนกัน”
ประมุขตระกูลต่งสีหน้าซับซ้อนเอ่ย “ไม่เคยเจอ ไม่รู้จัก”
เมื่อองครักษ์คนสุดท้ายล้มลง การต่อสู้ก็สิ้นสุด
‘รวดเร็วกว่าที่คิดไว้มากนัก!’
‘เจ้าหนูนี่ดูๆ แล้วไม่เหมือนยอดฝีมือ แต่ไฉนทุกกระบวนจึงเอาถึงตายเช่นนี้เล่า’
เฟิ่งเหล่าซานหรี่ตาลง ทะยานตัวขึ้น “ข้าจะสู้เจ้าเอง!”
อาวุธของเขาเป็นดาบยาว ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับหัวทวนพู่แดงในมือกู้เจียว น้ำหนักมากกว่าอยู่หน่อย ทว่ายังหนักสู้ทวนพู่แดงของเซวียนหยวนลี่ไม่ได้
เขาฟันดาบลงมา กู้เจียวสองมือถือทวนต้านไว้ แขนของนางพลันชาดิก
เฟิ่งฮว๋าย บุตรชายสายตรงของประมุขตระกูลเฟิ่ง อยู่อันดับสามของตระกูล ถูกขนานนามว่าเฟิ่งเหล่าซาน ถนัดดาบยาว พละกำลังมหาศาลสุดประมาณได้
เฟิ่งเหล่าซานมองกู้เจียวที่ต้านดาบยาวของตนเอาไว้ ก่อนหัวเราะเสียงเย็นอย่างเหนือคาด “ไอ้หนู รับดาบข้าไว้ได้ พละกำลังของเจ้าก็ไม่น้อยนี่! เช่นนั้นมาดูซิว่าเจ้าจะมีปัญญารับดาบที่สองของข้าหรือไม่!”
ดาบที่สองใช้กำลังเพียงสามส่วนเท่านั้น
ยามดาบที่สองฟันลงมา สองเท้าของกู้เจียวยวบจบดินลงไปเกือบครึ่งนิ้ว
หากยังสู้เช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วได้โดนเขาสูบพลังจนเกลี้ยงแน่
กู้เจียวตัดสินใจพลิกจากป้องกันเป็นโจมตี เมื่อเฟิ่งเหล่าซานฟันดาบที่สามลงมา กู้เจียวก็ไม่ได้รับไว้ตรงๆ แล้ว แต่กระทุ้งทวนยาวทีหนึ่ง อาศัยแรงทะยานตัวขึ้น ตีลังกาทะยานข้ามศีรษะเฟิ่งเหล่าซานไป
ชั่วขณะที่ตกลงพื้น นางชักทวนพู่แดงออกจากพื้น พลิกตัวแทงสวนฟันโดนบั้นเอวที่เฟิ่งเหล่าซานไม่ทันป้องกัน
เฟิ่งเหล่าซานตกตะลึง “เจ้า…”
เขามองบาดแผลของตัวแองอย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะหันไปมองกู้เจียวที่ถือทวนพู่แดงหอบหายใจกระชั้น “ไอ้หนู! เมื่อครู่ที่เจ้าใช้มันเพลงทวนของตระกูลเซวียนหยวนนี่!”
