สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 747 จิ้งคงพบอาจารย์ (1)
บทที่ 747 จิ้งคงพบอาจารย์ (1)
เสี่ยวจิ้งคงและองค์หญิงน้อยกำลังเล่นกันสนุกสนาน ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กทั้งสองดังมาจากไกลๆ
องค์หญิงน้อยในวังไม่ได้เป็นเด็กแบบนี้เลย นางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่และถือตัว
สองเด็กน้อยกำลังไล่จับหิ่งห้อยที่กระพริบระยิบระยับในสวน พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นใครกำลังเดินเข้ามาทางนี้
จางเต๋อเฉวียนเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นฮ่องเต้ เขารีบโค้งถวายบังคม
ฮ่องเต้ยกมือขึ้น บอกให้เขาถอยไป
จางเต๋อเฉวียนหลบไปด้านข้าง
สองเด็กน้อยไล่จับกันอยู่ องค์หญิงน้อยวิ่งนำหน้า นางไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับต้นขาของฮ่องเต้
เสี่ยวจิ้งคงที่อยู่ด้านหลังนางจึงหยุดไม่ทัน เพื่อหลบเลี่ยงมิให้ชนนาง ร่างเล็กของเขาจึงเบี่ยงไปอีกทางก่อนจะชนเข้ากับต้นขาอีกข้างของฮ่องเต้
ก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้เคยพบเสี่ยวจิ้งคงมาแล้วสองครั้ง
ครั้งแรกคือเสี่ยวจิ้งคงและองค์หญิงน้อยยืนอยู่นอกตำหนักฉีหลินร้องเพลงทำนองว่า ข้ารักเจ้า เจ้ารักข้า อะไรทำนองนั้น ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวฮ่องเต้มาจนถึงทุกวันนี้ แต่ว่าเรื่องหน้าตานั้น ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ทอดพระเนตรอย่างละเอียดนัก
ครั้งที่สอง ในตอนกลางวัน สองเด็กน้อยนั่งอยู่ในตำหนักฉีหลิน หน้าของพวกเขามอมแมมไปหมด จึงไม่เห็นหน้าตาอย่างชัดเจน
ตอนนี้เสี่ยวจิ้งคงมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาจึงได้มีโอกาสทอดพระเนตรดูใบหน้าของเด็กน้อยอย่างละเอียด
หน้าตาดีนั้นไม่ต้องสงสัยเลย เสี่ยวจิ้งคงมีหน้าตาที่โดดเด่น ไม่ว่าจะตอนอยู่ที่แคว้นเจาที่มีผิวขาวเนียน หรือตอนนี้ที่มีผิวสีเข้ม ก็น่ารักน่าชังเกินห้ามใจ
ทว่าดวงตางดงามของเขากลับแฝงไปด้วยความกล้าหาญ
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือแววตาของเขา ถึงแม้จะเผชิญหน้ากับฮ่องเต้แห่งแคว้นเยี่ยนก็ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
หากเด็กคนนี้โตขึ้น… คงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ท่านลุง!” องค์หญิงน้อยกอดต้นขาของฮ่องเต้
เสี่ยวจิ้งคงอ๋อแล้วถอยหลังหนึ่งก้าว ทักทายอย่างสุภาพ “สวัสดีท่านลุงเสี่ยวเสวี่ย”
สายตาของฮ่องเต้จับจ้องไปที่ใบหน้าของเสี่ยวจิ้งคงไม่วางตา
เขายิ่งมอง ก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
ความรู้สึกแปลกประหลาดที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายว่าอะไร
“ฝ่าบาท”
เซียวเหิงเดินมาจากอีกฟากหนึ่งของต้นไม้ใหญ่
“ชิ่งเอ๋อ” ฮ่องเต้ละสายตาจากใบหน้าของเสี่ยวจิ้งคงแล้วมองไปที่เซียวเหิง “พวกเขาเสียงดังรบกวนเจ้าพักผ่อนหรือ”
ยามนี้เซียวเหิงรับบทเป็นคนอ่อนแอ เหลือเวลาอีกครึ่งปีก็จะลาโลกนี้ไปแล้ว
