สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 743 กลับมาอย่างปลอดภัย (2)
บทที่ 743 กลับมาอย่างปลอดภัย (2)
“เป็นเฟิงอู๋ซิวกับนักบวชชิงเฟิง” กู้เจียวเอ่ยเสียงเบา
“เจ้ารู้จักรึ” กู้ฉังชิงถามเสียงเบา
กู้เจียวส่งเสียงอืม “ข้าเคยเจอนักบวชชิงเฟิงที่ตำหนักกั๋วซือ เคยเห็นภาพเหมือนของเฟิงอู๋ซิวในหอตำรา…เฟิงอู๋ซิวดูหนุ่มกว่าในภาพเหมือนได้อย่างไร”
เฟิงอู๋ซิวปีนี้อายุยี่สิบสามปี แต่ภาพเหมือนดูเหมือนไม่ถึงสิบสองด้วยซ้ำ ยามนี้มาเจอตัวจริงแล้ว ดูลดอายุไปอีกสามปี
อายุของเฟิงอู๋ซิวไม่ได้โกหก เขาแค่หน้าอ่อนก็เท่านั้น
นักบวชชิงเฟิงประมือกับชายชุดดำสองนายอย่างดุเดือด วรยุทธ์ของชายชุดดำเหมือนจะไม่ได้ด้อยไปกว่าฉีเซวียนเท่าใดนัก สองคนร่วมมือกันก็เท่ากับฉีเซวียนสองคน
กู้เจียวสะทกสะท้อนใจ “แคว้นเยี่ยนมียอดฝีมือมากมายก่ายกอง… ท่านว่าใครจะชนะ”
“นักบวชผู้นั้น” กู้ฉังชิงตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ชายชุดดำสองนายล้วนใช้ท่าไม้ตายทั้งสิ้น กระบวนของนักบวชชิงเฟิงมีความเก็บงำอยู่ เพื่อไม่ให้กำลังภายในกำจายไปถึงเฟิงอู๋ซิว จริงๆ แล้วแต่ละกระบวนท่าของเขาแบ่งออกเป็นสองกระบวนท่า
กระบวนหนึ่งใช้เพื่อป้องกันศัตรู อีกกระบวนหนึ่งใช้เพื่อถอนกำลังภายในออกจากทิศทางหนึ่ง
เป็นครั้งแรกที่กู้ฉังชิงได้เห็นวิถีสู้เช่นนี้ ค่อนข้างเปิดหูเปิดตาเขาทีเดียว
“โอ้” กู้เจียวมองตาไม่กะพริบ “ดูท่ามู่ชิงเฉินจะพูดไว้ไม่มีผิด โชคดีที่ไม่ได้เจอนักบวชตระกูลเฟิงผู้นี้”
“การต่อสู้จะจบลงแล้ว พวกเราไปกันเถิด” พวกเขาสู้กันได้แค่ครึ่งทาง แต่กู้ฉังชิงตัดสินได้แล้วว่านักบวชชิงเฟิงจะจัดการชายชุดดำทั้งสองได้ภายในไม่กี่กระบวนแน่
….
