สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 745 วิธีการสายฟ้าแลบ
บทที่ 745 วิธีการสายฟ้าแลบ
เซียวเหิงปรนนิบัติรับใช้ผู้ป่วยน้อย (ตัวปัญหา) เรียบร้อยอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแล้ว อาบน้ำอาบท่าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ อาบเสร็จก็ยังบีบนวดให้ทั้งตัว ทั้งยังทาแป้งเด็กที่อยู่ในกล่องยาใบน้อยให้ด้วย
“ตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้!”
“ว้าววว ข้าหอมม้ากมาก!”
“ข้าจะให้เจียวเจียวดมดู เจียวเจียวชอบข้าที่สุด!”
เพ้อเจ้อ ชอบข้าต่างหาก
กู้เจียวก็กำลังอาบน้ำอยู่เช่นกัน เขาจึงยังพบนางไม่ได้
เจ้าฟักเขียวขาวนุ่มบางคนเกลือกกลิ้งไปมาบนเตียง เท้าศีรษะด้วยมือเดียว เป็นท่าพระนอน จีบปากจีบคอเอ่ย “อาเหิง~ ยกชา”
เซียวเหิงคิดในใจข้าว่าเจ้าชักจะวอนบาทาละ
เสี่ยวจิ้งคงลองหยั่งเชิงอย่างบ้าคลั่ง แตะต้องเส้นรนหาที่ตายไม่พัก ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าแววตาพี่เขยนิสัยไม่ดีกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างอันตราย
เขาอาบน้ำเสร็จก็สบายเนื้อสบายตัว ไม่ได้รนหาที่ตายนานก็ผล็อยหลับไปแล้ว
วันนี้มีลม นับว่าเย็นสบาย
เซียวเหิงเรียกศิษย์ตำหนักกั๋วซือมาคนหนึ่ง ให้เขาดูเสี่ยวจิ้งคงไว้
ทางเดินฝั่งขวาของตำหนักฉีหลินคือสถานที่ที่ค่อนข้างพิเศษ ซึ่งห้ามคนนอกเข้า ห้องปีกข้างที่ติดกับห้องผ่าตัดที่สุดคือห้องของซ่างกวานเยี่ยนกับกู้เจียว ห้องข้างๆ คือของเขา
ห้องตรงข้ามว่างอยู่ เซียวเหิงให้ศิษย์ของตำหนักกั๋วซือเก็บกวาดแยกไว้ให้กู้เจียวต่างหากห้องหนึ่ง
เซียวเหิงมาหยุดหน้าห้องปีกข้าง กำลังจะยกมือเคาะประตู ประตูก็ถูกเปิดจากด้านในเสียก่อน
กู้เจียวเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เปลี่ยนเป็นชุดตัวยาวแบบเด็กหนุ่มผืนสะอาด ผมยาวเปียกชื้นปรกอยู่บนไหล่และแผ่นหลัง มีอีกปอยที่ปรกอยู่ตรงหน้าผาก
หยาดน้ำเกราะพราวอยู่บนเส้นผมงาม โปร่งใสวาววับ สะท้อนเป็นแสงหลากสี
ผมดำขลับของนางเป็นประกายระยับ ยิ่งขับให้ผิวพรรณของนางดุจหยก
ขนตางอนยาวของนางก็มีหยาดน้ำเกราะพราว ดวงตาคู่งามคลอหน่วย ริมฝีปากชุ่มชื่นดูนุ่มนิ่มอมชมพู
ลูกกระเดือกเซียวเหิงขยับขึ้นลง
กู้เจียวอมยิ้มมองเขา
เซียวเหิงมานึกได้ว่าตัวเองเสียกิริยา จึงกระแอมในลำคอพลางเอ่ย “ข้ามาดูเจ้า สะดวกให้เข้าไปหรือไม่”
กู้เจียวเบี่ยงตัวให้เซียวเหิงเดินเข้ามา
เซียวเหิงคว้าประตูปิด นางมาหยุดข้างโต๊ะ เทน้ำชาสมุนไพรให้ตัวเองก่อน กระดกดื่มอึกๆ แล้วจึงรู้สึกเพลิงไฟในจิตใจตัวเองแผ่วลงมาบ้าง
จากนั้นเขาก็หันไปมองกู้เจียว “ไม่เช็ดผมอีกแล้ว”
กู้เจียวส่งเสียงอ้อ เอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “อากาศมันร้อน เดี๋ยวก็แห้งแล้ว”
นางไปเปิดกล่องยาใบน้อยบนโต๊ะเล็กริมหน้าต่าง
เซียวเหิงมองยาทาที่นางหยิบออกมาพลางถาม “เจ้าบาดเจ็บหรือ”
