สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 746 ชาติกำเนิดของจิ้งคง
บทที่ 746 ชาติกำเนิดของจิ้งคง
กู้เจียวและเซียวเหิงรออยู่ชั้นสองของห้องเก็บตำรา จนกระทั่งมีศิษย์มาปิดประตูแล้วก็ยังไม่เห็นตระกูลมู่ลงมา
เซียวเหิงเอ่ย “พวกเขาอาจจะคุยกันถึงดึก พวกเรากลับก่อนเถิด เดี๋ยวค่อยถามอวี้เหอ”
กู้เจียวตอบ “ได้”
ทั้งสองคนออกจากห้องเก็บตำราและกลับไปที่ตำหนักฉีหลิน
เสี่ยวจิ้งคงเพิ่งตื่นนอน กำลังนั่งอยู่บนเตียงอย่างเหม่อลอย
เพราะนอนนานเกินไปจนตอนนี้มึนงงไปหมด
แต่ทันทีที่กู้เจียวก้าวข้ามธรณีประตู เขาก็คืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง กระโดดลงจากเตียง ใส่รองเท้าวิ่งตึงตังไปหานาง เอ่ยรียกนางด้วยเสียงแผ่วเบา “เจียวเจียว!”
จะให้คนอื่นได้ยินไม่ได้
กู้เจียวลูบศีรษะน้อยๆ ของเขา “นอนหลับสบายไหม”
“อืม!” เขาพยักหน้า
เด็กน้อยนั้นยังเรี่ยวแรงเหลือเฟือ แม้ว่าจะผ่านการหนีเอาชีวิตรอดมาทั้งวันและทั้งคืน แต่พวกเขาก็สามารถฟื้นกำลังได้ด้วยการนอนหลับหนึ่งวัน
“แล้วเสี่ยวเสวี่ยเล่า” เขาถาม
กู้เจียวเอ่ย “นางอยู่ที่บ้านลุงของนาง”
นางเห็นจางเต๋อเฉวียนอุ้มเสี่ยวเสวี่ยที่นอนหลับปุ๋ยขึ้นไปชั้นสามในห้องเก็บตำรา ตอนนี้นางน่าจะนอนหลับอยู่ข้างฮ่องเต้
องค์หญิงน้อยไม่มีเรี่ยวแรงแบบเสี่ยวจิ้งคง กู้เจียวคาดว่านางจะนอนหลับจนถึงเช้า
“หิวไหม” กู้เจียวถาม
“หิว” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย
เซียวเหิงเดินเข้ามา เหลือบมองเด็กน้อยพลางเอ่ย “อยากกินอะไร ข้าจะไปบอกให้ห้องครัวทำ”
เสี่ยวจิ้งคงหน้ามืดดำขึ้นมาทันที
ถ้าเจ้าไม่พูด เจียวเจียวคงเตรียมอาหารให้ข้าแล้ว!
เซียวเหิงมองดูเขาที่หน้าบึ้งตึงเหมือนลูกโป่งปลา มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยและเอ่ย “ใช่แล้ว เจียวเจียว เจ้าช่วยจิ้งคงตรวจฟันหน่อยสิ”
“เป็นอะไรหรือ จิ้งคง ฟันปวดหรือเปล่า” กู้เจียวถาม
เสี่ยวจิ้งคงรีบเอามือปิดปากตัวเอง เอ่ยเสียงอู้อี้ “ไม่ปวด!”
เซียวเหิงเอ่ยต่อ “เหตุใดไม่ปวดแล้วเล่า ไม่ใช่เพิ่งบอกว่าปวดฟันสองวันก่อนเหรอ”
“ข้า…ข้า…ข้า… ข้าไม่ได้ปวดฟันนะ!” เขาเอามือไพล่หลัง มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เสี่ยวจิ้งคงบอกว่าปวดฟันสองวันก่อน แต่นั่นเป็นเพราะไม่อยากเขียนการบ้านที่พี่เขยมอบหมายเพิ่มเติม
กู้เจียวนึกขึ้นได้ว่าเสี่ยวจิ้งคงอายุห้าขวบครึ่งแล้ว จริงๆ แล้วถึงวัยที่ฟันกำลังเปลี่ยน สมควรที่จะตรวจดูช่องปากของเขาสักหน่อย
“ให้ข้าดูหน่อย” กู้เจียวเอ่ย
เสี่ยวจิ้งคงมองพี่เขยด้วยสายตาที่คาดโทษ
เขาสามารถปฏิเสธทุกคนในโลกนี้ได้ แต่ไม่สามารถปฏิเสธกู้เจียวได้
เสี่ยวจิ้งคงจำใจอ้าปากน้อยๆ ของเขาออก “อ้า…”
กู้เจียวค่อยๆ หันตัวเขาให้หันหน้าเข้าหาแสงจากหน้าต่าง จากนั้นจึงหยิบสำลีออกมาจากกล่องยาและตรวจดูฟันน้ำนมของเขาทีละซี่
“ฟันหน้าซี่หนึ่งหลวมแล้ว” กู้เจียวเอ่ย “ช่วงนี้ต้องแปรงฟันให้ดี ห้ามกินของหวานและห้ามใช้ลิ้นดันมัน”
เสี่ยวจิ้งคงตกใจเหมือนฟ้าผ่า!
