สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 748 อาจารย์พลาดท่า
บทที่ 748 อาจารย์พลาดท่า
คราวนี้นักบวชได้จังหวะเหมาะเจาะ ปิดกั้นทางหนีทั้งหมดของเจ้าสำนักชิงเฟิงไว้ก่อนงัดท่าไม้ตายออกมา
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยพลาดท่าอยู่แล้ว
ทว่าพอได้ยินเสียงเรียกว่าอาจารย์ในฝันร้ายที่คอยหลอกหลอน พลังปราณของเขากลับไหลย้อนกลับ
ร่างของเขาค้างกลางอากาศ ทันใดนั้นก็ตกกระแทกลงบนพื้นเสียงดังก้อง
ใบหน้าคว่ำลงกระแทกพื้น!
เจ้าเด็กเวรเอ้ย เหตุใดถึงได้เป็นมารผจญอาจารย์เช่นนี้
ท่าทางนั้นอเนจอนาถไม่น้อย เขารีบลุกขึ้นในทันใด
แต่ในขณะที่เขายันตัวขึ้นด้วยแขน เจ้าสำนักชิงเฟิงก็พุ่งเข้าใส่ด้วยหมัดหนัก ชกเข้าที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาอย่างจัง
เขาถูกต่อยกระเด็นออกไปต่อหน้าต่อตา
เจ้าเด็กนี่ เจ้านี่มันทรยศอาจารย์จริงๆ
สู้ไม่ไหวก็ช่างเถิด ตอนนี้ต้องเผ่นก่อน!
นักบวชไม่ได้โต้กลับเจ้าสำนักชิงเฟิง แต่อาศัยแรงกระโดดขึ้นหลังคาที่อยู่ไม่ไกล ร่างของเขาทะยานขึ้นกลางอากาศก่อนจะหายลับไปกับยามค่ำคืนที่ไร้ขอบเขต
นักบวชใช้ความพยายามเต็มที่ราวกับกำลังรีบไปเกิดใหม่ ใช้วิชาตัวเบาอย่างสุดความสามารถ ทิ้งตรอกที่มืดมิดและน่ากลัวนั้นไว้เบื้องหลัง
เขาอยากจะหนีไปไกลแปดร้อยเมตรให้รู้แล้วรู้รอด ในที่สุดก็หยุดลงที่มุมถนนอันไร้ผู้คน
ออกรบยังไม่เหนื่อยปานนี้เลย
“แฮก… แฮก… แฮก…”
เขายันกำแพงด้วยแขนข้างหนึ่งช่วยพยุงร่างกายไว้เล็กน้อย อีกข้างหนึ่งดึงชายเสื้อของตัวเอง โบกพัดให้ลมโชย
“ในที่สุดก็หนีรอดมาได้ เจ้าปีศาจน้อยนั้นน่ากลัวนัก”
เขาพิงกำแพงทั้งตัว หลับตาแล้วหอบหายใจเข้าออกอย่างแรง
ทันใดนั้น เงาสูงใหญ่ที่ถูกแสงจันทร์ลากยาวก็ค่อยๆ เข้ามาใกล้ก่อนจะทาบทับกับปลายเท้าของเขา
เจ้าของเงาง้างเงื้อมมือปีศาจขึ้น
เขาตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างฉับพลัน กันจะเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว
เอ๊ะ
ไม่มีคนนี่
“อาจารย์!”
ปีศาจน้อยกระโดดออกมาจากด้านหลังของเขา
เขาตัวแข็งทื่ออีกครั้ง
ปีศาจน้อยเดินอ้อมไปข้างหน้าเขา เงยหน้าขึ้นพลางเอ่ยอย่างน่ารัก “อาจารย์ ท่านจริงๆ ด้วย!”
นักบวชอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก
ข้าถึงวิ่งหนีไปไกลขนาดนี้แล้วเหตุใดยังหนีเจ้าไม่พ้นอีก
เจ้าตามข้าทันได้อย่างไร!
โลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าทางลัด
นักบวชมองดูเสี่ยวจิ้งคงใบหน้าใสซื่อไร้เดียงสา แล้วมองดูกู้เจียวที่ยืนอยู่ไม่ไกล กำลังลูบคางเหม่อมองมาที่เขาอย่างครุ่นคิด ทันใดนั้นฟ้าเหนือศีรษะก็มีสายฟ้าแลบ
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยอย่างตื่นเต้น “อาจารย์ อาจารย์ อาจารย์! ท่านมาเมืองเซิ่งตูได้อย่างไร ท่านมาหาข้าหรือเปล่า ข้าเขียนจดหมายถึงท่าน ท่านอ่านแล้วหรือยัง เหตุใดท่านถึงไม่ส่งจดหมายตอบข้าเลยเล่า เจ้าอาวาสกลับมาที่วัดแล้วหรือยัง จิ้้งฝาน จิ้้งซ่าน และจิ้้งซินสบายดีไหม พี่ๆ คิดถึงข้าไหม”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยไม่หยุด กลายร่างเป็นโทรโข่งน้อยในพริบตา
พูดไปก็จะหาว่าล้อเล่น นักบวชทั้งวัดยังสวดมนต์ตามเขาไม่ทันด้วยซ้ำ
นักบวชสีหน้าเอือมระอา เขาอยากจะตอบคำถาม แต่เจ้าจะให้เข้าแทรกตอบตอนไหน!
“อาจารย์ อาจารย์! ข้าจะพาท่านไปรู้จักกับเจียวเจียว!” เสี่ยวจิ้งคงรีบเอ่ย
กู้เจียวเดินเข้ามา ยืนข้างทั้งสองคน เอียงคอมองนักบวชรูปงามพลางหรี่ตาเอ่ย “อ๋อ เจ้าเองหรือคือผู้เฒ่าหนวดขาว”
นักบวชงงงวย “ผู้เฒ่าหนวดขาวอย่างนั้นรึ”
กู้เจียวมองไปที่เด็กน้อยที่อยู่ข้างกัน “จิ้งคง เจ้าไม่ได้บอกว่าอาจารย์ของเจ้าเป็นผู้เฒ่าหรอกหรือ”
เสี่ยวจิ้งคงตอบอย่างจริงจัง “ใช่แล้ว! ข้าเป็นผู้น้อย อาจารย์ข้าไม่ใช่ผู้เฒ่าหรอกหรือ เขาเป็นคนบอกเอง!”
“หากเจ้าไม่ทำ หรือจะให้ผู้เฒ่าอย่างข้าทำ”
เสี่ยวจิ้งคงเลียนแบบเสียเหมือนเชียว
เพราะความเกียจคร้าน เขามักจะหาข้ออ้างต่างๆ นานาเพื่อใช้ให้ศิษย์ทำงาน “…”
“อะแฮ่ม” เขากระแอมเล็กน้อย ไหว้พระด้วยมือเดียว แล้วเอ่ย “อามิตาพุทธ อาตมานามว่าเหลี่ยวเฉิน”
กู้เจียว “เหอะๆ ”
…
อีกด้านหนึ่ง เซียวเหิงได้พบกับเจ้าสำนักชิงเฟิง
เขาจำได้ว่านี่คือนักบวชหนุ่มที่ช่วยชีวิตเขาไว้บนถนนครั้งก่อน แต่เนื่องจากในห้องเก็บตำราของตำหนักกั๋วซือไม่มีภาพวาดของเจ้าสำนักชิงเฟิง ดังนั้นเซียวเหิงจึงไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงของเขา
เซียวเหิงทักทายเขา “คารวะท่านเจ้าสำนัก”
เจ้าสำนักชิงเฟิงมองดูเซียวเหิง พยักหน้าเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไป
เซียวเหิง “…”
เซียวเหิงมองดูแผ่นหลังของเจ้าสำนักชิงเฟิงที่ไกลออกไป ก่อนจะเอ่ยอย่างครุ่นคิด “ดูเหมือนจะจำข้าไม่ได้แล้ว”
ทำดีแล้วมิเคยรำเลิกบุญคุณ ช่างเป็นเจ้าสำนักที่คุณธรรมสูงส่งแท้
…
เซียวเหิงรออยู่ที่ปากตรอกสักพัก กู้เจียวจูงเสี่ยวจิ้งคงเดินเข้ามา เสี่ยวจิ้งคงกระโดดโลดเต้น ร่าเริงยิ่งกว่าตอนออกมาเสียอีก
