สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 741 เจียวเจียวผู้อำมหิต (1)
บทที่ 741 เจียวเจียวผู้อำมหิต (1)
สถานการณ์การต่อสู้ระหว่างกู้เจียวกับเหล่าประมุขตระกูลดุเดือดเลือดพล่านยิ่งนัก เนื่องจากประมุขตระกูลหยางเข้าร่วมวงมา พละกำลังการต่อสู้ของอีกฝ่ายก้าวหน้าไม่น้อยก็จริง แต่กู้เจียวก็ไม่ใช่คนเหล็กเช่นกัน
ยามนางต่อสู้นั้นไม่คิดชีวิต แต่พวกประมุขตระกูลต่งกลับทำไม่ได้
พวกเขาทั้งไม่อยากให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งวาดหวังให้สังหารกู้เจียวตายได้ง่ายๆ สุดท้ายยิ่งพวกเขาสู้ยิ่งโกลาหลหนัก ในที่สุดนอกจากประมุขตระกูลหยางแล้ว อีกสามคนที่เหลือล้วนได้รับบาดเจ็บกันหมด
ประมุขตระกูลต่งเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ เขามักจะร้องลั่นที่สุด หลบไกลที่สุด ให้สหายร่วมทัพรับบาดเจ็บแทน ด้วยเหตุนี้เขาจึงบาดเจ็บน้อยที่สุด
ประมุขตระกูลเฉินบาดเจ็บสาหัสที่สุด ขาขวากับท้องซีกซ้ายโลหิตไหลบ่าไม่ขาดสาย ล้มลงกับพื้นสิ้นสติไป
ส่วนกำลังกายของกู้เจียวก็สูญเสียไปมาก
หากสองฝ่ายสู้กันต่อไปมีแต่จะบอบช้ำบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย แม้จะเป็นเพราะไอ้แซ่หยางนั่นก็ตาม…
กู้เจียวมองประมุขตระกูลหยางแวบหนึ่ง
คนผู้นี้ลุ่มลึกยากจะคาดเดาเกินไป ข้อมูลเกี่ยวกับเขามีบันทึกไว้ในหอตำราน้อยที่สุด
หากมิใช่ยามนี้ต่อสู้กับเขาไปยกหนึ่ง ใครจะคาดคิดว่าเขายังเป็นยอดฝีมือที่ปิดบังตัวตนอีกด้วย
ประมุขตระกูลต่งเอ่ยกับประมุขตระกูลหยาง “เขาหมดกำลังกายไปมากแล้ว เหล่าหยาง ข้ากับเหล่าตู้จะถ่วงเขาไว้ เจ้าหาโอกาสสังหารเขาได้เลย!”
ประมุขตระกูลหยางแววตาดำทมิฬมองไปยังกู้เจียว “ได้”
ประมุขตระกูลต่งกับใต้เท้าตู้สบสายตากัน ขนาบข้างกู้เจียวกันอย่างรู้ใจ ก่อนจะประสานการโจมตีกู้เจียวทั้งสองฝั่ง
ส่วนประมุขตระกูลหยางที่สังเกตการต่อสู้ในสนามตาไม่กะพริบ พยายามรอคอยช่องโหวของกู้เจียวที่จะโผล่ออกมา
เมื่อประมุขตระกูลต่งตรึงกู้เจียวให้เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ส่วนใต้เท้าตู้ต้านทวนพู่แดงของนางไว้ ประมุขตระกูลหยางหรี่ตาลง
กำลังกายของเด็กหนุ่มลดลงแล้ว ความเร็วก็ลดลงหนึ่งลมหายใจ
หนึ่งลมหายใจนี้ สำหรับยอดฝีมือทั่วไปไม่นับว่าเป็นอะไร แต่สำหรับระดับอย่างเขานั้นเป็นช่องโหว่มหาศาลเลยทีเดียว!
ตอนนี้ล่ะ!
ประมุขตระกูลหยางยกมือขึ้น ฟาดฝ่ามือทรายเหล็กใส่หลังกู้เจียวทันที!