การแปรงฟันให้ดีและห้ามใช้ลิ้นดันฟันนั้นทำได้ แต่ห้ามกินของหวานนี่มันช่างน่าสงสารเหลือเกิน!
เซียวเหิงเดินเข้ามาแล้วตบไหล่เล็กๆ ของเขาแสร้งทำเป็นจริงทำเป็นจัง “ฟันซี่นี้หลวมเพราะกัดคนร้ายใช่ไหมเล่า นี่มันเป็นการพิสูจน์ว่าเป็นคนกล้าหาญ เจ้าควรจะภูมิใจสิ เหตุใดทำหน้าเศร้าอย่างนั้นเล่า”
นั่นมันเพราะเจ้าน่ะสิ!
พี่เขยจงใจ!
ข้าไม่มีลูกอมกินแล้ว!”
เซียวเหิงถอนหายใจพลางเอ่ยกับกู้เจียว “ข้าเพิ่งตกลงว่าจะให้กินลูกอมเขาแท้ๆ ”
กู้เจียวเอ่ยอย่างจริงจัง “ไม่ให้”
เซียวเหิงมองไปที่เสี่ยวจิ้งคงแล้วเลิกคิ้วขึ้น “โอ้”
เสี่ยวจิ้งในใจคงเดือดพล่าน
ฮือออ!
พี่เขยมันน่าโมโหชะมัด!
ในครัวทำข้าวต้มกับไข่เจียวและผักสำหรับซ่างกวานเยี่ยน เหตุผลหนึ่งเพื่อดูแลอาการบาดเจ็บของซ่างกวานเยี่ยน อีกเหตุผลเพราะเสี่ยวจิ้งคงก็ไม่สามารถกินเนื้อได้
พวกเขากินในห้องของซ่างกวานเยี่ยน
แม้ว่าเสี่ยวจิ้งคงจะเคยมาที่ตำหนักฉีหลินมาแล้วหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็มาไม่ตรงเวลา บางครั้งซ่างกวานเยี่ยนก็หลับไปแล้ว หรือบางครั้งเขาก็หลับไปแล้วเช่นกัน
ครั้งนี้เป็นการพบกันอย่างเป็นทางการ
เซียวเหิงมีแม่เป็นองค์หญิงอยู่แล้ว และตอนนี้ก็มีแม่เป็นองค์หญิงอีกคน เซียวเหิงคิดว่าเสี่ยวจิ้งคงจะถาม แต่กลับพบว่าเสี่ยวจิ้งคงยอมรับได้อย่างง่ายดาย
เสี่ยวจิ้งคงเอามือไพล่หลัง เดินออกจากตรอกปี้สุ่ยด้วยท่าทางเดินเล่นของนายใหญ่จ้าว และเอ่ยด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกับนายใหญ่จ้าว “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจหมด! เจ้ามีฐานะใหม่แล้วไง! จัดมาแบบครบสูตร!”
