สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 742 ปีศาจคลั่งรักน้องสาว
ราตรีคล้อยดึก
ณ ป่าไผ่ม่วงของตำหนักกั๋วซือ ห้องไผ่เล็กจุดตะเกียงน้ำมันสว่างรำไร
ใต้เท้ากั๋วซือนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะรองนั่ง
“อาจารย์…” อวี้เหอเพิ่งเลิกม่านขึ้นหมายจะรายงานความคืบหน้าในการตามหาท่านหญิงน้อยให้ใต้เท้ากั๋วซือฟัง ทางศิษย์พี่เย่ชิงยังไม่มีข่าวคราวเลย ไม่รู้ว่าต้องส่งคนไปเพิ่มหรือไม่
ถ้อยคำมาอยู่ปลายลิ้นแล้วก็เห็นใต้เท้ากั๋วซือนั่งนิ่งอยู่หน้าโต๊ะตัวเล็ก จู่ๆ เสียงของเขาก็จุกอยู่ในลำคอ บนโต๊ะมีถ้วยชาสามใบ
อยู่ตรงหน้าใต้เท้ากั๋วซือหนึ่งใบ อยู่ตรงที่นั่งข้างกายใต้เท้ากั๋วซือหนึ่งใบ และตรงข้ามกับใต้เท้ากั๋วซืออีกหนึ่งใบ
อาจารย์กำลังรอสหายอยู่หรือ
อาจารย์ไม่มีสหายนี่นา
เขาเข้าตำหนักกั๋วซือมาสิบปีแล้ว ไม่เคยเห็นอาจารย์สนิทสนมกับผู้ใดเลย อ้อ นอกจากท่านอาวุโสเมิ่งที่มาแลกเปลี่ยนฝีมือหมากรุกกันน่ะนะ
แต่อาจารย์กับท่านอาวุโสเมิ่งก็มีแต่เล่นหมากรุกกันนี่นา
ตำแหน่งที่วางถ้วยชาก็แปลกมาก ข้างกายอาจารย์จะมีคนนั่งอยู่ได้อย่างไร
ไม่ควรวางไว้ตรงข้ามทั้งสองใบหรอกหรือ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อวี้เหอเห็น เขาฉงนมาตลอดว่าอาจารย์กำลังทำอะไรอยู่กันแน่
เขาแอบถามศิษย์พี่เย่ชิงแล้ว ศิษย์พี่เอาแต่บอกไม่ให้เขาถามมาก และห้ามรบกวนอาจารย์ในช่วงเวลาแบบนี้ด้วย
อวี้เหอปล่อยม่านลงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะออกไปเงียบๆ
อวี้เหอนึกถึงภาพที่อาจารย์นั่งอยู่ตรงนั้นไม่รู้กำลังรอคอยหรือกำลังย้อนความหลัง สีหน้าเขาก็ชะงักไป
อาจารย์มีสหายที่สำคัญมากสองคน
อวี้เหอคิดในใจ
…
ในป่า ฉีเซวียนถูกแทงจนสีหน้ามึนงง
ไหนว่านับหนึ่งสองสามอย่างไรเล่า เจ้ากินสองกับสามไปแล้วรึ
คนหนุ่มไม่มีสัจจะเอาเสียเลย!
ฉีเซวียนเกิดมาสามสิบกว่าปี ไม่เคยพบเคยเจอคนอำมหิตมากเล่ห์เช่นนี้มาก่อนเลย อุบายต่ำช้าอะไรก็ยังสู้หมาป่าตัวนี้ไม่ได้
ฉีเซวียนตกตะลึงหนัก ทำให้สัญชาตญาณของเขาเชื่องช้าไปหนึ่งวินาที
เขานิ่งอึ้งมองกู้เจียว
กู้เจียวมองเขาอย่างไร้เดียงสา บิดทวนพู่แดงในเนื้อต้นขาเขาไปทีหนึ่ง!
“บัดซบ!”