กู้เจียวส่ายหน้า “ไม่หรอก แค่โดนยุงกัดสองสามตุ่มน่ะ” ยุงในป่าดุมาก ตอนกัดไม่รู้ตัว ตอนอาบน้ำถึงมารู้ว่ามีตุ่มตั้งหลายตุ่ม
“จิ้งคงถูกกัดหรือไม่” นางถาม
“เขาไม่เป็นอะไร แค่ตุ่มแดงเล็กๆ ไม่กี่ตุ่มเท่านั้น” เซียวเหิงเอ่ยพลางหยิบผ้าขนหนูเดินมาหานาง “ข้าขอดูหน่อย กัดตรงไหน”
กู้เจียวเงยหน้าขึ้นชี้ลำคอตัวเอง “ตรงนี้” แล้วก็ถลกแขนเสื้อขึ้นชี้ข้อมือตัวเอง “แล้วก็ตรงนี้”
นางไม่ได้คิดอะไรมาก แค่เผยตุ่มโตๆ ที่ตัวเองโดนยุงกัดให้เห็นเท่านั้น
แต่สมองเซียวเหิงกลับมีความคิดไม่ดีที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยได้ผุดวาบขึ้นมา
มาคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังนานมากแล้ว แม้ว่านางจะเปลี่ยนมาสวมชุดเด็กหนุ่ม น้ำเสียงเด็กหนุ่ม แต่ตราบใดที่นางยังเป็นนาง ใจเขาก็ยากจะกล้ำกลืนความพลุ่งพล่านบางอย่างไว้ได้
“เจ้า…” กู้เจียวเหม่อมองเขา
เซียวเหิงหลบสายตาลง “ข้าช่วยเจ้าทายานะ”
“ได้” กู้เจียวยื่นสำลีก้านกับยาทาให้เขา
เซียวเหิงก้มหน้าลง ใช้สำลีก้านป้ายยามา ค่อยๆ ทาลงบนตุ่มที่โดนยุงกัด
เขาพยายามขจัดความคิดที่ฟุ้งซ่านอย่างเต็มที่ คนบางคนกลับไม่ให้โอกาสให้เขาได้ทำเลย
“ท่านเซียว ใจเต้นแรงยิ่งนัก” กู้เจียววางมือลงบนแผ่นอกเขา
นางอาบน้ำโดยใช้น้ำเย็น ฝ่ามือจึงเย็น แต่นางแตะต้องแล้ว ใจเขากลับร้อนเร่า
เขาคว้าข้อมือนางไว้ ถอนใจอย่างจนปัญญา “กู้เจียวเจียว เจ้าทำเช่นนี้ข้าไม่มีสมาธิทายาให้เจ้านะ”
กู้เจียว “อย่างนั้นหรือ”
เซียวเหิงปล่อยมือนาง ทายาให้นางต่อ
กู้เจียวไม่ซนแล้ว เอาแต่จ้องเขานิ่งๆ อยู่อย่างนั้น
จากนั้นเซียวเหิงก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลาย
เซียวเหิง “…”
การทายาเดิมทีเป็นเรื่องปกติธรรมดาเรื่องหนึ่ง แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องส่วนตัวมาก ยามอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้
บรรยากาศพลันล่อแหลมขึ้นมาทันใด
เซียวเหิงสูดหายใจลึก ดึงมือนางมาอย่างใจเย็น ถลกแขนเสื้อนางขึ้น ทายาให้อย่างสม่ำเสมอบนตุ่มทุกตุ่มของนาง
เขาค่อยๆ ทำอย่างไม่รีบไม่ร้อนเสร็จ ตั้งแต่ต้นจนจบทำได้อย่างสงบนิ่งและมั่นคงมาก
แต่ในขณะที่เขากำลังวางยาลงบนโต๊ะ โยนก้านสำลีใส่ตะกร้านั้น จู่ๆ มือข้างหนึ่งของเขาก็คว้าท้ายทอยกู้เจียวไว้ โน้มใบหน้าลงมาปิดปากนางอย่างลุ่มลึก
ก่อนหน้านี้เขาสงบนิ่งมาก ราวกับภิกษุชราที่กำลังเข้าฌาน กู้เจียวก็นึกว่าเขาคงไม่ทำอะไรเสียอีก
ยามนี้ช่างเร้าใจนัก กู้เจียวใจดวงน้อยหดเกร็ง ก่อนจะถูกความเอาแต่ใจและแข็งขืนของเขากลืนกิน
โตแล้วจริงๆ พวกบุรุษไม่ต้องมีอาจารย์คอยชี้แนะเรื่องนี้ก็เป็นการเป็นงานกันหมดเลยหรือ
จะเก่งเกินไปแล้ว…
วันนี้ไม่นับว่าร้อนอะไรมากมาย ภายในห้องมีลมเย็นพัดโชย ค่อนข้างน่าพอใจไม่น้อย
“พระนัดดา ข้าหั่นผลไม้มาให้ อ๊ะ! ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!”