เซียวเหิง “…”
ถ้าเจ้าอยากจะคิดแบบนั้นก็ย่อมได้
กู้เจียวเล่าที่มาของเสี่ยวจิ้งคงให้ซ่างกวานเยี่ยนฟังว่า เขาเป็นเด็กวัดที่เลี้ยงดูกันมาในแคว้นเจา ไม่มีพ่อแม่ มีเพียงอาจารย์ที่แก่ชราและเคลื่อนไหวไม่สะดวก
กู้เจียวช่วยซ่างกวานเยี่ยนใส่เฝือก แล้วพยุงให้เขามานั่งที่โต๊ะ
อีกด้านหนึ่ง เซียวเหิงก็จูงมือเสี่ยวจิ้งคงเข้ามาในห้อง
ตอนนี้เขาไม่ใช่เณรน้อยหัวโล้นอีกต่อไปแล้ว
เขาเป็นเด็กตัวโตที่แต่งตัวเรียบร้อย ใบหน้ากลมแป้น ดวงตากลมโต ขนตายาว
เสี่ยวจิ้งคงเข้ามาหาซ่างกวานเยี่ยนและเอ่ยอย่างนอบน้อม “ถวายบังคมองค์หญิง ข้าชื่อเสี่ยวจิ้งคง”
ซ่างกวานเยี่ยนไม่ได้เอ่ยอะไร แต่มองเสี่ยวจิ้งคงนิ่งๆ
นางยื่นมือออกมา ลูบใบหน้าของเสี่ยวจิ้งคงเบาๆ
กู้เจียวส่งสายตา เกิดอะไรขึ้นน่ะ
เซียวเหิงตอบกลับด้วยสายตา ไม่รู้
ทั้งคู่สบตากัน จากนั้นก็สังเกตปฏิกิริยาของซ่างกวานเยี่ยนต่อไป
เสี่ยวจิ้งคงเองก็งุนงงว่าเหตุใดป้าสวยคนนี้เพิ่งเจอกันก็ลูบใบหน้าเขา
ซ่างกวานเยี่ยนอ้าปากนิดๆ พลางเอ่ยถาม “เจ้าชื่ออะไร”
“จิ้งคง” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยชื่อตัวเองซ้ำอีกครั้ง
ซ่างกวานเยี่ยนถามอีก “อายุเท่าไหร่”
เสี่ยวจิ้งคงยืดหน้าอกน้อยของตัวเองขึ้นพลางเอ่ย “แปดขวบ!”
เซียวเหิงยิ้มมุมปากพลางเอ่ย “นี่เจ้าโกหกอายุตัวเองเพิ่มอีกสามปีอีกเหรอ”
รู้มั้ยว่าตัวเองดูเหมือนแค่สี่ขวบ เอ่ยเรื่องไร้สาระแบบนี้ไม่มีใครเชื่อหรอก
“จิ้งคง” กู้เจียวมองไปที่เสี่ยวจิ้งคง
“เจ้า…” ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยไม่ออกแล้วหัวเราะขึ้น แล้วเอ่ย “เจ้าน่ารักยิ่งนัก”
เสี่ยวจิ้งคงยิ้มอย่างมีความสุขเอ่ย “ท่านก็สวยเหมือนกัน!”
ทั้งสองคนเอ่ยชมเชยกันและกัน จากนั้นทุกคนก็เริ่มรับประทานอาหาร
เสี่ยวจิ้งคงตัวเล็กมาก ตำหนักกั๋วซือไม่มีเก้าอี้ตัวเล็กสำหรับเขาโดยเฉพาะ เซียวเหิงจึงยกเก้าอี้สูงมาให้เขา
เสี่ยวจิ้งคงนั่งตรงข้ามกับซ่างกวานเยี่ยน กู้เจียวและเซียวเหิงนั่งตรงข้ามกัน
ขณะรับประทานอาหาร ซ่างกวานเยี่ยนก็แอบมองเสี่ยวจิ้งคงอยู่เป็นครั้งคราว ดูเหมือนว่าเขาจะชอบมองเสี่ยวจิ้งคงมาก
เสี่ยวจิ้งคงรู้สึกถึงความจริงใจจากซ่างกวานเยี่ยน และเขาก็ยินดีที่จะใกล้ชิดกับซ่างกวานเยี่ยนมาก
เขายังแบ่งปันลูกชิ้นเจของตัวเองให้กับซ่างกวานเยี่ยนอย่างใจกว้าง
หลังอาหารเย็น เขาลากกู้เจียวไปจับหิ่งห้อยในสวน
เซียวเหิงและซ่างกวานเยี่ยนอยู่ในห้อง มองดูเด็กทั้งสองกำลังเล่นกันจากหน้าต่าง
เซียวเหิงเอ่ยด้วยความสงสัย “ท่านดูเหมือนจะสนใจจิ้งคงมาก”
ซ่างกวานเยี่ยนนั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงหมวกข้าราชการ มองดูเสี่ยวจิ้งคงอย่างตั้งใจ หัวเราะจนตัวโยน เขาเอ่ย “ไม่หรอก แค่เห็นเขาแล้วนึกถึงใครบางคน”