ฉีเซวียนเจ็บจนเหงื่อเย็นแตกพลั่กทั่วร่าง ใบบิดเบี้ยวจนเหยเกไปหมด!
เจ้าแทงก็แทงสิ ยังจะบิดอีก!
เจ้าบิดเป็นเนื้อเลย!
ในที่สุดฉีเซวียนก็ได้สติ เขาซัดฝ่ามือใส่กู้เจียว
กู้เจียวคาดเดาการกระทำเขาไว้แต่แรกแล้ว จึงเตะฝ่ามือเขา ยืมแรงที่เขาซัดมาส่งตัวเองออกไป ทวนพู่แดงก็ถูกดึงออกมาด้วย
ต้นขาฉีเซวียนโลหิตกระเด็นเป็นสาย!
ไม่เคยเห็นผู้ใดน่าโมโหเท่านี้มาก่อนเลย!
ฉีเซวียนกัดฟันกรอด ใช้มือกดจุดชีพจรใหญ่บนต้นขาไว้ ปิดแผลที่เลือดหลั่งเป็นสายเอาไว้
แล้วฉีกชายอาภรณ์อย่างรีบร้อน เอามาพันบาดแผลให้ตัวเอง
ตั้งแต่ต้นจนจบคล่องแคล่วดุจสายน้ำไหล เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อนตอนเรียนวรยุทธ์คงได้แผลไม่น้อย
ไม่มีใครเกิดมาก็เป็นยอดฝีมือเลย พรสวรรค์สำคัญก็จริง แต่หากไม่มีความพากเพียรตรากตรำในภายหลัง ก็ไม่มีทางมาได้ถึงระดับที่คนปกติไม่อาจแตะต้องได้หรอก
กู้เจียวยืนให้มั่นคงอยู่ห่างจากฉีเซวียนสิบก้าว
ทวนพู่แดงช่างเป็นของดีโดยแท้ ได้ทั้งรุกทั้งรับ โจมตีได้ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ยามจำเป็นต้องลอบโจมตีก็ไม่ไกลเกินเอื้อม
กู้เจียวมองฉีเซวียนอย่างท้าทาย “ตกลงกันแล้วว่าจะออมมือให้ข้าสามกระบวน ไยเจ้าจึงผิดคำพูดเสียแล้วเล่า”
ฉีเซวียนเกรี้ยวกราดเอ่ย “เจ้าบอกว่านับถึงสามถึงจะเริ่ม!”
กู้เจียวเอ่ย “ข้าก็ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะใช้ปากนับทั้งหมด สองกับสามนับในใจไปแล้ว”
ฉีเซวียนมุมปากกระตุก “…”
ฉีเซวียนตัดสินใจไม่ไปเปลืองน้ำลายกับกู้เจียวแล้ว ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวยังไม่ทันสู้ เขาได้โมโหตายเสียก่อนแน่
ฉีเซวียนลงมือฉับพลัน
ทว่าฉีเซวียนเพิ่งจะยกมือขึ้น ก็รู้สึกตัวว่ามีบางอย่างแปลกๆ
เกิดอะไรขึ้น
เหตุใดแขนของเขาจึงออกแรงไม่ได้เล่า
ฉีเซวียนหันไปมองกู้เจียวอย่างเหี้ยมโหด “ไอ้เด็กหน้าเหม็น! เจ้าทำอะไรกับข้า!”
“ไม่มีอะไรนี่ ก็แค่ทาบางอย่างไว้บนหัวทวนเท่านั้นเอง” กู้เจียวสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่ามีคนอยู่ในป่า ลางสังหรณ์บอกนางว่าเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง นางจึงทำอะไรบางอย่างกับหัวทวน
นางทำได้อย่างแยบยล แม้แต่มู่ชิงเฉินกับองครักษ์ที่อยู่ข้างกายยังนึกว่านางแค่แทงอย่างเดียวเท่านั้น
ฉีเซวียนพยายามสัมผัสกำลังภายในที่อยู่ในร่าง มันย่ำแย่มาก เขาแทบจะไม่รู้สึกถึงมันเลย “มันคืออะไรกันแน่”
กู้เจียว “สารพิษออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท”
ฉีเซวียนไม่เข้าใจ “พิษอะไรนะ”
กู้เจียวแบมือ “ไม่เข้าใจก็ช่างเถิด”
บัดซบ เขาเป็นคนสำนักถัง นึกไม่ถึงว่าบนโลกนี้ยังมีพิษที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วย!
