สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 741-2 เจียวเจียวผู้อำมหิต (2)
บทที่ 741 เจียวเจียวผู้อำมหิต (2)
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยกับมู่ชิงเฉิน “พี่ชิงเฉิน พวกเขาเป็นฝ่ายลงมือก่อน พวกเขาจะทำร้ายลิ่วหลัง ซ้ำยังคิดจะจับตัวข้ากับเสี่ยวเสวี่ยอีก หากพวกเขาชิงตัวพวกข้าไปได้ ต้องไม่ให้ของกินพวกเราแน่”
มู่ชิงเฉินตั้งใจมาตามหาองค์หญิงน้อยจริงๆ เอาใจตัวเองไปวัดใจผู้อื่น เขาจึงนึกว่าผู้อื่นเหมือนกันกับเขา
แต่ได้ยินคำอธิบายของเสี่ยวจิ้งคงแล้วก็รู้ชัดเลยว่าไม่ใช่อย่างนั้น
คนที่อยากแย่งชิงคุณูปการไปน่ะไม่ใช่เซียวลิ่วหลัง แต่เป็นพวกตระกูลใหญ่ต่างหาก
แต่เจ้านี่อธิบายกับตนดีๆ ไม่เป็นหรือไร เขายอมโดนตนเข้าใจผิด ดีกว่าอธิบายให้มากความอย่างนั้นรึ ในใจเขานั้นตนไม่สำคัญเลยใช่หรือไม่
เขาไม่สนใจสักนิดว่าตนจะเข้าใจผิดเลยหรือ
มู่ชิงเฉินสีหน้าทะมึนจนน่าตกใจ
เสี่ยวจิ้งคงสองมือเกาหัวแกรกๆ
‘หรือว่าข้าอธิบายไม่เข้าใจ พี่ชิงเฉินจึงยิ่งโกรธมากกว่าเดิม’
องครักษ์หอบผลหมากรากไม้กลับมากองโต “ข้าลองชิมแล้ว ไม่มีพิษ เปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยทีเดียว”
กู้เจียวเลือกผลไม้ที่ทั้งลูกใหญ่ ทั้งแดงสดมาลูกหนึ่ง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดๆ ก่อนยื่นให้เสี่ยวจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงนั่งตัวตรงอยู่ในอ้อมอกกู้เจียว สองมือประคองผลไม้ลูกโต กัดลงไปคำหนึ่ง…
เสี่ยวจิ้งคงเปรี้ยวจนหน้าเบ้
กู้เจียวคิดในใจ เอ่อ ลืมไปว่าจิ้งคงเพิ่งจะกินลูกอมมา
เสี่ยวจิ้งคงขยับก้นน้อยๆ หนี ถือผลไม้เปรี้ยวจี๊ดกินต่อ
กินหนึ่งคำก็มองกู้เจียวหนึ่งหน
กู้เจียวมองเขาอย่างสนใจใคร่รู้ “ไม่เปรี้ยวแล้วหรือ”
เสี่ยวจิ้งคงแบมือ โคลงศีรษะ กลายเป็นเจ้าชายน้อยจอมเสี่ยวในชั่วพริบตา “เพราะเจ้าคือลูกอมของข้าน่ะสิ!”