กู้เจียวกับกู้ฉังชิงมาถึงตำหนักกั๋วซือในยามอู่
เด็กๆ ทั้งสองตื่นกันแล้ว และกินอาหารกันที่ศาลาพักม้าเรียบร้อย เพียงแต่บนเนื้อตัวและใบหน้ายังสกปรกมอมแมมอยู่ ดูๆ แล้วค่อนข้างอนาถจนทนมองไม่ได้
เมื่อคืนกู้เจียวไม่อาจตรวจสอบบาดแผลของพวกเขาอย่างละเอียดได้ ขึ้นรถม้ามาแล้วจึงพบว่าเนื้อตัวพวกเขามีรอยช้ำและแผลถลอกน้อยใหญ่ และมีแผลที่เกิดจากการกระแทกและรอยขีดข่วนด้วย
เซียวเหิงมาอยู่หน้าประตูตำหนักกั๋วซือนานแล้ว
กู้ฉังชิงกับกู้เจียวอุ้มเด็กลงจากรถม้า
เซียวเหิงเร่งฝีเท้าเดินไปหา เห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสองที่สภาพดูไม่ได้ แววตาเขาพลันเย็นเยียบ
เขาหันไปมองกู้เจียวกับกู้ฉังชิง “พวกเจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง”
“ไม่เป็นไร”
ครานี้นางกับกู้ฉังชิงไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ เพียงแต่เจ้าหนูน้อยทั้งสองเจอความลำบากไม่น้อย
“ข้าทำเอง” เซียวเหิงยื่นมือไปอุ้มเสี่ยวจิ้งคงมาจากอกกู้ฉังชิง
เสี่ยวจิ้งคงว่าง่ายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ว่าสีหน้าจะเหม็นเบื่อ แต่ร่างกายกลับซื่อตรงนัก
เขาซุกอกเซียวเหิงแต่โดยดี สูดกลิ่นอายบนร่างเซียวเหิง
ตั้งแต่สามขวบครึ่งก็มาอยู่ที่บ้านนี้ ระยะเวลาสองปีผ่านพ้นไป เขาไม่เพียงติดกู้เจียวเป็นอย่างมาก แต่ลึกๆ แล้วก็ติดเซียวเหิงอยู่เหมือนกัน
ราวกับเด็กน้อยที่ชื่นชอบมารดาตัวเองมาก แต่ก็ไม่มีทางไม่ต้องการบิดาตัวเองเช่นกัน
เซียวเหิงก้มหน้าลงมองเจ้าหนูน้อยที่ฟุบแนบอกตน “เสียขวัญหมดแล้วกระมัง”
ไม่มีแรงกลายร่างเป็นปีศาจน้อยแล้ว
“ไม่เสียหน่อย” เสี่ยวจิ้งคงแค่นเสียงขึ้นจมูก “ข้าก็แค่เหนื่อยเท่านั้น”
เขายังเถียงกับตนได้ คงไม่เป็นอะไรมาก
เซียวเหิงหลุดขำ “ก็ได้ เจ้าเหนื่อย วันนี้จะให้เจ้าพัก”
“ไม่ทำการบ้าน”
“ได้”
“จะกินลูกอมด้วย”
“ได้”
ดวงตากลมโตดุจเม็ดองุ่นของเสี่ยวจิ้งคงกลอกกลิ้งไปมา
พี่เขยนิสัยไม่ดีเข้าอกเข้าใจและมีเหตุมีผลอย่างหาได้ยาก เขาตัดสินใจแสวงหากำไรให้ตัวเองเพิ่มอีกนิด
เซียวเหิงไหนเลยจะมองแผนการในใจของเขาไม่ออก จึงยืดแก้มน้อยๆ ของเขาพลางเอ่ย “ให้มันพอดีพอดีหน่อย ไม่เช่นนั้นที่พูดมาก่อนหน้านี้จะไม่ให้เจ้าสักอย่างเลย”
เสี่ยวจิ้งคงหน้าทะมึนขึ้นโดยพลัน
ก็ยังคงเป็นพี่เขยนิสัยไม่ดีอยู่วันยังค่ำ!
เซียวเหิงกลั้นยิ้มมุมปากเอาไว้ เอ่ยกับกู้เจียว “ข้าจะพาจิ้งคงไปอาบน้ำก่อน หากมีคนถามถึงขึ้นมา ข้าจะบอกว่าเขาห้าวหาญมีคุณธรรม ช่วยท่านอาน้อยของข้าไว้ ข้าต้องรั้งผู้มีพระคุณน้อยผู้นี้ไว้ที่ตำหนักกั๋วซือสักสองสามวัน”
เหตุผลนี้ดีมากทีเดียว
“มีปัญหาหนึ่ง ข้าขบคิดมานานแล้ว ไม่ควรเรียกท่านน้าน้อยหรอกหรือ” กู้เจียวถาม
เซียวเหิงหัวเราะเบาๆ เอ่ย “พระนัดดาองค์โตใช้แซ่ซ่างกวาน ตามธรรมเนียมของราชวงศ์ต้าเยี่ยนนั้น แซ่เดียวกันให้เรียกอา”
กู้เจียวกระจ่างแจ้งทันใด “อ๋อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าไปส่งองค์หญิงน้อยกลับตำหนักก่อนนะ”
เซียวเหิงมององค์หญิงน้อยกอดคอกู้เจียวไว้ไม่ปล่อยพลางเอ่ย “ไม่ต้องหรอก ฮ่องเต้กำลังเสด็จมาแล้ว”
เอ่ยถึงโจโฉ โจโฉก็มา
ฮ่องเต้ก็ทรงได้ยินว่าองค์หญิงน้อยถูกคนส่งกลับตำหนักมาแล้วเช่นกัน ทว่าทรงไม่เห็นแม้แต่เงาคนเสียที จึงอยากเสด็จมาถามสถานการณ์ที่ตำหนักกั๋วซือ
เมื่อทรงทราบว่าองค์หญิงน้อยอยู่ที่ตำหนักฉีหลิน ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเร่งรุดเสด็จมาทันที
“ฝ่าบาทท่านช้าหน่อยพ่ะย่ะค่ะ!” จางเต๋อเฉวียนจะตามไม่ทันแล้ว!