กู้เจียวไม่มอบโอกาสให้ฉีเซวียนได้หายใจ พลิกมือคว้าทวนพู่แดงพุ่งเข้าใส่ฉีเซวียนโดยพลัน
อาศัยจังหวะเจ้าอ่อนแรง ปลิดชีพเจ้าเสีย!
สารพิษออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทมีปริมาณไม่มาก นางต้องรีบคว้าโอกาสไว้
แต่ในขณะที่กู้เจียวกำลังเข้าประชิดฉีเซวียนนั้น นึกไม่ถึงว่าจะมีหน่วยกล้าตายตระกูลหันนายหนึ่งพุ่งออกมาจากในป่า!
หน่วยกล้าตายมาต้านทวนแทนฉีเซวียน
มู่ชิงเฉินส่งเสี่ยวจิ้งคงให้องครักษ์ข้างกาย องครักษ์มือซ้ายคนหนึ่ง มือขวาคนหนึ่ง มองท่านชายตัวเองอย่างมึนงง
“ข้าจัดการเขาเอง” มู่ชิงเฉินต้อนหน่วยกล้าตายให้ถอยไปหลายก้าวภายในกระบี่เดียว
กู้เจียวออกกระบวนท่าใส่ฉีเซวียนอีกหน
ฉีเซวียนคว้าทวนพู่แดงของกู้เจียวไว้ ใช้กำลังภายในอันน้อยนิดทั้งหมดชิงทวนพู่แดงมา แล้วโยนเข้าไปในป่าลึกอย่างแรง
ทวนพู่แดงเล่มนี้ไม่หนัก ดังนั้นเขาจึงโยนมันได้
หากเป็นแม่ทัพสวรรค์อย่างเซวียนหยวนลี่ เกรงว่าเขาคงยกไม่ขึ้น
สมกับเป็นฉีเซวียนแห่งสำนักถังจริงๆ สภาพนี้แล้วยังต่อสู้ได้!
กู้เจียวกำหมัดแน่น ปล่อยหมัดใส่ใบหน้าฉีเซวียน!
ฉีเซวียนถูกต่อยจนหน้าหัน ฟันซี่หนึ่งกระเด็นออกมา
กู้เจียวยกขาขึ้นต่อ ถีบเขากระเด็นลอยลิ่ว!
ส่วนตัวนางเองทะยานมาบนกิ่งไม้ เมื่อฉีเซวียนกำลังร่วงหล่นจากอากาศ นางก็ทะยานตัวขึ้น กระทืบจุดตันเถียนของฉีเซวียนอย่างแรง!
ฉีเซวียนเพิ่มความเร็วร่วงลงกับพื้น กระแทกเป็นหลุมใหญ่ทันใด
กู้เจียวจับกิ่งไม้ด้วยมือเดียว กระโดดตัวลอยมาตกลงข้างหลุมยักษ์
กู้เจียวยกเท้าขึ้นอีกหน กระทืบศีรษะฉีเซวียนอย่างไร้ปรานี!