สองคนด้านหลังที่ตามมาคือนักบวชหนุ่มที่เพิ่งต่อสู้กับเจ้าสำนักเมื่อครู่
เขาสวมชุดคลุมสีเทา ร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลา มือขวาถือลูกประคำ
ตอนนี้เขาดูเหมือนนักบวชผู้เมตตา แต่เมื่อเขาต่อสู้เมื่อครู่ เขาดูเหมือนปีศาจร้ายที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
สามคนหยุดลงต่อหน้าเซียวเหิง
กู้เจียวเอ่ยกับเสี่ยวจิ้งคง “มาแนะนำพี่เขยเจ้าหน่อย”
เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้า เดินมายืนอยู่ระหว่างเซียวเหิงและเหลี่ยวเฉิน พลางยื่นมือสุภาพบุรุษน้อยของตัวเองออกไป
“พี่เขย นี่คืออาจารย์ของข้า เหลี่ยวเฉิน”
“อาจารย์ นี่คือพี่เขยของข้าเอง เซียวเหิง”
กู้เจียวอนุญาตให้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเซียวเหิง
เมื่อครู่กู้เจียวเองก็คุยกับเหลี่ยวเฉินด้วยเสียงของตัวเอง แต่ตอนนี้มีคนบนถนนเยอะขึ้น นางจึงเปลี่ยนเป็นเสียงเด็กผู้ชาย
เซียวเหิงได้เตรียมใจไว้บ้างแล้ว เขาทักทายเหลี่ยวเฉินอย่างสุภาพ “คาระวะท่านอาจารย์เหลี่ยวเฉิน”
เหลี่ยวเฉินเอ่ยก็โค้งกลับอย่างนอบน้อม “เจริญพรประสกเซียว”
ปากทางไม่ใช่ที่คุยกัน บังเอิญว่าละแวกใกล้เคียงมีแผงขายเกี๊ยว เสี่ยวจิ้งคงมองแผงน้ำลายสอ ทุกคนจึงตัดสินใจเข้าไปนั่งในร้าน
“เกี๊ยวเปล่าชามหนึ่ง” กู้เจียวเอ่ยกับเจ้าของร้าน
เจ้าของร้านตกตะลึง เขาขายมานานหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอคนมาสั่งแผ่นเกี๊ยวเปล่า
กู้เจียวเอ่ยต่อ “ต้มด้วยน้ำเปล่า”
เจ้าของร้านมึนงง “ฮะ”
กู้เจียวและเซียวเหิงไม่หิว
เหลี่ยวเฉินหัวเราะแผ่วเบา “ไส้ผักกาดขาวหมู”
กู้เจียวเอ่ยกับเจ้าของร้าน “เกี๊ยวไส้ผักกาดขาวหมูมาชามหนึ่ง ชามใหญ่”
เจ้าของร้านมองดูนักบวชที่อยู่ตรงหน้า สายตามึนงงยิ่งกว่าเดิม
พวกเขานั่งลงที่โต๊ะเล็กสี่เหลี่ยมจัตุรัส
เสี่ยวจิ้งคงต้องการนั่งติดกับกู้เจียว พวกเขานั่งข้างกัน
เซียวเหิงและเหลี่ยวเฉินนั่งอยู่คนละฝั่ง หันหน้าเข้าหากัน
เจ้าของร้านต้มเกี๊ยวในน้ำเปล่ามาหนึ่งชาม กู้เจียวรินน้ำออกเกือบหมด เหลือไว้เพียงไม่ถึงสามส่วน ใส่น้ำมันพืช น้ำส้มสายชู และผักดองเล็กน้อยคนให้เข้ากัน แล้วส่งให้เสี่ยวจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงกินอย่างเอร็ดอร่อย
เหลี่ยวเฉินยิ้มพลางเอ่ย “เจ้ากู้ดูแลจิ้งคงได้ดีจริงๆ ”
ดูแลจากใจจริง
มิน่าล่ะที่นางไม่ส่งเด็กน้อยกลับไป
กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบ “ก็อย่างนั้นแหละ”