เขาปรับลมหายใจ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “เปล่าพ่ะย่ะค่ะ อากาศร้อน ข้านอนไม่หลับ”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเขาพลางตรัส “ถ้ารู้สึกไม่สบาย ก็ให้กั๋วซือเอายามาให้”
เซียวเหิงยิ้มเจื่อน “ไม่ต้องเปลืองยาหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
คนที่กำลังจะตายกินยาก็แค่ปลอบใจตัวเองเท่านั้นเอง เซียว(เจ้าเล่ห์)เหิงแสดงได้อย่างสมบทบาท
สายตาของฮ่องเต้ยังคงถูกเสี่ยวจิ้งคงดึงดูดโดยไม่ตั้งใจ
เขาขมวดคิ้ว “เด็กคนนี้…”
เซียวเหิงเอ่ย “หมอเซียวบอกว่าเขาเพิ่งกลับมาจากป่า ทางที่ดีควรสังเกตอาการที่ตำหนักกั๋วซือหนึ่งหรือสองวันเพื่อยืนยันว่าร่างกายและจิตใจไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จากนั้นจึงส่งเขากลับบ้าน ข้าได้ส่งคนไปแจ้งให้ครอบครัวของเขาทราบแล้ว”
ในเมื่อเขาคือเด็กที่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยซ่างกวนเสวี่ย จะพักฟื้นอยู่ที่ตำหนักกั๋วซือก็สมเหตุสมผลดี
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่เสี่ยวจิ้งคงพลางตรัส “เสี่ยวเสวี่ย พวกเราได้เวลากลับวังแล้ว”
องค์หญิงน้อยโบกมือลาทุกคนด้วยความอาลัยอาวรณ์ “จิ้งคงลาก่อน! อาจารย์ลาก่อน! หลานชายลาก่อน! พี่สาวลาก่อน!”
ซ่างกวานเยี่ยนโบกมือให้นางที่อยู่หลังหน้าต่าง
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรซ่างกวานเยี่ยน ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตรัสอะไรสักคำ
หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว องค์หญิงน้อยก็เล่นขวดแก้วสีอ่อนในมืออย่างมีความสุข
ขวดแก้วเป็นแก้วโปร่งแสง ข้างในใส่หิ่งห้อยระยิบระยับเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าที่เสี่ยวจิงคงจับมา
ฮ่องเต้กลับนึกถึงเด็กคนนั้น
เด็กอายุห้าขวบคนนั้นกล้ากัดคนไม่ปล่อยอยู่กลางถนน อีกทั้งยังพาเสี่ยวเสวี่ยหลบหนีออกจากสถานที่ที่ถูกกักขังอย่างใจเย็น ทั้งยังหาที่ซ่อนตัวหลบอยู่ทั้งบ่าย
ตัวเองท้องหิว ของกินทั้งหมดก็ยกให้เสี่ยวเสวี่ยกิน
กล้าหาญ เฉลียวฉลาด หนักแน่น จิตใจงาม… ราวกับทุกสิ่งดีงามบนโลกนี้รวมอยู่ในตัวเด็กคนนี้
“เสด็จลุง วันพรุ่งนี้ข้ามาเล่นกับจิ้งคงอีกได้หรือไม่” องค์หญิงน้อยขัดจังหวะความคิดของฮ่องเต้
“เจ้าไม่กลัวแล้วหรือ” ฮ่องเต้ถามนาง
“กลัวอะไรรึ” องค์หญิงน้อยถามเขากลับ
ฮ่องเต้หัวเราะก่อนจะตรัส “ตอนบ่ายเจ้าไม่ได้บอกว่าจะไม่ออกไปอีกแล้วหรือ กลัวว่าออกไปจากวังแล้วเจอคนไม่ดีอีก”
“อ๋อ เรื่องนี้ข้าก็เพิ่งบอกจิ้งคงไป” องค์หญิงน้อยตรัส “แต่จิ้งคงบอกว่าพวกเราจะ… จะไม่กินเพราะกลัวสมรักไม่ได้!”
ฮ่องเต้มึนงงไปหมด สิ่งใดคือไม่กินเพราะกลัวสมรัก
องค์หญิงน้อยพยายามอธิบาย “ก็ ก็… หาก หาก… หากท่านกินข้าวแล้วติดคอ ท่านจะไม่ยอมกินข้าวอีกเพราะกลัวติดคอไม่ได้ ดังนั้นข้า… ข้าก็ไม่จะกลัวที่จะออกไปข้างนอกเพียงเพราะเคยเจอคนไม่ดีไม่ได้เช่นกัน! โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ ข้าอยากจะออกไปดู!”