ใต้ดินนั้น ฉีเซวียนปาดคราบเลือดตรงมุมปาก หัวเราะเสียงเย็น “ได้เวลาจบแล้ว”
กู้เจียวพลันรู้สึกถึงกำลังภายในมหาศาลอันพลุ่งพล่านของฉีเซวียน
นึกไม่ถึงว่าจะทำเขาชาได้แค่ครู่เล็กๆ เท่านั้น
กู้เจียวชักเท้าหนี
ชักไม่ออก
ฉีเซวียนไอสังหารแผ่ซ่านกำจายไปทั่ว เขาเอ่ยทีละถ้อยทีละคำ “ข้าบอกว่า ได้เวลาจบแล้วอย่างไรเล่า”
เอ่ยจบ เขาก็คว้าข้อเท้ากู้เจียวแล้วหักลง
พวกมันตัดเส้นเอ็นข้อเท้าของหันเย่ ก็ดี ข้าจะหักขาเจ้าข้างหนึ่งเป็นดอกเบี้ย!
เสียงกึกก้องดังขึ้น ฉีเซวียนถูกปราณกระบี่เย็นยะเยือกซัดกระเด็นลิ่ว!
เขาแตะปลายเท้าลงบนกิ่งไม้ ทรงตัวให้มั่นคง
ปราณกระบี่สายนี้คุ้นเคยนัก…
เขาเพ่งมองให้ดี
ภายใต้จันทรายามราตรี กู้ฉังชิงมือถือกระบี่ยาวประกายเย็นเยียบ ขวางอยู่ตรงหน้ากู้เจียวราวกับยมราชหน้าน้ำแข็ง
ปราณกระบี่แข็งแกร่งยิ่ง!
ฉีเซวียนหรี่ตาลง มองกู้ฉังชิง แล้วหันไปมองร่องลึกบนพื้นที่ถูกปราณกระบี่ฟัน เขากำหมัดแน่นอย่างไม่มีใครสังเกตเห็น
ไยจึงเป็นคนผู้นี้อีกแล้วเล่า
คราก่อนก็เป็นเขานี่แหละที่ตัดเอ็นข้อเท้าหันเย่!
บัดซบ
พิษที่ตกค้างในร่างกายตนยังกำจัดไม่หมด ดันมาโดนไอ้หนูนี่ลอบโจมตีบาดเจ็บอีก
เขาแค่นเสียงเย็น “วันนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน เจอกันใหม่คราหน้า ก็เป็นวันตายของพวกเจ้าแน่!”
เขาใช้วิชาตัวเบาจากไป
กู้ฉังชิงไม่ได้ไล่ตามไป
น้องสามสำคัญกว่าศัตรู
กู้ฉังชิงหันกลับมาถามกู้เจียว “บาดเจ็บหรือไม่”
“ไม่มี” กู้เจียวส่ายหน้า
กู้ฉังชิงไม่วางใจ ยื่นกระบี่ยาวให้กู้เจียว ให้นางถือไว้ ส่วนตัวเขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ยกขาน้องสาวขึ้น บีบๆ นวดๆ ดูเพื่อยืนยันว่าไม่บวมไม่หัก จึงได้วางใจลงในที่สุด
อีกด้านหนึ่ง มู่ชิงเฉินก็จบศึกแล้วเช่นกัน
เขาไม่ชินกับการฆ่าคน เขาจึงฟาดหน่วยกล้าตายให้สลบแทน
เขาเดินมาหา กู้เจียวยกมือสกปรกของตัวเองขึ้นเช็ดกับหน้ากู้ฉังชิง
น้องสาวเช็ดหน้าให้เขา…
อืม วันนี้ไม่ล้างหน้าแล้ว
มู่ชิงเฉินมองทั้งคู่แวบหนึ่ง สุดท้ายก็ถามสถานการณ์ของกู้เจียวก่อน “ไม่เป็นอะไรกระมัง”
“ไม่เป็นไร” กู้เจียวเอ่ย
มู่ชิงเฉินหันไปมองกู้ฉังชิง “เขาคือ…”
“ไม่รู้จัก”
“เพื่อนบ้านในชนบท”
กู้เจียวกับกู้ฉังชิงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“ไม่รู้จัก”