“ว่าอย่างไรนะ” ใต้เท้าเฉินตกตะลึง
ประมุขตระกูลต่งมองออกนานแล้ว
คราเมื่อเจ้าหนูคนนี้จัดการกับองครักษ์นั้นใช้เพลงทวนธรรมดา แต่เฟิ่งเหล่าซานค่อนข้างจัดการด้วยยาก นางจึงเปลี่ยนเพลงทวน
กระบวนเมื่อครู่นี้เป็นกระบวนที่สี่ในบรรดาเซวียนหยวนเจ็ดกระบวน เป็นกระบวนพลิกจากการป้องกันเป็นโจมตีที่สมบูรณ์แบบกระบวนหนึ่ง
หากจะใช้เพลงทวนของตระกูลเซวียนหยวนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อันดับแรกต้องเคลื่อนกำลังภายในเข้าสู่จุดตันเถียนให้สมบูรณ์ อาศัยความอดทนและแรงระเบิดในร่างกายเพียงเท่านั้น โดยไม่แตะใช้กำลังภายในแม้แต่นิดเดียว
เพลงทวนชุดนี้เซวียนหยวนลี่เป็นคนคิดค้นขึ้น
ว่ากันตามตรงแล้ว เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเซวียนหยวนลี่ต้องคิดค้นเพลงทวนเช่นนี้ขึ้นมา คนตระกูลเซวียนหยวนล้วนมีกำลังภายในกันหมดแท้ๆ เขาคิดค้นเพลงทวนที่ใช้กำลังภายในขับเคลื่อนไม่ดีกว่าหรือ
ทำเอาพวกเขาที่เป็นยอดฝีมือตระกูลเก่าแก่ใหญ่โตอยากจะครูพักลักจำก็ร่ำเรียนไม่ได้
ความคิดแล่นลอยไปไกล ควรคิดได้แล้วว่าเจ้าหนูนี่ได้เพลงทวนกระบวนท่านี้มาได้อย่างไร และอาศัยความเพียรพยายามกับสมรรถภาพทางกายที่น่าทึ่งแบบใดจึงร่ำเรียนได้สำเร็จ
คนที่สามารถทนต่อความแข็งแกร่งเช่นนี้ได้ นอกจากเซวียนหยวนลี่กับเซวียนหยวนเฉิงในตอนนั้นแล้ว ก็มีเพียงนักบวชกายโลหะแห่งวัดเส้าหลินเท่านั้น
เจ้าหนูนี่คือนักบวชเส้าหลินอย่างนั้นรึ
ไม่สิ นักบวชเส้าหลินก็เรียนไม่สำเร็จวิชาเช่นกัน วิชายุทธ์ของทั้งสองขัดแย้งกัน
ประมุขตระกูลต่งมึนงง จู่ๆ เขาก็สนอกสนใจเด็กหนุ่มคนนี้ยิ่งนัก อยากจะรู้ที่มาของเขา
หลังจากที่เฟิ่งเหล่าซานได้รับบาดเจ็บก็เริ่มใช้พละกำลังทั้งหมด การโจมตีของเขารวดเร็วขึ้นทุกกระบวน ทำให้กู้เจียวเร้นกายหลบไม่ทัน
เฟิ่งเหล่าซานถีบไหล่กู้เจียวไปทีหนึ่ง กู้เจียวถูกเตะกระเด็นไปหลายจั้ง สองเท้าไถลพื้นลากเป็นทางยาว จนกระทั่งนางปักทวนพู่แดงลงพื้นลึก!
ยามนางหยุดลง ร่างอยู่ห่างจากเสี่ยวจิ้งคงไม่เกินครึ่งนิ้ว
“เจียวเจียว”
เสี่ยวจิ้งคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของนาง แต่เสี่ยวจิ้งคงจำคำพูดของกู้เจียวได้ ห้ามหันหลังกลับ
กู้เจียวหันไปมองเฟิ่งเหล่าซานที่อยู่ตรงหน้านิ่ง ยกมือปาดคราบเลือดตรงมุมปาก ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบา “นับดาว”
“ได้เลย!” เสี่ยวจิ้งคงนั่งขัดสมาธิบนเสื้อกันลม ทอดมองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ทอแสงประกายดวงดาวเลือนราง “หนึ่งดวง สองดวง สามดวง…”
เสียงเด็กเล็กของเขาเป็นความสงบเงียบที่นางอยากปกป้อง
กู้เจียวยืดตัวขึ้นตรง มือถือทวนพู่แดงไว้ ก้าวไปหาเฟิ่งเหล่าซานทีละก้าว
เฟิ่งเหล่าซานมึนงงไปหมด
เกิดอะไรขึ้น
โดนเขาถีบกระเด็นแล้ว นึกไม่ถึงว่ายังลุกขึ้นมาได้ ซ้ำยังเดินมาหาเขาแล้ว!