เซียวเหิงหยุดเอ่ยครู่หนึ่ง แล้วถาม “ใครรึ”
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ย “ท่านลุงของเจ้า”
เซียวเหิงเอ่ย “ข้ามีลุงหลายคน”
เซวียนหยวนลี่มีบุตรชายทั้งหมดหกคน
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ย “ลุงของเจ้า แม่ของท่าลุงเจ้ามีเขาตอนอายุมากแล้ว ร่างกายอ่อนแอมาก ท่านลุงของเจ้าเกิดมาจึงตัวเล็กกว่าเด็กทั่วไปมาก เดินได้ตอนสองขวบ พูดได้ตอนสามขวบ ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนเดียวในตระกูลเซวียนหยวนที่ไม่ได้ฝึกฝนวิชายุทธ”
และยังเป็นที่รู้จักน้อยที่สุดในโลกอีกด้วย
ตระกูลเซวียนหยวนเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงในยุทธภพ บุตรชายทุกคนล้วนเก่งกาจและมีชื่อเสียง ยกเว้นเสี่ยวลิ่ว เขาเป็นคนอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ไม่สามารถฝึกฝนวิชายุทธได้ แม้แต่การออกไปตากแดดก็ยังทำให้เขาป่วยได้
เสี่ยวลิ่วมักจะหัวเราะเยาะตัวเองว่าเขาไม่ใช่ลูกชายของตระกูลเซวียนหยวน
ในตระกูลเซวียนหยวนทั้งหมด มีเขาคนเดียวที่ไร้ความสามารถที่สุด เขาไม่สามารถทำสิ่งใดให้กับตระกูลเซวียนหยวนได้ ช่างน่าละอายต่อสายเลือดตระกูลเซวียนหยวนของเขาจริงๆ
เซียวเหิงเอ่ย “เสี่ยวจิ้งคงแข็งแรงเหมือนวัวตัวน้อย”
เป็นเด็กที่ร่าเริงและสดใส เขาไม่ค่อยป่วย และถ้าป่วยก็จะหายเร็วกว่าคนทั่วไป
“ข้าจับได้! ข้าจับได้!” เสี่ยวจิ้งคงจับหิ่งห้อยได้ตัวหนึ่ง เขาดีใจจนวิ่งเล่นไปมาอย่างตื่นเต้นในสวน
ผลที่ตามมาก็คือเขาไม่ได้ดูเท้าของเขา ดีใจสุดขีด ล้มลงเสียงดังปัง
เสียงที่กระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ซ่างกวานเยี่ยนก็รู้สึกเจ็บแทนเขา
ทว่าในวินาทีถัดมา เสี่ยวจิ้งคงก็ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว วิ่งต่อไปอย่างเหนื่อยหอบ “โอ๊ะ! มันบินหนีไปอีกแล้ว! ไม่ได้! ข้าต้องจับมันให้ได้!”
ซ่างกวานเยี่ยน “…”
ซ่างกวานเยี่ยนถอนหายใจ “ดูแบบนี้แล้ว มันไม่เหมือนกับที่เขาเอ่ยถึงเลย”
ถ้าเสี่ยวลิ่วล้มอย่างเมื่อกี้อีก อาจจะตายได้ทันที
เสี่ยวจิ้งคงเล่นจนเหงื่อออกเต็มหัว
เซียวเหิงเอ่ยกับซ่างกวานเยี่ยน “ข้าไปเปลี่ยนเวรกับเจียวเจียว”
เด็กคนนี้มีพลังงานเหลือล้นมาก ถ้าเล่นจริงๆ คงทำให้ทั้งครอบครัวเล่นจนเหนื่อยได้ ยิ่งกว่านั้น กู้เจียวเมื่อคืนก็พักผ่อนไม่เพียงพอ เซียวเหิงจึงอยากให้กู้เจียวไปพักผ่อนเร็วๆ
“จิ้งคง!”
เซียวเหิงเพิ่งมาถึงลานบ้าน องค์หญิงน้อยก็รีบวิ่งมาหาพร้อมกับยกกระโปรงเล็กขึ้น
เสี่ยวจิ้งคงเบิกตากว้าง “เสี่ยวเสวี่ย!”