แทบจะในขณะเดียวกันนั้นเอง บุรุษอาภรณ์ขาวคลุมหน้าก็เร้นกายวาบ ต้านอยู่เบื้องหน้ากู้เจียว ซัดลมปราณจากฝ่ามือใส่ประมุขตระกูลหยาง
หนึ่งลมหายใจผ่านไปแล้ว ประมุขตระกูลต่งกับใต้เท้าตู้ที่ตรึงนางไว้มาถึงขีดจำกัด กู้เจียวซัดทวนใส่ทั้งสองกระเด็นถอยไป
นางหันหลังกลับมามอง
บุรุษอาภรณ์ขาวทะยานตัวขึ้นมาหานาง โอบเอวบางอ้อนแอ้นของนางไว้ ก่อนพานางทะยานขึ้นสู่อากาศ
“ข้าเอง” เขาเอ่ยเสียงเบา
กู้เจียวทอดมองไปยังริมลำธาร ไม่เห็นเงาเสี่ยวจิ้งคงกับองค์หญิงน้อยแล้ว
เขาเอ่ย “อยู่ข้างหน้า”
กู้เจียวไม่ต่อต้านอีก
ในขณะที่มู่ชิงเฉินนึกว่ากู้เจียวโดนเขาพาตัวไปแต่โดยดีจริงๆ จู่ๆ กู้เจียวก็หันกลับมา พลิกมือซัดกริชออกไป!
“พวกท่านไม่เป็นไรกระมัง…ระวัง!” ประมุขตระกูลต่งร้องลั่น
กริชพุ่งไปเสียบประมุขตระกูลหยาง ประมุขตระกูลหยางเบี่ยงกายหลบ แต่มุมที่กู้เจียวเลือกนั้นได้เปรียบนักมาก ต่อให้เขาหลบได้ คนผู้นั้นที่อยู่ด้านหลังเขาก็หลบไม่พ้นอยู่ดี
ประมุขตระกูลตู้ติดกับเข้าอย่างจัง โดนกริชปักเข้าเต็มๆ ร่างกายกระเด็นลิ่วจากเรี่ยวแรงอันน่ากลัว กระแทกใส่ต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง ก่อนจะร่วงลงพื้นอย่างแรง
ประมุขตระกูลต่งรีบเดินไปพยุงไหล่เขาไว้ “เหล่าตู้!”
การกระทำของกู้เจียวเหนือจากที่ทุกคนคาดไว้ พวกเขากับมู่ชิงเฉินต่างนึกว่ากู้เจียวจากไปก็ไปจริงๆ ใครจะคิดว่าจะมาไม้นี้
นี่มันนิสัยอาฆาตอะไรเช่นนี้!
ตอนขามาพวกเขามีกันทั้งหมดสิบเอ็ดคน ในนั้นมีองครักษ์หกคน บัดนี้หายไปกว่าครึ่ง เฟิ่งเหล่าซานก็สิ้นใจแล้ว เหล่าตู้กับเหล่าเฉินเป็นตายไม่อาจทราบ ประมุขต่งก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
ประมุขต่งเอ่ย “เหล่าหยาง ก็ยังเป็นท่านที่มีกำลังภายในลึกล้ำที่สุดอยู่ดี ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด”
ไม่เป็นอะไรเลยสักนิดอย่างนั้นรึ
ประมุขตระกูลหยางทอดมองทิศทางที่เด็กหนุ่มกับบุรุษอาภรณ์ขาวสวมผ้าคลุมหน้าจากไป ลอบกำมือขวาเงียบๆ โลหิตหยดหนึ่งไหลลงจากแขนเสื้อ
…
มู่ชิงเฉินพากู้เจียวมายังสถานที่ที่นัดหมายกับองครักษ์ไว้
กู้เจียวมองปราดไปเห็นม้าถูกผูกไว้กับต้นไม้
ศีรษะน้อยๆ โผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่
เจียวเจียวหรือ
ความระแวดระวังในแววตากู้เจียวจึงได้มลายหายไป
เสี่ยวจิ้งคงวิ่งตึงตังเข้ามาหา
กู้เจียวจับมือน้อยของเขา “ตกใจหรือไม่”
“ไม่ตกใจ” เสี่ยวจิ้งคงส่ายหน้า มองมู่ชิงเฉินเอ่ย “เป็นพี่ชิงเฉิน”
เสี่ยวจิ้งคงนึกว่ากู้เจียวจำมู่ชิงเฉินที่คลุมหน้าคลุมตาไม่ได้