“ดียิ่ง เจ้ารนหาที่ตายเองนะ เช่นนั้นก็อย่ามาหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน!”
เฟิ่งเหล่าซานยกดาบยาวขึ้น ฟาดฟันใส่ลำคอของกู้เจียว!
กู้เจียวที่เดิมทีควรจะโดนฟันหัวหลุดจากบ่าพลันหายตัวไป!
เฟิ่งเหล่าซานตกตะลึง
ทวนพู่แดงของกู้เจียวยังปักคาพื้นไว้อยู่เลย แต่ตัวคนเล่า
ครู่ต่อมา กู้เจียวก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเฟิ่งเหล่าซาน
เฟิ่งเหล่าซานสันหลังเย็นวาบ สัมผัสได้ถึงบางอย่าง กำลังจะหันกลับไปก็โดนกู้เจียวดึงผมตรงท้ายทอยเอาไว้เสียก่อน
กู้เจียวดึงเขาไว้ด้วยมือหนึ่ง อีกข้างหนึ่งถือกริช ก่อนจะปาดคอเขา
นี่หาใช่เพลงทวนของตระกูลเซวียนหยวน แต่เป็นท่าไม้ตายของชาติก่อน ไม่ได้ใช้มันเสียนาน ยังดีที่นางจำได้
เฟิ่งเหล่าซานปากอ้าตาค้างล้มลงกับพื้น
กลิ่นคาวโลหิตเข้มข้นคละคลุ้งอยู่ในอากาศ ทุกอณูในร่างกายกู้เจียวเต้นระริกอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ ทว่านางยังคงหลงเหลือสติอยู่บ้าง
นางถือกริชอาบโลหิตหันไปมองสี่คนที่เหลือนิ่งๆ
ทว่านี่ต่างหากที่น่ากลัวที่สุด
เจ้าหนู เมื่อครู่นี้เจ้าสังหารมนุษย์คนหนึ่งไปเชียวนะ ไม่ใช่หั่นผักกาดขาวต้นน้อย!
กู้เจียวยกกริชขึ้น “ข้าชักรำคาญแล้วสิ พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย”
…
อีกด้านหนึ่ง มู่ชิงเฉินกับองครักษ์ประจำตัวก็เข้ามาในป่าแล้วเช่นกัน
องครักษ์ทอดมองเหนือศีรษะ “ท่านชาย ดูสิขอรับ นกเหยี่ยวตัวนั้นบินสูงยิ่งนัก”
มู่ชิงเฉินเหลือบตาขึ้นมอง
เขาสังเกตเห็นนกเหยี่ยวตัวนี้มาสักพักใหญ่แล้ว มันเอาแต่บินวนเวียนอยู่บริเวณหนึ่งไปมา
มู่ชิงเฉินดึงสายตากลับ “ไม่ต้องสนใจนกเหยี่ยวตัวนั้น หาตัวคนสำคัญกว่า”
องครักษ์ขานรับ “ขอรับ ท่านชาย”
ทั้งสองเดินไปได้สักระยะหนึ่ง องครักษ์ก็เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว ฟ้ามืดแล้ว หากยังหาองค์หญิงน้อยไม่เจอ เกรงว่าองค์หญิงน้อยอาจจะประสบเคราะห์ร้ายมากกว่าดีแล้วขอรับ”
มู่ชิงเฉินขมวดคิ้ว ไม่ได้เอ่ยคำใด
เขาไม่อยากเห็นเรื่องพรรค์นั้นเกิดขึ้น แต่ก็จำต้องยอมรับว่ายิ่งเวลาเนิ่นนานไป ความเป็นไปได้ที่องค์หญิงน้อยยังอยู่ก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ
พวกเขาเข้าป่ามาจากอีกทางหนึ่ง ไม่เจอกับศพของคนหาบเร่ ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้ว่าองค์หญิงน้อยถูกคนเจอและพาตัวไปแล้ว