สองเด็กน้อยพบกันกลางลานบ้าน
เสี่ยวจิ้งคงเอียงคอถาม “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
องค์หญิงน้อยถอนหายใจ “พวกเขาทะเลาะกัน เสียงดังจนข้าตื่นเลยมาหาเจ้า”
จางเต๋อเฉวียนยิ้มร่าเดินเข้ามา ทำความเคารพเซียวเหิง “ถวายบังคมพระนัดดา” จากนั้นหันหลัง ทำความเคารพซ่างกวานเยี่ยนที่ยืนอยู่หลังหน้าต่างด้วยท่าทีสุภาพ
“อาจารย์!” องค์หญิงน้อยทักทายกู้เจียว จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองเซียวเหิง รอให้เซียวเหิงทักทายบ้าง
เซียวเหิงหัวเราะกับตัวเอง “ท่านอาน้อย”
องค์หญิงน้อยพยักหน้าด้วยความพอใจ “อืม! หลานคนนี้เชื่อฟังดีจริงๆ !”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยอย่างเงียบๆ “ว้าว! เจ้าสุดยอดไปเลย เจ้าเป็นท่านอาจของพี่…ของเขาหรือ เช่นนั้นเจ้าก็สั่งเขาทำอะไรก็ได้ใช่ไหม”
องค์หญิงน้อยสีหน้ามึนงง “หลานชายดีขนาดนี้ เหตุใดข้าต้องสั่งเขาด้วยเล่า”
เพราะข้าอยากสั่งเขา!
ข้ายังอยากเปลี่ยนพี่เขยตัวแสบให้กลายเป็นน้องหมาตัวเล็กๆ แล้วไปลูบหัวเขาทุกวันเลย!
ช่างเถอะ แผนนี้ดูแล้วคงไม่เข้าท่านัก
เสี่ยวจิ้งคงถามองค์หญิงน้อย “ข้ากำลังจับหิ้งห้อยอยู่ เจ้าอยากมาด้วยกันไหม”
องค์หญิงน้อยกระดิกนิ้ว “อืม… ข้าจับไม่ได้”
เสี่ยวจิ้งคงตบหน้าอกเล็กๆ ของนาง “ไม่เป็นไร ข้าจับแล้วส่งให้เจ้า”
….
หอเก็บตำรา
นอกจากหน่วยกล้าตายสองคนของตำหนักกั๋วซือแล้ว ฮ่องเต้ได้ไล่ทุกคนออกไป เหลือเพียงเขา นายใหญ่มู่ และใต้เท้าใต้เท้ากั๋วซือ
เย่ชิงป้องกันทางเดินอยู่
ไม่มีใครรู้ว่าฮ่องเต้เอ่ยอะไรกับนายใหญ่มู่ รู้เพียงว่านายใหญ่มู่ถูกคนของจวนแม่ทัพพาตัวไป
ใต้เท้าใต้เท้ากั๋วซือเอ่ยกับหน่วยกล้าตาย “เจ้าทั้งหลายลงไปเถอะ”
ทั้งสองตอบรับ หันหลังแล้วออกไปจากห้องหนังสือ
ใต้เท้ากั๋วซือมองไปที่ฮ่องเต้ที่กำลังทำอะไรไม่ถูก และถามเขา “ฝ่าบาทกังวลหรือไม่ว่าจวนแม่ทัพไม่พบหลักฐานการยุยงตงอู่ของตระกูลมู่”
แม้ว่าหลักฐานของผังไห่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าตงอู่เป็นคนของตระกูลมู่ แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นตระกูลมู่ที่สั่ง เป็นไปได้ว่าตงอู่ลงมือเอง
ฮ่องเต้ถอนหายใจฮึดฮัด “ถ้าหวังซวี่ไม่สามารถหาหลักฐานได้ ก็ควรลาออกจากตำแหน่งเสีย!”