เซียวเหิงมองกู้เจียวอย่างสงสัย ว่ากันว่านักบวชคนนี้ทำให้เจียวเจียวโกรธหรือ
เซียวเหิงคิดอย่างรอบคอบแล้ว การที่กู้เจียวยอมให้เสี่ยวจิ้งคงแนะนำตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา แสดงว่าอีกฝ่ายเป็นพวกเดียวกัน
อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ
เซียวเหิงเอ่ยน้ำเสียงเกรงใจ “ใช่แล้ว อาจารย์เหลี่ยวเฉิน ขอถามได้ไหมว่าท่านกับนักบวชที่เพิ่งเจอกันมีเรื่องบาดหมางหรือเข้าใจผิดอะไรกันหรือ”
เหลี่ยวเฉินยิ้มมุมปากพลางเอ่ย “เจ้าหมายถึงเจ้าสำนักชิงเฟิงคนนั้นหรือ”
“ชิงเฟิงรึ” เซียวเหิงรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูไม่น้อย
กู้เจียวเอ่ย “เขาเป็นเจ้าสำนักชิงเฟิงแห่งตระกูลเฟิง เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเฟิงอู๋ซิว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซียวเหิงก็จำได้ขึ้นมาทันที “คืออัจฉริยะแห่งวงการวรยุทธ์วัยยี่สิบหกปี สามารถเอาชนะยอดฝีมือของหันเย่ได้”
หันเย่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือประจำรุ่น แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะเจ้าสำนักชิงเฟิงยังไม่ได้ลงจากเขาเท่านั้นเอง บวกกับนิสัยชอบอวดอ้างของตระกูลหัน สรรเสริญเยินยอจนแม้แต่หันเย่ยังเชื่อว่าตนเองเป็นเช่นนั้น
คิดว่าตัวเองคือมือถือเสียอย่างนั้น
กู้เจียวพยักหน้า “ใช่ เขานั่นแหละ เจ้าดูสนใจเกี่ยวกับเขาเป็นพิเศษ”
ด้วยนิสัยของเซียวเหิง เขาไม่น่าจะสนใจเรื่องส่วนตัวของคนที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก แม้ว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นอาจารย์ของจิ้งคงก็ตาม
เซียวเหิงเอ่ย “เคยพบกันครั้งเดียว ครั้งหนึ่งข้าลื่นล้มบนถนน เกือบจะโดนรถม้าชน ก็เป็นท่านนักบวชที่ช่วยข้าไว้”
“ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม” กู้เจียวมองเซียวเหิง นางไม่เคยได้ยินเซียวเหิงเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน
เซียวเหิงพยักหน้าให้กู้เจียว “ตอนนั้นเขาไม่ได้ทิ้งชื่อไว้ ข้าก็ไม่ได้มีอะไรมากก็เลยไม่ได้เอ่ยอะไร เพิ่งไปทักทายเขาเมื่อครู่ เขาเหมือนจำข้าไม่ได้แล้ว อาจเป็นเพราะท่านลืมไปแล้ว”
เหลี่ยวเฉินหัวเราะออกมา
“เจ้าหัวเราะอะไรหรือ” กู้เจียวถามอย่างประหลาดใจ
“เขาไม่ได้ลืมสามีของเจ้า แต่เขาไม่เคยจำได้เลย” เหลี่ยวเฉินกับนักบวชหัวเราะเบาๆ ดวงตาที่ชวนหลงใหลของเขายกยิ้มงดงาม “เจ้าจมูกวัวนั่น… จำใครไม่เคยได้หรอก”
…
“ท่านพี่!”