องครักษ์เอ่ยขึ้นอีก ท่านชายขอรับ เหตุใดท่านไม่ให้ท่านชายมู่ชวนตามมาด้วยเล่า”
มู่ชิงเฉินเอ่ย “เขามาก็เปล่าประโยชน์”
ตัวเองยังเป็นเด็กอยู่เลย
ในขณะที่ทั้งสองสนทนากัน จู่ๆ เสียงนกเหยี่ยวร้องก็ลอยมาจากท้องนภา เหยี่ยวตัวนั้นที่บินวนเวียนอยู่เหนือผืนป่าพุ่งลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว ราวกับเจอเหยื่อ
จากนั้น เสียงร้องโหยหวนรุนแรงก็ลอยมาจากสวนลึกของป่า “อ้ากกก”
องครักษ์เอ่ยอย่างระแวดระวัง “ท่านชาย! มีคน!”
มู่ชิงเฉินอาศัยแสงจันทร์มองแผนที่ในมือ “เป็นทางไปลำธาร ไปกัน ไปดูหน่อย!”
ม้าของทั้งสองมาได้ครึ่งทางก็ไม่อาจเดินหน้าต่อได้แล้ว เพราะสภาพถนนหนทางย่ำแย่เกินไป การขี่ม้าจึงไม่เร็วเท่าวิชาตัวเบา
ยามนี้ทั้งคู่ต่างเดินด้วยเท้า
ทั้งคู่ใช้วิชาตัวเบาไปแทน
ริมลำธารกำลังมีการต่อสู้โกลาหลเกิดขึ้น
ประมุขหลายตระกูลกับเสาหลักตระกูลใหญ่ ณ ที่นั้นต่างเป็นผู้มีวรยุทธ์กันทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นจะเข้ามาในป่าด้วยตัวเองได้อย่างไร
มีเพียงประมุขตระกูลหยางที่สังเกตการณ์การต่อสู้อยู่ด้านข้าง เขาอายุอานามมากที่สุด ณ ที่นี่ อายุห้าสิบกว่าแล้ว แม้แต่ขึ้นลงต้นไม้ยังอาศัยองครักษ์ช่วยแบกหาม
ประมุขตระกูลต่งต้านทวนของกู้เจียวเอาไว้ หันหน้ากัดฟันกรอด พลางเอ่ย “พอแล้วเหล่าหยาง ไม่ต้องแสร้งแล้ว! หากยังแสร้งอ่อนแอต่อ พวกเราไม่มีใครหนีรอดแน่!”
ในบรรดาพวกเขานั้น เหล่าหยางที่แสร้งอ่อนแอต่างหากที่วรยุทธ์สูงส่งที่สุด
ประมุขตระกูลต่ง ใต้เท้าเฉินและใต้เท้าตู้ร่วมมือกันยังแค่ตีเสมอกู้เจียวเท่านั้น
กู้เจียวเป็นคนที่รับมือยากยิ่งนัก
นี่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย
ทว่าเหล่าหยางก็ใช่ว่าจะยืนดูการต่อสู้เปล่าๆ ปลี้ๆ อยู่ตั้งนานเสียเมื่อไร เขาสังเกตวิถีการต่อสู้ของกู้เจียวอยู่ตลอด กะว่าจะหาช่องโหว่ของกู้เจียว
เด็กหนุ่มผู้นี้มีช่องโหว่อยู่ก็จริง แต่สามคนนั้นมีช่องโหว่มากกว่า มิน่าเล่า จึงโดนฟาดเสียอนาถเพียงนั้น
เขาทะยานตัวขึ้น “ได้ ข้ามาช่วยพวกท่านเอง”
หลังจากประมุขตระกูลหยางเข้าร่วมการต่อสู้ กู้เจียวก็รู้สึกกดดันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ตาเฒ่านี่ ไม่รู้สึกว่ามีตัวตนอยู่เลย เป็นยอดฝีมือขนานแท้!