อวี้เหอปิดตาไว้มือหนึ่ง ก่อนจะใช้ถาดปิดแล้วหันหลังให้อย่างรวดเร็ว
เขากำลังจะจากไป มาคิดๆ ดูทำตาบอดเดินเข้าไปดีกว่า วางผลไม้ไว้บนโต๊ะแล้ว เขาก็หลับตาปี๋เดินออกมาด้านนอก ไม่กล้าลืมตาจนชนกำแพงเข้า
หลังจากอวี้เหอทำตาบอดข้ามธรณีประตูไปแล้ว ก็ทำตาบอดปิดประตูให้ทั้งคู่ด้วย “พะ…พวกท่านต่อกันเลย!”
กู้เจียวหลุดหัวเราะ
เซียวเหิงหูแดงขึ้นน้อยๆ
กู้เจียวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองเขาพลางเอ่ย “เซียวชิ่งกลับมาจะตีเจ้าหรือไม่”
นึกไม่ถึงว่าจะกอดจูบกับบุรุษกลางวันแสกๆ ซ้ำยังถูกศิษย์ของตำหนักกั๋วซือมาเห็นเข้าอีก ความบริสุทธิ์สิบเก้าปีพังทลายลงเสียแล้ว
“ให้เขากลับมาก่อนค่อยว่ากัน” เขาหูแดงก่ำ จับคางกระจิริดของนางขึ้นมา ก่อนจะก้มลงปิดปากนางอีกครา
…
เสี่ยวจิ้งคงเหนื่อยล้าสุดๆ พอถึงยามโหม่วเขาก็ยังไม่ตื่น
เย่ชิง ศิษย์ใหญ่พานายใหญ่มู่ไปยังชั้นสามของหอตำรา
กู้เจียวกับเซียวเหิงไปแอบฟังกันอยู่ที่ชั้นสองของหอตำรา
ทั้งคู่ฟุบริมหน้าต่าง แนบหูกับกำแพงแน่น
กู้เจียว “เจ้าได้ยินอะไรหรือไม่”
ไม่กระมัง เมื่อครู่นี้นางเห็นหมดแล้ว ว่าพวกเขาอยู่ชั้นบน ข้างบนนี่เอง เหตุใดจึงไม่ได้ยินอะไรเลยเล่า หอตำราเก็บเสียงดีเพียงนี้เชียวรึ
“เจ้าช่วยข้าดูต้นทางหน่อยสิ” กู้เจียวบอกเซียวเหิง
นางชี้ไปยังศิษย์ตำหนักกั๋วซือสองคนที่ยืนเฝ้ายามอยู่ตรงทางเข้าชั้นสอง
“ได้” เซียวเหิงเอ่ย
กู้เจียวปีนออกมาจากหน้าต่างชั้นสอง คว้ารูปสลักนูนสูงนอกกำแพงไว้ ค่อยๆ ปีนไปชั้นสามช้าๆ
เมื่อนางปีนมาถึงหน้าต่างชั้นสามได้ในที่สุด ก็เห็นหน่วยกล้าตายตำหนักกั๋วซือที่มีฝีมือระดับสูงสุดคนหนึ่งยืนอยู่ในหน้าต่าง กำลังมองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
กู้เจียว “…”
“สวัสดีท่านจอมยุทธ์ ลาก่อนท่านจอมยุทธ์”
กู้เจียวจ้ำอ้าวปีนลงมาพรวดๆ
เซียวเหิงอุ้มกู้เจียวเข้ามา “ไยจึงไวนัก เห็นแล้วหรือ”
กู้เจียวถึงพื้นแล้วก็ปัดๆ มือ พรูลมหายใจโล่งอกก่อนจะเอ่ย “เห็นแล้ว พวกเขากำลังทะเลาะกัน”
ณ ชั้นสาม
นายใหญ่มู่พูดฉอดๆ อย่างคิดว่าตนมีเหตุผลเต็มที่ “พวกเจ้าตำหนักกั๋วซือมีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าเป็นฝีมือตระกูลมู่ของข้า! ตระกูลมู่ข้าไม่เคยล่วงเกินตำหนักกั๋วซือ เหตุใดจึงโดนใส่ความเช่นนี้!”