ณ มุมถนน เฟิงอู๋ซิวที่รอคอยมานานครึ่งค่อนวันในที่สุดพี่ชายของเขาก็ปรากฏตัวเสียที
เขารีบเดินเข้าไปถามพี่ชายของเขา “ท่านพี่ คนที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ใช่เจ้านักบวชตัวดีนั่นหรือไม่”
“ใช่ เขาเอง” เจ้าสำนักชิงเฟิงตอบ
เฟิงอู๋ซิวเอ่ยอย่างโกรธเคือง “เจ้านยังกล้ามาเมืองเซิ่งตูอีกหรือ ไม่กลัวตระกูลเฟิงจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ หรือไร!”
เจ้าสำนักชิงเฟิงไม่ได้เอ่ยอะไร
ทันใดนั้น เฟิงอู๋ซิวก็นึกอะไรบางอย่างออก ก่อนจะถามขึ้น “ท่านพี่ ได้ของคืนมาไหม”
“ของอะไร” กู้เจียวมองไปที่เหลี่ยวเฉินแล้วถาม “เจ้าหมายความว่าเจ้าขโมยของของเจ้าสำนักชิงเฟิงหรือ”
“ก่อนอื่นข้าต้องบอกว่า ข้าไม่ได้ขโมยของของเขา” เหลี่ยวเฉินเอ่ยพลางผายมือยกไหล่ “สิ่งนั้นไม่ใช่ของเขา”
เซียวเหิง “…”
กู้เจียว “…”
เหลี่ยวเฉินถอนหายใจ “เอาละ ถ้าพวกเจ้าอยากรู้ ข้าจะบอกเจ้าก็ได้”
“หลวงพี่ เกี๊ยวของท่าน”
เหลี่ยวเฉินหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบชิ้นหนึ่งเข้าปาก ก่อนจะเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา “รสชาติไม่เลว ก็ใช่ของวิเศษอันใดหรอก ก็แค่หนังสือเล่มหนึ่ง”
หนังสือประวัติศาสตร์ของแคว้นเยี่ยน
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เจ้าสำนักชิงเฟิงยืมหนังสือที่เล่มหนึ่งจากตำหนักกั๋วซือ
เจ้าสำนักชิงเฟิง ก่อนออกบวชเคยเป็นศิษย์ของสำนักบัณฑิตเจียหนาน ด้วยพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์และเวทมนต์อันโดดเด่น จึงได้รับความสนใจจากใต้เท้ากั๋วซือ
แต่เนื่องจากตำหนักกั๋วซือไม่รับศิษย์จากตระกูลชั้นสูง ทั้งสองจึงไม่ได้กลายเป็นศิษย์อาจารย์กัน
ต่อมา เจ้าสำนักชิงเฟิงออกบวชเป็นนักบวชเต๋า ใต้เท้ากั๋วซือยังคงชื่นชมเขาอย่างมาก ถึงกับยอมยกเว้นกฎโดยให้หนังสือเล่มหนึ่งจากแคว้นเยี่ยนแก่เขา
ระหว่างทางที่เขานำหนังสือประวัติศาสตร์กลับบ้าน เขาถูกเหลี่ยวเฉินชนเข้าอย่างจัง
เหลี่ยวเฉินแอบเอาหนังสือประวัติศาสตร์ไปขณะที่เขากำลังอาบน้ำในลำธารที่เชิงเขา
หากเพียงแค่ขโมยของไปก็คงไม่เป็นไร แต่เหลี่ยวเฉินกลับตั้งใจเอาเสื้อผ้าของเจ้าสำนักชิงเฟิงไปด้วย เพื่อไม่ให้เจ้าสำนักชิงเฟิงตามทัน
เจ้าสำนักชิงเฟิงที่ไม่มีเสื้อผ้า จึงทำได้แต่นั่งรออยู่ในน้ำจนค่ำ แต่แล้วก็ยังไม่เห็นศิษย์คนไหนผ่านมา