ใต้เท้ากั๋วซือรินชาให้ฮ่องเต้พลางเอ่ยถาม “เหตุใดฝ่าบาทมิวางแผนเล่า เช่นนั้นแล้วจะจัดการกับตระกูลมู่อย่างไร”
ตระกูลทรยศบ้านเมือง ความผิดนี้หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น
ฮ่องเต้ไม่เอ่ยอะไร
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ย “ที่จริงแล้ว ฝ่าบาททรงต้องการเรียกคืนอำนาจทางทหารของตระกูลมู่มานานแล้ว ขออภัยที่เอ่ยตรงไปตรงมา องค์หญิงน้อยต้องทนทุกข์ทรมานน่าสงสารยิ่งนัก แต่เรื่องนี้กลับเกิดในเวลาที่เหมาะสม”
ฮ่องเต้มองเขา “น้อยนักที่เจ้าจะเอ่ยถึงเหตุการณ์บ้านเมืองกับเรา”
ใต้เท้ากั๋วซือยิ้ม “กระหม่อมเองก็ไม่อยากเอ่ย แต่ฝ่าบาทกำลังรอให้กระหม่อมเอ่ย”
ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืนและเดินอยู่ในห้องนานสองนาน เมื่อเดินมาถึงหน้าหน้าต่างก็ทอดสายตามองดวงจันทร์วันเพ็ญบนฟากฟ้า ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยขึ้น “ในวันนี้เมื่อยี่สิบห้าปีก่อน เจ้าเป็นคนทำนายดวงชะตาให้ตระกูลเซวียนหยวน”
มือของใต้เท้ากั๋วซือผู้ใหญ่ที่กำลังดื่มชาหยุดชะงัก
ฮ่องเต้เล่าความทรงจำ “เจ้าเอ่ยว่า ดาวซีเว่ยปรากฏขึ้น ฮ่องเต้จะมาจากตระกูลเซวียนหยวน”
ใต้เท้ากั๋วซือค่อยๆ จับถ้วยชา “ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ตรัส “เรากำลังคิดอยู่ ข้าได้ฆ่าล้างตระกูลเซวียนหยวนจนหมดสิ้นแล้ว เราสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจได้แล้ว แต่เหตุใดช่วงนี้ ใจเรามักรู้สึกกังวลอยู่เสมอ คนตระกูลเซวียนหยวนตายหมดแล้วจริงๆ หรือ”
“ยังไม่หมดพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ย
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
ใต้เท้ากั๋วซือผู้ใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ยังมีองค์หญิงที่ถูกปลดและรัชทายาท พวกเขามีเลือดเนื้อของตระกูลเซวียนหยวนไหลเวียนอยู่ในร่างกาย หากฝ่าบาทต้องการกำจัดภัยร้ายที่จะเกิดขึ้นในวันหน้า ก็ควรจะฆ่าพวกเขาทั้งสองพร้อมกัน”
ฮ่องเต้หันกลับมามองใต้เท้ากั๋วซือด้วยสายตาเย็นชา “พวกเขามีแซ่ซ่านกวาน!”
ใต้เท้ากั๋วซือผู้ใหญ่มองตอบเขาด้วยน้ำเสียงเรียบ “จิ่งยินยินก็แซ่จิ่งเช่นกัน”
สายตาของทั้งสองคนอยู่ในอากาศนิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้หันตัวไปและยังคงมองท้องฟ้า “เราไม่อยากทะเลาะกับเจ้า”
ใต้เท้ากั๋วซือหยิบถ้วยชาขึ้นมา “เย่ชิง ส่งแขก”
เย่ชิงเปิดประตูเข้ามา
คนที่กล้าออกคำสั่งไล่ฮ่องเต้ ทั่วทั้งแคว้นเยี่ยนก็มีเพียงบุคคลที่อยู่ตรงหน้านี้เท่านั้น
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าคำนวณอีกครั้งให้เราดูสิ ว่ายังมีคำทำนายว่า ‘ดาวจื่อเว่ยปรากฏ ฮ่องเต้จะออกมาจากเซวียนหยวน’ อีกหรือไม่”
ใต้เท้ากั๋วซือใหญ่เอ่ย “คำนวณไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้านี่จะขัดคำสั่งเราหรือ”
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ยด้วยท่าทางไม่ทุกข์ไม่น้อย “การเปิดเผยความลับแห่งสวรรค์จะทำให้อายุสั้นลง ข้าได้ลดอายุลงแล้วสิบปี หากคำนวณอีกครั้ง เกรงว่าข้าอาจจะถึงแก่ชีวิตเลยก็ได้ ยิ่งกว่านั้น การเสี่ยงทายเดียวกันไม่สามารถคำนวณสองครั้งได้”
ฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
“องค์หญิงน้อยอยู่ที่ไหน” ฮ่องเต้ตรัสถามขันทีที่อยู่นอกห้องเก็บตำรา
ขันทีกราบทูล “ทูลฝ่าบาท องค์หญิงน้อยไปตำหนักฉีหลินแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดถึงไปตำหนักฉีหลินอีก” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วและเดินไปตำหนักฉีหลินอย่างรีบร้อน