ข้าว่าเจ้าแค่อยากจะมาตำหนักกั๋วซือมากกว่า!
อีกอย่าง นั้นเรียกว่าไม่กินเพราะกลัวสำลัก!
ฮ่องเต้ตรัสถาม “เขาว่าเช่นนั้นจริงรึ”
องค์หญิงน้อยพยักหน้าน้อยๆ “อืม!”
ฮ่องเต้ถอนหายใจพลางตรัส “รู้ความไม่เบา”
บ่ายวันนี้เขาปลอบนางจนคอแห้ง เด็กน้อยไม่ฟังเขาแม้แต่คำเดียว เพราะเหตุใดกัน พอเพื่อนของนางเอ่ยประโยคเดียว นางก็รับเป็นความจริงทันทีหรือ
จางเต๋อเฉวียนยิ้มพลางเอ่ย “เห็นได้ชัดว่าได้รับการอบรมสั่งสองมาอย่างดี องค์หญิงน้อยได้เพื่อนแบบนี้ก็เป็นเรื่องดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ “เหอะ”
…
เสี่ยวจิ้งคงนอกลางวันมากไป กลางคืนจึงนอนไม่หลับ
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ แกว่งขาป้อมของตัวเองอย่างเบื่อหน่าย “เจียวเจียว ข้าอยากกินขนมเปี๊ยะพันชั้น แบบที่ไม่โรยน้ำตาลน่ะ”
ขนมเปี๊ยะพันชั้นมีทั้งแบบรสหวานและรสเค็ม แต่โดยทั่วไปเพื่อเพิ่มรสชาติจะใช้น้ำมันหมูเล็กน้อย มีเพียงร้านเก่าแก่แห่งหนึ่งในถนนต้าซิงที่มีขนมเปี๊ยะพันชั้นที่ทำด้วยน้ำมันพืช
กู้เจียวเอ่ย “ได้ ข้าจะไปซื้อให้”
เซียวเหิงเอ่ย “ข้าไปซื้อเอง”
เสี่ยวจิ้งคงกระโดดลงจากพื้น “ข้าก็อยากไป!”
เซียวเหิงคิดในใจ ไม่ เจ้าไม่อยากไปหรอก
เสี่ยวจิ้งคงยืนกรานที่จะออกไป
เนื่องจากเขาเพิ่งประสบเหตุการณ์เสียขวัญครั้งใหญ่ หากจะเกาะติดหนืบก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ กู้เจียวจึงพาเขาไปด้วย
ถนนต้าซิงอยู่ไม่ไกลจากตำหนักกั๋วซือ คืนนี้ลมพัดโบกโชย อากาศนับว่าเย็นสบาย พวกเขาจึงตัดสินใจเดินไป
กู้เจียวจูงเสี่ยวจิ้งคงอยู่ตรงกลาง เสี่ยวจิ้งคงกระโดดโหยงเหยง ตื่นเต้นมาก
เมืองเซิ่งตูไม่ได้ห้ามออกนอกบ้านยามวิกาล แม้จะเป็นเวลาดึกแล้ว แต่ถนนหนทางก็ยังคงคับคั่งไปด้วยผู้คน รถราและผู้คนเดินเบียดเสียดกัน
“ว้าว! สวยจัง! โคมไฟของพวกนางทำด้วยทองคำ! ข้าไปดูได้ไหม”
ไม่ได้!
นั่นเป็นซ่อง!
“ว้าว! คึกคักจัง! คนเยอะจัง! ข้าเข้าไปเดินเล่นได้ไหม”
นั่นเป็นบ่อน!
“แล้ว…แล้ว…แล้ว… แล้วอันนี้ล่ะ”
นี่ร้านขายเสื้อผ้าสำหรับศพ!
“ที่นั่นมีเด็กๆ ข้าอยากไป!”
ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ให้คนทั่วไปเข้ารับการตอนเพื่อไปเป็นขันทีในวัง ครอบครัวที่ยากจนมักจะส่งลูกชายไปนั่นเพื่อไปเป็นขันที
เจ้าคิดอะไรอยู่ เด็กน้อย!