ที่จริงก็ไม่แปลกนัก เพราะเจ้าสำนักชิงเฟิงเดิมทีก็มั่นใจว่าที่นี่จะไม่มีศิษย์หรือชาวบ้านมาเลย จึงกล้าที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าและอาบน้ำที่นี่
เจ้าสำนักชิงเฟิงไม่สามารถอยู่ใต้น้ำเหมือนปลาไปตลอดชีวิตได้ จึงจำใจต้องขึ้นจากน้ำอย่างเงียบๆ
เขาใช้วิชาตัวเบาอย่างช่ำชอง เพียงแค่เขาบินได้เร็วพอ ก็ไม่มีใครสามารถมองเห็นเขาได้
กฎของสำนักเข้มงวดมาก เริ่มต้นตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเย็นย่ำ เพื่อความปลอดภัย เขาจึงเข้าไปในสำนักหลังจากเวลาเย็นย่ำแล้ว
ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ลานสำนักและทางเดินว่างเปล่า
แต่เจ้าสำนักชิงเฟิงลืมไปว่าวันนั้นเป็นวันเกิดของเขา ทุกคนในสำนักเต๋าไม่มีใครเข้านอนเลย พวกเขารู้ว่าศิษย์พี่(น้อง) ชิงเฟิงจะกลับมาในวันนี้ จึงพากันมาที่เรือนของชิงเฟิง ตั้งใจว่าจะให้ชิงเฟิงประหลาดใจเมื่อกลับมาถึง
ให้เขารู้สึกถึงความรักและความห่วงใยจากพี่น้องร่วมสำนัก
ด้วยเหตุนี้เจ้าสำนักชิงเฟิงผ่านทุกด่าน เดินทางข้ามภูเขาและแม่น้ำ ด้วยความกังวลและหวาดกลัว ในที่สุดก็ใช้วิชาตัวเบาเหาะมาถึงเรือนของตัวเอง ไม่นานเหล่าศิษย์ที่รอคอยมานานเห็นดังนั้น จึงจุดพลุขึ้นบนลานว่าง
เสียงดังกึกก้อง ดอกไม้ไฟลุกโชติช่วง ชิงเฟิงเยื้องย่างเข้ามาดั่งกำลังร่ายรำ
เหล่าศิษย์ในสำนักต่างได้ประจักษ์แสงแห่งเทพเซียนด้วยสายตาของตัวเอง
ถึงแม้ว่าเจ้าสำนักชิงเฟิงจะหันหลังแล้วเดินจากไป โดยไม่ให้คนได้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาที่ถูกผมยาวปกคลุม
แต่เรื่องแบบนี้ หากได้ประสบพบเจอแองก็ย่อมรู้เอง
เพียงแค่ส่วนสูงจะ…เท่ากัน
รูปร่าง…จะเหมือนกัน
ความยาวของผม กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมา วิชาตัวเบาที่ทะยานเหนือศีรษะ…ล้วนแต่เหมือน เหมือน เหมือน!
เหมือนทุกกระเบียดนิ้ว!
ทว่าต่อให้เหมือนยันนิ้วเท้า ก็นั่นไม่มีทางใช่เจ้าสำนักชิงเฟิงผู้สะอาดบริสุทธิ์ไร้มลทินจนสำนักไป๋อวิ๋นของพวกเขา
ต้องเป็นพวกไร้ยางอาย เป็นคนวิปริต จงใจจวบจ้วงเจ้าสำนักชิงเฟิงของพวกเขา!
พวกเขาโกรธมาก!
ผลที่ตามมาร้ายแรงมาก!
ดังนั้น สำนักไป๋อวิ๋นจึงประกาศล่าค่าหัวที่ราคาสูงที่สุดในยุทธภพ
…ประกาศแบบที่มีภาพเชียวนะ