ในขณะที่พวกเขาสู้รบพัวพันกันนั้น องครักษ์จำนวนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากอีกด้านหนึ่งของป่า
พวกเขาฉลาดเฉียบแหลมมาก ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ของเหล่ายอดฝีมือ แต่ตรงไปจับตัวเสี่ยวจิ้งคงกับองค์หญิงน้อยตรงริมลำธารแทน
ที่สำคัญคือ ฟ้ามืดแล้ว เสื้อผ้าและทรงผมของทั้งคู่ล้วนเหมือนกัน ใบหน้ายิ่งสกปรกมอมแมมจนไม่เห็นเค้า
พวกเขาแยกไม่ออกว่าผู้ใดคือองค์หญิงน้อย จำต้องจับไปทั้งคู่แล้วค่อยว่ากัน
กู้เจียว “เสี่ยวจิ่ว!”
เสี่ยวจิ่วโฉบลงไปจิกดวงตาขององครักษ์ที่นำอยู่หน้าสุดทันที
มู่ชิงเฉินกับองครักษ์ที่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนก็มาจากปากของเขานี่เอง
ในขณะนี้ เสี่ยวจิ่วไม่ใช่เหยี่ยวธรรมดาๆ อีกต่อไปแล้ว มันคือเหยี่ยวสังหารของกู้เจียว!
เสี่ยวจิ่วก็เริ่มเปิดการต่อสู้ของมันแล้วเช่นกัน!
องครักษ์นายหนึ่งแสร้งบาดเจ็บกระโดดลงลำธาร แต่ความจริงกำลังจับตาดูเด็กน้อยสองคนริมลำธารอยู่
เสี่ยวจิ้งคงมององครักษ์ที่คลานมาหาเขา
อื้อ เจียวเจียวบอกว่าห้ามหันกลับไป ไม่ได้บอกว่าห้ามขยับนี่นะ
องครักษ์พุ่งเข้าใส่เสี่ยวจิ้งคงอย่างแรง
เสี่ยวจิ้งคงกระโดดเด้งโหยงเหยง มือเหล็กน้อยยื่นไปเบื้องหน้า “ลิงขโมยท้อ!”
องครักษ์ “…!!’
องครักษ์ทรุดลงกับพื้น เจ็บปวดจนอวัยวะบนใบหน้าบิดเบี้ยว
มู่ชิงเฉินที่เร่งรุดมาถึงได้เห็นภาพนี้เข้า สองขาพลันแข็ง สูดลมหายใจลึก
กู้เจียวก็ไม่ได้ต่างกันเท่าใด นางเซวูบเกือบล้มลงไปแล้ว!
ไปเรียนวิชาอันธพาลมาจากที่ใด
อย่าบอกนางนะว่าท่านโหวอะไรนั่นสอนอีกแล้ว!
เสี่ยวจิ้งคงผู้ไร้เดียงสาของนางโดนพาให้เสียคนเช่นนี้หรือ!
รอนางกลับแคว้นเจาก่อนเถิด นางจะต่อยเขา! ต่อยเขา! ต่อยเขา!
กู้เจียวเข้าใจผิดแล้ว กระบวนนี้เซวียนผิงโหวไม่ได้เป็นคนสอนจริงๆ มันมาจากสหายอันธพาลตัวน้อยที่ทรงพลังที่สุด หัวโจกนักเลงทั้งสามแห่งกั๋วจื่อเจียน สวี่โจวโจว