กู้เจียว “…”
มู่ชิงเฉิน “…”
หลังจากที่เสี่ยวจิ้งคงกินผลไม้ไปเจ็ดแปดลูก ก็เรอเอิ๊กออกมา แล้วซุกอกกู้เจียวหลับปุ๋ยไป
รัตติกาลเงียบสงัด ลมราตรีโชยพัดเป็นระลอก
กู้เจียวกินลูกอมองุ่นไปอีกเม็ด รอให้ตัวเองฟื้นคืนกำลังอย่างเงียบๆ
มู่ชิงเฉินทนไม่ไหวถามขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร”
กู้เจียวเอ่ย “รู้”
มู่ชิงเฉินตกใจไปเล็กน้อย “เจ้ารู้รึ”
กู้เจียวพยักหน้า “อืม เคยเห็นภาพเหมือนของพวกเขาที่หอตำราของตำหนักกั๋วซือ”
มู่ชิงเฉินชะงักงันไป ก่อนจะนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เอ่ย “ข้าได้ยินว่าฮ่องเต้เรียกเจ้าไปถวายการรักษาให้อดีตองค์หญิง พระอาการเป็นอย่างไรบ้าง”
กู้เจียวเอ่ย “ก็ดี ผ่าตัดสำเร็จลุล่วง ทรงฟื้นแล้ว”
มู่ชิงเฉินสะทกสะท้อนใจ “เจ้าเก่งจริงๆ ”
กู้เจียวเอ่ยอย่างสบายๆ “ก็แค่ผ่าตัด”
“ข้าหมายถึงเรื่องเมื่อครู่นี้” มู่ชิงเฉินยกมือปัดไล่ยุงที่มากัดองค์หญิงน้อย “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าพวกเขาเป็นใคร ยังกล้าลงมือกับพวกเขาอย่างไร้ปรานี ไม่กลัวจะถูกพวกเขาล้างแค้นรึ”
กู้เจียวย้อนถาม “กลัวไปจะมีประโยชน์รึ”
มู่ชิงเฉินสะอึก
ถูกต้อง กลัวไปก็ไร้ประโยชน์
เพียงแต่คนปกติไม่มีทางใจกล้าเพียงนี้หรอก
รู้อยู่แก่ใจว่ากลัวไปก็เปล่าประโยชน์ แต่ก็ยังไม่ทำอะไรสักอย่าง นี่ต่างหากที่เรียกว่าปกติ
จู่ๆ มู่ชิงเฉินก็รู้สึกว่าที่ผ่านมาตัวเองประเมินความใจกล้าและเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของสหายร่วมชั้นต่ำไป
แม้แต่เขาที่เป็นบุตรชายคนโตตระกูลซูยังไม่อาจท้าทายตระกูลใหญ่ทั้งห้าอย่างโจ่งแจ้งได้เลย ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่นี้เขาคงไม่คลุมหน้าไว้หรอก
กู้เจียวฟื้นฟูกำลังขึ้นมาบ้างแล้ว นางอุ้มเสี่ยวจิ้งคงพลางลุกขึ้นยืน “เอาละ ออกเดินทางได้”
มู่ชิงเฉินเอ่ยเตือน “คืนนี้ในป่าอาจจะไม่ค่อยสงบนัก แน่ใจหรือว่าจะไม่พักต่ออีกหน่อย”
“พักไม่ได้แล้ว” กู้เจียวเอ่ยพลางใช้สายตาบ่งบอกไปยังทิศใต้ของป่า
มู่ชิงเฉินขมวดคิ้ว ทอดมองไปทางนั้น ก็เห็นฉีเซวียนในชุดคลุมยาวสีเงินตลอดร่างเดินเอ้อระเหยมาจากม่านราตรีอย่างสบายอารมณ์
ฉีเซวียนมองมู่ชิงเฉินด้วยสีหน้าอิ่มเอิบไปด้วยความสุข ยิ้มแย้มทักทาย “ท่ายชายชิงเฉิน ไม่ได้พบเสียนาน ยังเหมือนเดิมเลย”
มู่ชิงเฉินถามอย่างระแวดระวัง “ฉีเซวียน เจ้าจะทำอะไร”
ฉีเซวียนหัวเราะพลางเอ่ย “ฆ่าคน ช่วยคน”
ในระหว่างที่เขาเอื้อนเอ่ยสายตาหยุดลงบนร่างกู้เจียวกับองค์หญิงน้อยชั่วขณะ
เจตนาชัดแจ้งไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
คนที่เขาจะฆ่าก็คือกู้เจียว คนที่จะพาตัวไปก็คือองค์หญิงน้อย
“เจ้าฝันไปเถอะ” มู่ชิงเฉินก้าวขึ้นหน้า ขวางหน้ากู้เจียวไว้
ฉีเซวียนตบพัดด้ามจิ้วกับฝ่ามือไปมา “ข้าไม่มีความคิดที่จะเป็นศัตรูกับตระกูลมู่และตระกูลซู เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่ายชายชิงเฉิน ท่ายชายชิงเฉินส่งองค์หญิงน้อยกับเซียวลิ่วหลังมาเสีย ข้าจะไม่ขัดขวางให้เจ้าหนีไป”
มู่ชิงเฉินเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าช่างบังอาจนัก!”
ฉีเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มเอ่ย “เอ๊ะ เหมือนว่าข้าจะบังอาจอยู่จริงๆ เช่นนั้นไม่สู้อย่างนี้ ให้เจ้าพาตัวองค์หญิงน้อยไป คุณูปการนี้ข้าจะไม่แย่งกับเจ้า เจ้าทิ้งเซียวลิ่วหลังไว้ก็พอ”
มู่ชิงเฉินส่งท่านหญิงในอ้อมอกให้กับองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยกับกู้เจียวและองครักษ์ “พวกเจ้าไปกันก่อน”
กู้เจียวเอ่ยนิ่งๆ “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
ฉีเซวียนเป็นยอดฝีมือสำนักถัง มีกำลังภายในมากกว่ามู่ชิงเฉินสิบกว่าปี
มู่ชิงเฉินกระซิบ “ข้าจะถ่วงเวลาเขาไว้ ขอแค่พวกเจ้าหนีพ้นกันจริงๆ แล้ว เขาก็ไม่กล้าฆ่าข้าหรอก”
ไม่เช่นนั้นเกิดข่าวการสังการมู่ชิงเฉินแพร่ออกไป ตระกูลหันคงปกป้องฉีเซวียนไม่ได้
จากหูทิพย์ของฉีเซวียนนั้นย่อมได้ยินไม่ตกไม่หล่นแม้แต่คำเดียว เขาหัวเราะจนตัวงอตัวหงาย หัวเราะพอแล้วก็มองมู่ชิงเฉินอย่างเห็นอกเห็นใจ “ท่ายชายชิงเฉิน ไยต้องทำเช่นนี้ด้วย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร ฟังข้าสักคำเถิด เขาไม่มีค่าให้เจ้าทำเช่นนี้หรอก”
มู่ชิงเฉินเอ่ย “หยุดพล่ามได้แล้ว”
ฉีเซวียนหุบยิ้ม “เขาเป็นคนสังหารหนานกงลี่!”
มู่ชิงเฉินนัยน์ตาหดเกร็ง
ฉีเซวียนเลิกคิ้ว “เจ้าไม่รู้จริงๆ ด้วย”
เขาเอ่ยพลางหันไปมองกู้เจียวที่อยู่ข้างกายมู่ชิงเฉิน “เขาเป็นสายลับของแคว้นเจา เขานี่แหละที่ฆ่าหนานกงลี่ เขาใกล้ชิดเจ้าก็แค่หวังใช้ประโยชน์จากเจ้า เจ้าอย่าได้ถูกเขาหลอกลวงเอาเด็ดขาด ข้ารู้ว่าพวกตระกูลใหญ่กำลังแข่งขันกันอยู่ลับๆ แต่แม่ทัพหนานกงเป็นแม่ทัพผู้เลื่องลือแห่งต้าเยียนเรา นึกไม่ถึงว่าจะมาตายอนาถด้วยน้ำมือของสายลับแคว้นเบื้องล่าง เวลานี้แล้วเรายังไม่ควรร่วมมือกันจัดการศัตรูอีกหรือ”
มู่ชิงเฉินกำกระบี่ยาวในมือแน่น
ระหว่างความแค้นของบ้านเมืองกับความอาฆาตของตระกูล ความแค้นของบ้านเมืองย่อมมาก่อน…องครักษ์มองท่ายชายของตนด้วยความเป็นห่วง ท่ายชายคงไม่…
‘ฟุ่บ!’