“เพื่อนบ้านในชนบท”
กู้เจียวกับกู้ฉังชิงเอ่ยขึ้นพร้อมกันอีกหน
มู่ชิงเฉิน “…”
ข้าดูหลอกง่ายอย่างนั้นเชียวรึ
มู่ชิงเฉินแค่นเสียงเอ่ย “ไม่สะดวกบอกก็ไม่ต้องบอก ข้าก็ไม่ได้อยากจะรู้หรอก”
“อ้อ” กู้เจียวไม่บอกแล้ว
มู่ชิงเฉิน “…”
การมาถึงของกู้ฉังชิงทำให้กู้เจียวผ่อนคลายลงไม่เบา
จากนั้นพวกเขาก็เจอหน่วยกล้าตายกับองครักษ์อีกสองสามระลอก ล้วนถูกกู้ฉังชิงจัดการเรียบคนเดียวหมดเลย
กู้ฉังชิงทั้งต่อสู้ ป้อนของกินน้องสาว อุ้มเสี่ยวจิ้งคงคนเดียวตลอดทาง
ส่วนกู้เจียวกิน กิน แล้วก็กินมาตลอดทาง
กู้เจียวเคี้ยวเนื้อแดดเดียวชิ้นสุดท้ายหมด ก็เรอเอิ๊กออกมา “ใกล้จะออกจากป่าแล้ว ต่อจากนี้คงไม่มียอดฝีมืออะไรให้สู้แล้วกระมัง”
มู่ชิงเฉินครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ยังเหลืออีกคน อาจจะยุ่งยากกว่าฉีเซวียน”
กู้เจียว “ใครรึ”
มู่ชิงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นักบวชชิงเฟิงแห่งตระกูลเฟิง นั่นเป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ที่แท้จริงเลย ปีนี้อายุแค่ยี่สิบหกเท่านั้น แต่กลับมีกำลังภายในลึกล้ำกว่าฉีเซวียนมาก หากพวกเราเจอเข้ากับเขา…มีแค่ต้องรับหมัดแต่โดยดีเท่านั้น”
ณ แห่งหนึ่งในป่า
เฟิงอู๋ซิวนั่งยองๆ วาดๆ วงๆ บนพื้น สีหน้าไร้สิ่งใดในชีวิตให้อาวรณ์ “ท่านพี่ แน่ใจหรือว่าไม่ได้เดินมาผิด”
นักบวชชิงเฟิงพยักหน้า “อืม”
“แต่พวกเราเดินอ้อมที่เดิมมารอบที่เจ็ดแล้วนะ!” เฟิงอู๋ซิวยกนิ้วขึ้นชี้ต้นตั๊กแตนแก่ที่อยู่ข้างๆ “ข้ามาครั้งแรกก็ทำสัญลักษณ์ไว้ตรงนี้! ยามนี้มีเจ็ดสัญลักษณ์เข้าไปแล้ว!”
นักบวชชิงเฟิงยืนอยู่กลางนภากาศภายใต้จันทรายามราตรี ลักษณะท่าทางรูปโฉมงดงามดุจดั่งเทพเซียน
นิ้วเรียวยาวคีบแผนที่หนังแกะที่วาดด้วยลายมือเอาไว้แผ่นหนึ่ง เขาพิศมองแผนที่อย่างตั้งใจ ก่อนเอ่ยด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจเหมือนเตรียมแผนเอาไว้แล้ว “เดินเช่นนี้ล่ะ ป่านี้ข้าเคยมา แล้วก็ออกไปได้ด้วย”
เฟิงอู๋ซิวถาม “เช่นนั้นคราก่อนท่านเดินอยู่นานเท่าใดจึงออกมาได้”
“ไม่นานเท่าใด” นักบวชชิงเฟิงเอ่ย “หนึ่งเดือน”
เฟิงอู๋ซิว “…!!”
เฟิงอู๋ซิวกำหมัดแน่น โมโหจนฟันแทบร่วงแล้ว!
เขาลุกพรวดขึ้น คำรามเป็นสิงโตตัวผู้ “นี่คงเป็นสาเหตุที่ท่านลงเขามาสามปีจึงถึงบ้านกระมัง!”