ฝ่าบาทอายุปูนนี้แล้วยังนึกว่าตัวเองเป็นหนุ่มๆ อยู่อีกรึ
ทรงไม่กลัวล้มเอาเสียเลย!
“เสี่ยวเสวี่ย!”
แม้ฮ่องเต้ยังมาไม่ถึง แต่สุรเสียงก็นำมาก่อนแล้ว
องค์หญิงน้อยเงยหน้าน้อยๆ ขึ้นจากอ้อมอกกู้เจียว ทอดมองประตูอย่างน่าสงสาร
ในขณะที่ฮ่องเต้ร้อนพระทัยดั่งไฟเผาก้าวเข้ามาด้านใน องค์หญิงน้อยก็ร้องจ้าขึ้นมาเช่นกัน “แง ท่านลุงฝ่าบาท… มีคนชั่วจับตัวข้า…”
กู้ฉังชิงไม่สะดวกเผยตัว หลังจากส่งกู้เจียวแล้วจึงจากไป
พวกเขาอยู่ในห้องปีกข้างติดกับซ่างกวานเยี่ยน นอกจากองค์หญิงน้อยแล้ว ภายในห้องก็มีกู้เจียว เซียวเหิงและเสี่ยวจิ้งคง
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเด็กน้อยทั้งสองที่มีสภาพดูไม่ได้ พลันโกรธกริ้วขึ้นมาทันที!
กู้เจียวเติมเชื้อไฟให้พระองค์อย่างกระตือรือร้น “เมื่อเช้านี้ โรคหอบหืดขององค์หญิงน้อยกำเริบ อันตรายยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรองค์หญิงน้อยที่ร้องไห้จนหายใจไม่ทัน
องค์หญิงน้อยสะอื้นฮึกๆ พยักหน้า “หายใจไม่ออก… ทรมานมาก…”
ฮ่องเต้ตรัสถามอย่างสงสาร “ยามนี้ยังหายใจไม่ออกอยู่หรือไม่”
องค์หญิงน้อยสะอื้นพลางส่ายหน้า “ยามนี้ไม่แล้ว… อาจารย์เอายาให้ข้า…”
ฮ่องเต้ให้จางเต๋อเฉวียนพาเด็กทั้งสองไปกินขนมที่ห้องข้างๆ
จากนั้นพระองค์ก็หันไปทอดพระเนตรกู้เจียวที่สภาพค่อนข้างอนาถเช่นกันด้วยสีพระพักตร์ซับซ้อน ตรัสเสียงขรึม “เจ้าเป็นคนเจอองค์หญิงน้อยรึ”
กู้เจียวไม่อ้อมค้อม “พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถามด้วยความสงสัย “เจ้าหาเจอได้อย่างไร”
ท่านสงสัยว่าข้าจับเองขโมยเอง
ฮ่องเต้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เหยี่ยวของเจ้าหาคนได้ด้วยรึ”
“เคยฝึกมันพ่ะย่ะค่ะ” กู้เจียวทูล
…ก็แปลกแล้ว
กู้เจียวเอ่ยต่อในใจ
“ข้าเคยเห็นเหยี่ยวตัวนั้น” เซียวเหิงเอ่ย “เด็กสองคนนั้นก็เคยเห็น เหยี่ยวตัวนั้นจำพวกเขาได้”
ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยต่อซ่างกวานชิ่งมากทีเดียว พระองค์ไม่ได้ซักไซ้เรื่องนี้อีก แต่ถามกู้เจียว “แล้วคนที่จับตัวองค์หญิงน้อยไปเล่า”
“ไม่พบพ่ะย่ะค่ะ” เซียวเหิงชิงตอบ
กู้เจียวทูลโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ ไม่พบเลย เด็กทั้งสองหนีออกมาจากที่ที่โดนขังไว้เข้าไปในป่า กระหม่อมเป็นคนเจอพวกเขาในป่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เรารู้แล้ว”