“อืม ข้ารู้” กู้เจียวลูบศีรษะน้อยของเขาไปมา ก่อนเอ่ยกับมู่ชิงเฉิน “ขอบคุณมาก”
มู่ชิงเฉินนึกว่ากู้เจียวหมายถึงเรื่องที่ช่วยนาง เขาเอ่ยเสียงนิ่ง “ไม่เป็นไร”
องครักษ์อุ้มองค์หญิงน้อยที่หลับปุ๋ยเดินออกมาจากหลังต้นไม้
เมื่อครู่มู่ชิงเฉินให้องครักษ์พาเสี่ยวจิ้งคงไปก่อน สุดท้ายเกือบถูกเสี่ยวจิ่วโจมตี มู่ชิงเฉินจึงต้องปรากฏตัว เสี่ยวจิ้งคงเห็นเขาจึงได้ลดความระแวดระวังลง
กู้เจียวนั่งลงพิงต้นไม้ใหญ่ เสี่ยวจิ้งคงเดินไปหา อิงแนบกับอกนาง
มู่ชิงเฉินอุ้มองค์หญิงน้อยที่หลับปุ๋ยเดินมาหา ชะงักเล็กน้อย ก่อนนั่งลงอีกฝั่งของเสี่ยวจิ้งคง
เขามองทั้งคู่ด้วยความประหลาดใจ พลางเอ่ย “พวกเจ้า…เหมือนจะไม่ค่อยได้พบกันเท่าใดกระมัง เหตุใดจึงได้สนิทสนมกันเพียงนี้”
คราเมื่อไปชมการแข่งขันตีคลีนั้น เสี่ยวจิ้งคงแสร้งทำเป็นเพิ่งพบกับกู้เจียวครั้งแรกได้ แต่ในป่าที่รายล้อมไปด้วยอันตรายแห่งนี้ เขายากที่จะความใกล้ชิดที่มีต่อกู้เจียว
กู้เจียวเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “เป็นเพราะข้าเข้าถึงง่ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไรกระมัง”
มู่ชิงเฉิน “…”
มู่ชิงเฉินนึกขึ้นได้ว่าองค์หญิงน้อยก็พบหน้ากู้เจียวเพียงหนเดียวเท่านั้นก็ยอมรับนางเป็นอาจารย์แล้ว คงต้องโทษที่กู้เจียวเป็นที่โปรดของเด็กๆ
กู้เจียวหลังพิงต้นไม้ใหญ่ กอดเสี่ยวจิ้งคงไว้ในอ้อมอกพลางถาม “หิวหรือไม่”
เสี่ยวจิ้งคงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแต่โดยดี “หิว”
กู้เจียวถาม “หิวมานานเท่าใดแล้ว”
เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย “หนึ่งวัน”
อยู่ที่บ้านกู้เจียวไม่เคยปล่อยให้เสี่ยวจิ้งคงหิ้วท้องหิวแม้แต่วันเดียว เซียวเหิงก็ด้วย
กู้เจียวไม่ได้พกของกินติดตัวมา แต่ในกระเป๋าปฐมพยาบาลมีลูกอมองุ่นอยู่สองสามเม็ด
กู้เจียวเปิดกล่องใบน้อยออก หยิบหนึ่งเม็ดยื่นให้เขา
เสี่ยวจิ้งคงไม่กิน แต่ป้อนชิดริมฝีปากของกู้เจียวก่อน “ลิ่วหลังกิน”
“ข้าไม่หิว” กู้เจียวเอ่ย
เขาก็บอกกับเสี่ยวเสวี่ยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ความจริงแล้วเขาหิวมาก ดังนั้นเจียวเจียวก็คงหิวมากเช่นกันแน่ๆ
เสี่ยวจิ้งคงยืนกรานจะป้อนกู้เจียวก่อน กู้เจียวจึงกินไปเม็ดหนึ่ง เขาถึงได้หยิบลูกอมอีกเม็ดโยนเข้าปากอย่างปรีดา
ไม่เอาก็ได้
ลูกอมน้อยนิดเพียงนั้น เขากินเม็ดเดียวพอ ที่เหลือต้องให้เจียวเจียว
“ไปเก็บผลไม้มาที” มู่ชิงเฉินสั่งองครักษ์
“ขอรับ”
องครักษ์ไปเก็บผลไม้แถวๆ นี้
