สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 750 จุดจบ
บทที่ 750 จุดจบ
กู้เจียวถามแบบนั้นใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แต่คิดมาอย่างดีแล้วระหว่างทาง
ก่อนที่กู้เหยี่ยนจะถูกหนานกงลี่ทำร้าย เอกสารตอบรับเข้าเรียนก็ถูกส่งถึงมือเสี่ยวจิ้งคงแล้ว
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เหลี่ยวเฉินไม่ได้รู้ล่วงหน้าว่ากู้เหยี่ยนจะเกิดเรื่องขึ้น เขาเพียงหวังว่าพวกเขาจะมาเรียนที่แคว้นเยี่ยน
หรือเอ่ยให้เจาะจงกว่านั้นก็คือ พวกเขาทั้งหมดพาเสี่ยวจิ้งคงมาเรียนที่เมืองเซิ่งตู
เสี่ยวจิ้งคงติดกู้เจียวที่สุด ดังนั้นกู้เจียวจึงถูกจัดให้อยู่ในสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน เพื่อให้ทั้งสองไม่ต้องแยกจากกัน
สำนักบัณฑิตเทียนฉงแม้จะอยู่เขตนอกเมือง แต่กลับเป็นสำนักที่บัณฑิตที่มีภูมิหลังเรียบง่ายที่สุด นอกจากมู่ชิงเฉินและมู่ชวนแล้ว ก็ไม่มีลูกหลานของตระกูลชั้นสูงทั้งสิบเอ็ดตระกูลมาเรียนที่นี่
ส่วนมู่ชิงเฉินก็ไม่มาเรียนตั้งแต่ไหนแต่ไร
แถมเขายังเรียนคนละห้องกับมู่ชวน
สิ่งนี้ช่วยลดโอกาสที่พวกเขาจะเผชิญหน้ากับตระกูลชั้นสูงได้อย่างมาก
เรียกได้ว่าทุกอย่างถูกวางแผนมาอย่างละเอียดรอบคอบ
เขากำลังส่งเสี่ยวจิ้งคงไปเรียนหรือกำลังพาเสี่ยวจิ้งคงกลับบ้านกันแน่
เหลี่ยวเฉินละสายตาจากดวงจันทร์ หันกลับมามองใบหน้าเยาว์วัยของกู้เจียวที่แฝงไปด้วยความกล้าหาญ “ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามของเจ้า ข้าก็มีคำถามที่อยากถามเจ้าเหมือนกัน”
กู้เจียวเอ่ย “ข้าถามก่อน”
เหลี่ยวเฉินเอ่ย “ข้ารู้ ดังนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตอบข้า”
กู้เจียวมองเขา
เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “เจ้าในตอนนี้สามารถยอมรับความจริงทั้งหมดได้หรือไม่ หากไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็อย่ารู้เลยจะดีกว่า”
…
ตอนดึก เมืองเซิ่งตูมีฝนตกปรอยๆ เล็กน้อย
กู้เจียวกลับมาที่ตำหนักกั๋วซือ รอยเปียกสีจางอาบย้อมบนเสื้อผ้า
เซียวเหิงรอนางอยู่ในห้อง
เมื่อเห็นนางเข้ามาด้วยร่างอันหนาวเหน็บ เขาจึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหยดน้ำบนใบหน้าและศีรษะของนาง
กู้เจียวเอ่ย “ไม่เป็นไร ฝนตกปรอยๆ เดี๋ยวก็หยุดแล้ว จิ้งคงหลับแล้วหรือ”
เซียวเหิงมองดูเด็กน้อยที่อยู่หลังม่านมุ้ง “ยังไม่ถึงตำหนักกั๋วซือก็หลับแล้ว ทางเจ้าได้ความว่าอย่างไรมาบ้าง”
กู้เจียวเดินหยุดอยู่ข้างเตียง มองดูเด็กน้อยพลางเอ่ย “เขาไปที่ตระกูลเซวียนหยวน และดูเหมือนจะคุ้นเคยกับที่นั่นมาก”
เซียวเหิงท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง “เขามีความสัมพันธ์กับตระกูลเซวียนหยวนหรือ”
“ข้าเดาว่าน่าจะใช่” กู้เจียวเล่าเรื่องราวที่นางเคยพบเหลี่ยวเฉินสองครั้งให้เซียวเหิงฟัง
เซียวเหิงเงียบ
เมื่อเห็นเหลี่ยวเฉินกินเกี๊ยว เขาก็คิดว่าเหลี่ยวเฉินพิลึกคนมาก เขาไม่คิดว่าเหลี่ยวเฉินจะมีฝีมือการต่อสู้ที่สูงส่งขนาดนั้น ทั้งยังฆ่าคนโดยไม่ปรานี การกระทำเช่นนี้ไม่เหมือนกับที่นักบวชผู้เมตตากรุณาพึงปฏิบัติ
ยิ่งกว่านั้น เหลี่ยวเฉินยังรู้เพลงทวนของตระกูลเซวียนหยวนอีกด้วย
“แล้วจิ้งคงเล่า” เซียวเหิงถาม
กู้เจียวตอบ “เรื่องของจิ้งคง ข้าก็ถามแล้ว เขาบอกว่าถ้าข้าไม่สามารถรับความจริงได้ ก็ไม่ควรรู้ดีกว่า”
ยอมรับในที่นี้ย่อมไม่ได้หมายถึงแรงกระทบกระเทือนทางจิตใจ
หากเสี่ยวจิ้งคงเกี่ยวข้องกับตระกูลเซวียนหยวนจริงๆ ด้วยพลังของพวกเขาในปัจจุบัน พวกเขาอาจไม่สามารถปกป้องเสี่ยวจิ้งคงได้
ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะไม่รู้ อย่าได้จมอยู่กับความกังวลที่ไม่จำเป็น
…
บนถนนสายยาว ร่างสองร่างเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว
“ท่านชาย! ท่านชาย ช้าหน่อยสิ!”