ฮ่องเต้ไปถามเสี่ยวจิ้งคงกับองค์หญิงน้อยที่ห้องติดกันต่อ
องค์หญิงน้อยอย่างไรก็เพิ่งจะสี่ขวบ นางเล่าเบาะแสได้อย่างจำกัด นางจำได้แค่ว่าตัวเองถูกคนจับตัวไปครั้งแล้วครั้งเล่า จำไม่ได้สักนิดว่าคนผู้นั้นลักษณะท่าทางเป็นอย่างไร
เสี่ยวจิ้งคงจำลักษณะท่าทางของพ่อค้าหาบเร่และชายชุดดำได้ และจำลักษณะท่าทางของพวกประมุขตระกูลต่งได้ แต่เมื่อครู่เซียวเหิงกำชับเขาไว้แล้วว่า ต้องบอกว่าจำไม่ได้ มองเห็นไม่ชัด
จางเต๋อเฉวียนเอ่ย “ฝ่าบาท เด็กทั้งสองยังเล็ก รับมือกับเหตุการณ์สะเทือนใจเช่นนี้ไม่ไหวหรอกพ่ะย่ะค่ะ จำไม่ได้ก็ไม่แปลกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สีพระพักตร์อึมครึมออกมาจากตำหนักฉีหลิน
กู้เจียวทอดมองแผ่นหลังที่จากไปไกลของฮ่องเต้ ถามเซียวเหิง “เหตุใดจึงไม่ให้ข้ากับจิ้งคงพูดอะไรเลยเล่า”
เซียวเหิงดึงมือนางมา ทัดจอนผมไว้หลังหูให้นาง “เพราะว่าพูดไปก็มีหลักฐานไม่เพียงพอ อาจจะทำให้ตระกูลใหญ่ร่วมมือกันแว้งกัดคืนได้”
กู้เจียวถาม “จะให้แล้วกันไปเช่นนี้หรือ”
เซียวเหิงจัดจอนผมให้นาง “ไม่หรอก ครานี้องค์หญิงน้อยประสบเคราะห์เพียงนี้ ซ้ำยังเกือบถึงชีวิต ฮ่องเต้ไม่มีทางรามือ อีกไม่นานพวกคนมากเล่ห์เจ้าแผนการเหล่านั้นก็จะรู้ซึ้งเองว่าพวกเขาประเมินตัวเองสูงเกินไป”
…
ณ หอตำราชั้นสาม
ฮ่องเต้นั่งจิบชากับใต้เท้ากั๋วซือ
ใต้เท้ากั๋วซือเทชาถวายฮ่องเต้และตัวเอง “ฝ่าบาทจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตรัสด้วยสีพระพักตร์จริงจัง “ถูกต้อง”
ใต้เท้ากั๋วซือยิ้มจางยกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง “ตกลงกันไว้แต่แรกแล้วว่า ตำหนักกั๋วซือไม่สอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องการเมืองของราชสำนัก ไม่เข้าร่วมการแย่งชิงอำนาจ ไม่สนเรื่องราวในโลกีย์”
ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำใสใจจริง “เรา… ไม่ได้สั่งเจ้าในฐานะกษัตริย์แห่งแคว้น แต่กำลังขอให้เจ้าช่วยในฐานะสหายเก่าคนหนึ่ง”
ใต้เท้ากั๋วซือที่กำลังจิบชาพลันชะงัก “เย่ชิง”
เย่ชิงก้าวขึ้นหน้า ประสานมือคำนับ “ศิษย์อยู่ขอรับ”
ใต้เท้ากั๋วซือถาม “ยามใดแล้ว”
เย่ชิงตอบอย่างนอบน้อม “เพิ่งจะผ่านยามอู่ขอรับ”
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ยนิ่งๆ “ยามโหย่ว อาจารย์ต้องได้เจอผู้บงการเบื้องหลังที่จับองค์หญิงน้อยไป”
เย่ชิงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น “ศิษย์รับบัญชา!”