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ย “ผลการทำนายบอกมาชัดเจนมากแล้ว ว่าเป็นฝีมือพวกเจ้าตระกูลมู่”
นายใหญ่มู่แหงนหน้าหัวเราะยกใหญ่ “ผลการทำนายอย่างนั้นรึ ฮ่า ช่างน่าหยามหยันนัก! ตำหนักกั๋วซือผู้สูงส่งอาศัยแค่ผลการทำนายมาจับคนรึ! ไม่ต้องคุยเรื่องหลักฐานกันแล้วหรือไร!!”
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ยเสียงนิ่ง “การใช้หลักฐานจับตัวคนนั้นล้วนเป็นวิธีการของจวนแม่ทัพและศาลาว่าการทั้งสาม พวกเราตำหนักกั๋วซืออาศัยการทำนายทายทัก”
ทำนายอะไรอันเล่า
ต้องเป็นไอ้เทพเก๊นี่รู้ข่าวอะไรบางอย่างมาจากที่ไหนแน่ๆ แต่เพราะไม่มีหลักฐานอยู่ในมือ จึงได้ใช้การทำนายมาอ้าง
เขาก็นึกว่าตำหนักกั๋วซือใจกล้าจับเขาเพราะมีหลักฐานของตระกูลมู่ไว้ในมือเสียอีก
เช่นนั้นเขาก็ไม่กลัวแล้ว
นายใหญ่มู่ยิ้มเย็น “กั๋วซือ ข้าไม่ได้สงสัยในความสามารถของท่านนะ เพียงแต่ว่าใช้แค่ผลการทำนายก็โยนโทษใส่หัวตระกูลมู่โครมๆ เช่นนี้ ลือออกไปเกรงว่าคงไม่อาจทำให้ปวงประชาในแผ่นดินเชื่อถือได้”
ใต้เท้ากั๋วซือจมสู่ความคิด
ตำหนักกั๋วซือไม่มีหลักฐานจริงๆ ด้วย!
นายใหญ่มู่เอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “หากเจ้าเอาหลักฐานมายืนยันได้ ข้าก็จะมอบชีวิตให้กับเจ้า!”
ใต้เท้ากั๋วซือ “เย่ชิง”
เย่ชิง “ศิษย์อยู่ขอรับ”
ใต้เท้ากั๋วซือ “เรียกพยานมา”
นายใหญ่มู่สีหน้าพลันเปลี่ยน
เย่ชิงลงไปข้างล่างด้วยตัวเอง
กู้เจียวกับเซียวเหิงอยู่หลังชั้นหนังสือมองไปทางบันได
เพียงไม่นาน พวกนางสองคนก็เห็นเย่ชิงพาชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ขึ้นมาข้างบน
กู้เจียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “เป็นเขาหรือ”
เซียวเหิงถาม “เจ้ารู้จักรึ”
“อื้ม” กู้เจียวพยักหน้า
ใต้เท้ากั๋วซือหันไปมองนายใหญ่มู่ “ประมุขมู่ รู้จักเขาหรือไม่”
นายใหญ่มู่ขมวดคิ้ว “ไม่รู้จัก”
“เขามีนามว่าผังไห่ เป็นผู้ดูแลโรงประลองใต้ดินฉีตู ผู้ดูแลผังบังเอิญมาเซิ่งตูพอดี” ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เย่ชิง เอาภาพเหมือนมา”
เย่ชิงหยิบภาพเหมือนใบหนึ่งยื่นให้ผังไห่ “เจ้ารู้จักคนผู้นี้หรือไม่”
คนในภาพเหมือนคือพ่อค้าหาบเร่ที่จับตัวท่านหญิงน้อยไป
ผังไห่พินิจมองภาพเหมือนอย่างละเอียดอยู่นานทีเดียว “อ๊ะ นี่ไม่ใช่อะไรนะ…ถง…ถงอู่รึ! เปลี่ยนชุดเสียจนข้าแทบจำไม่ได้เลย! เขาเป็นยอดฝีมือในโรงบู๊ใต้ดินของพวกเรา แต่เขาออกจากโรงบู๊ใต้ดินของพวกเราไปหลายปีมากแล้ว”
เย่ชิงเอ่ยอีก “เจ้าจำได้หรือไม่ว่าเขาถูกตระกูลใดเชิญให้ออก”
“นี่…” ผังไห่ลังเล
เย่ชิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง เอ่ย “ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ข้าว่าเจ้าอย่าได้ปกปิดใดๆ จะดีกว่า”
ผังไห่กัดฟันเอ่ย “ตระกูลมู่”
ดั่งสายฟ้าฟาดผ่าลงมากลางวันแสกๆ นายใหญ่มู่ตัวแข็งทื่อทันที