ฉีเซวียนลงมือแล้ว!
แต่ไม่ได้ลงมือกับกู้เจียว เขาพุ่งเข้าใส่มู่ชิงเฉิน!
เขาจะล้มมู่ชิงเฉินด้วยกระบวนเดียว ทำให้มู่ชิงเฉินไร้แรงต่อต้านทั้งหมด
ทว่ามือของเขายังไม่ทันจะแตะต้องมู่ชิงเฉินแม้แต่ปลายเล็บ มู่ชิงเฉินก็ถูกกู้เจียวผลักออกไปได้ทัน
ฉีเซวียนยิ้มอย่างตกใจ “เจ้าหนู ที่แท้เจ้าก็จับตาดูอยู่ตลอดสินะ! ตั้งรับเสีย!”
เขาสะบัดพัดด้ามจิ๋ว ฟาดกำลังภายในเย็นเยียบดุจน้ำแข็งที่แฝงด้วยอาวุธลับเข้าใส่กู้เจียว
กู้เจียวอุ้มเสี่ยวจิ้งคงกระโดดขึ้นต้นไม้ ตีลังกากลับหลังหลบการโจมตี อาวุธลับปักรัวลงบนต้นไม้
ลำต้นพลันเหี่ยวเฉาในทันตา
อาวุธลับมีพิษ!
มู่ชิงเฉินชักกระบี่แทงเข้าใส่ฉีเซวียน
ฉีเซวียนใช้พัดรับไว้ ตวัดปลายขึ้น ยิงอาวุธลับออกจากพัด
มู่ชิงเฉินยกกระบี่ขึ้นต้านไว้
เรี่ยวแรงมหาศาลเกินไป อาวุธลับกับกระบี่จึงเสียดสีกันเป็นสะเก็ดแสงท่ามกลางราตรีสีมืด
มู่ชิงเฉินแววตาทะมึนมืด
ฉีเซวียนแข็งแกร่งเกินไป พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายจริงๆ ด้วย
มู่ชิงเฉินกัดฟันกรอด ยามง้างกระบี่ขึ้นอีกหน มือขาวข้างหนึ่งก็ยื่นมาคว้าข้อมือเขาไว้
“ข้าเอง” กู้เจียวเอ่ย
มู่ชิงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้ารู้ว่าเจ้าเก่ง แต่เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาประมือกับข้ายังพอยั้งมือบ้าง แต่กับเจ้าเขาไม่มีทางเกรงใจ”
“ใครไม่เกรงใจ ก็ยังไม่แน่หรอกนะ” กู้เจียวส่งเสี่ยวจิ้งคงเข้าอ้อมอกมู่ชิงเฉิน คว้าทวนพู่แดงขึ้นมา เดินขึ้นหน้าอย่างสงบนิ่ง “ข้าสู้กับเจ้าเอง”
ฉีเซวียนแย้มยิ้ม “อ๋อ”
กู้เจียว “แต่ข้ามีข้อแม้”
ฉีเซวียน “เจ้าว่ามา”
กู้เจียว “เจ้าต้องออมมือให้ข้าสามกระบวน”
ฉีเซวียนเอ่ยอย่างขบขัน “ไม่มีปัญหา อย่าว่าแต่สามกระบวนเลย สามสิบกระบวนข้าก็ออมมือให้เจ้าได้”
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก” กู้เจียวเอ่ยอย่างใจกว้าง “ข้านับหนึ่งสองสาม จะเริ่มอย่างเป็นทางการ ข้าต้องเตรียมอาวุธนิดหน่อย เจ้าห้ามลอบทำร้ายล่ะ”
“ได้”
“หนึ่ง”
กู้เจียวแทงทวนใส่ต้นขาเขาทันที!
ฉีเซวียน “…!!”