มู่ชิงเฉินเอ่ยกับกู้เจียวอย่างห่างเหิน “ที่นี่ลึกลับมาก คงไม่มีผู้ใดมาในตอนนี้หรอก รอให้เจ้ามีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาบ้างแล้ว พวกเราค่อยไปจากที่นี่”
กู้เจียวไม่ค่อยจะสนใจกับการจงใจทำตัวห่างเหินของเขาเท่าใดนัก “ได้”
มู่ชิงเฉินขมวดคิ้ว
เสี่ยวจิ่วกระพือปีกร่อนลงบนกิ่งไม้เหนือศีรษะกู้เจียว
มู่ชิงเฉินเหลือบตาขึ้นมองเสี่ยวจิ่ว ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนถาม “เหยี่ยวตัวนี้…ของเจ้ารึ”
กู้เจียวเอ่ย “ใช่กระมัง”
‘กระมัง’ อย่างนั้นรึ
ช่างเถิด ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งคู่ในยามนี้มาถามเรื่องนี้ดูจะมากเกินไปหน่อย
มู่ชิงเฉินไม่รู้สึกแปลกใจที่กู้เจียวจะออกมาตามหาคน กู้เจียวเป็นอาจารย์ขององ องค์หญิงน้อยหายตัวไป เขาออกแรงตามหาก็สมเหตุสมผลดี
เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าเขามาสู้กับคนพวกนั้นได้อยางไร
มู่ชิงเฉินปลดผ้าคลุมหน้าออก เอ่ยความสงสัยในใจกับกู้เจียวออกไป
เสี่ยวจิ้งคงอมลูกอมไว้ ซุกอยู่ในอ้อมอกกู้เจียวอย่างสบายอุรา เสพสุขกับอ้อมกอดและกลิ่นอายของนาง
ยามนี้เวลานี้เขารู้สึกมีความสุขอย่างหาประมาณมิได้ นึกไม่ถึงว่าจะกระดิกเท้าไปมาพร้อมกับฮัมเพลงเบาๆ
กู้เจียวมองเขาอย่างขบขัน
มู่ชิงเฉินนึกว่ากู้เจียวไม่ได้ยิน กำลังจะถามออกไปอีกหน กู้เจียวดันเอ่ยขึ้นก่อน “พวกเขาจะพาตัวองค์หญิงน้อยไป ข้าไม่อยากส่งตัวให้”
มู่ชิงเฉินขมวดคิ้ว “เจ้า..”
กู้เจียวเอ่ยเสียงนิ่ง “ใช่ ข้าอยากแย่งความดีความชอบของพวก คุณูปการอันใหญ่หลวงเพียงนี้ ใครบ้างจะไม่อยากได้”
มู่ชิงเฉินฟังจบก็เดือดดาลขึ้นมา “เจ้าเป็นคนพรรค์นี้จริงๆ ด้วย”
กลิ่นดินระเบิดเข้มข้นคละคลุ้งอยู่ในอากาศ
มู่ชิงเฉินเบนสายตาหนีอย่างขุ่นเคือง เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังโกรธอะไร จิตใจมันเหมือนมีไฟสุมกองใหญ่
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ” เสี่ยวจิ้งคงเงยหน้าน้อยๆ ขึ้นมาจากอ้อมอกกู้เจียว เอ่ยอย่างจริงจัง “พวกเขาเป็นคนเลว พวกเขาอยากจะชิงตัวเสี่ยวเสวี่ยไป ไม่มีใครยอมใคร ซ้ำยังทำเสี่ยวเสวี่ยล้มด้วย พวกเขาไม่สนว่าเสี่ยวเสวี่ยจะเจ็บหรือไม่ เอาแต่จะชิงตัวนางท่าเดียว”
มู่ชิงเฉินใจพลันกระตุก หันไปมองกู้เจียว อ้าปากพะงาบ “เจ้า..”
“เฮอะ” กู้เจียวหันหน้าหนี
มู่ชิงเฉิน “…”
กู้เจียวชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง ไม่สนว่าคนอื่นจะเข้าใจตัวเองผิด และไม่แก้ต่างให้กับตัวเองด้วย
ทว่าเสี่ยวจิ้งคงสนน่ะสิ
เจียวเจียวเป็นเจียวเจียวที่ดีที่สุดในโลก เขาไม่อยากให้ใครต่อใครเข้าใจนางผิด