“เจ้านักบวชนั่นไปไหนแล้ว แป๊บเดียวก็ตามไม่ทันแล้ว!”
ท่านชายหมิงเย่ว์หยุดลง จ้องมองถนนสายยาวที่ว่างเปล่า เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เมื่อครูเจ้าเห็นเขาไปทางไหน”
องครักษ์ชุดเทาเกาหัว “เหมือน…จะเป็นทางนี้ขอรับ พวกข้าน้อยไม่ได้ตามผิดนะ!”
ท่านชายหมิงเย่ว์เอ่ยอย่างหงุดหงิด “ถ้าไม่ได้ไล่ผิดคน เหตุใดถึงหายไปเล่า เขาหายไปแบบไร้ร่องรอยเลยหรือ เขาเป็นผีหรือไร”
ทหารองครักษ์ชุดเทาหดคอตกพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ท่านชาย กลางวันอย่าเอ่ยถึงคน กลางคืนอย่าเอ่ยถึงผี เดี๋ยวจะเจอผีเอา…”
ท่านชายหมิงเย่ว์เอ่ยเสียงเย็นชา “บัณฑิตไม่พูดเรื่องงมงาย!”
“เหมียว…”
เสียงร้องของแมวป่าดังมาจากหลังคาที่อยู่ไม่ไกล ทั้งสองคนสะดุ้งโหยงพร้อมกัน!
ทหารองครักษ์กลัวจนจับแขนของท่านชายหมิงเย่ว์ไว้แน่น เอ่ยเสียงสั่นเครือ “ท่านชาย ทะ ทะ ทะ ที่นี่มืดนัก… ดูก็รู้ว่าไม่มีคนอาศัยอยู่มานานแล้ว… เป็นบ้านผีสิง… ยังเป็นผีที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิดอีกต่างหาก… พวกเรากลับกันเถอะ…”
ท่านชายหมิงเย่ว์สีหน้าหวาดกลัว แต่พยายามเอ่ยเสียงเข้ม “อะไรกัน วิญญาณไม่ไปผุดไปเกิด มีหรือท่านชายอย่างข้าจะกลัว”
ทหารองครักษ์ชุดเทากดเสียงลง ราวกับกลัวว่าผีจะได้ยิน เอ่ยอย่างหวาดหวั่น “ที่นี่เป็นบ้านเก่าของตระกูลเซวียนหยวน เคยเป็นบ้านของพวกเขาทั้งถนน ได้ยินว่าวันนั้นที่พวกเขาถูกสังหารยกครัว เลือดไหลนองถนน ความแค้นแรงกล้ามาก ถึงขั้นที่แม้แต่อีกาก็ไม่กล้าเข้าใกล้ และข้าน้อยยังได้ยินมาว่า… ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ใครก็ตามที่มาที่ถนนสายนี้หลังจากกลับก็ถูกผีเข้าสิง… แม้แต่ตำรวจก็เดินอ้อมไป!”
ท่านชายหมิงเย่ว์รู้สึกเย็นวาบไปตามหลัง “เจ้า เจ้าเจ้า … เจ้าจะเล่าข่าวซุบซิบนินทาที่นี่ทำไม!”
เท้าของเขาขยับถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
ทหารองครักษ์ในชุดสีเทาเบือนหน้าหนี “ถ้าท่านชายตั้งใจจะหาจริงๆ ข้าน้อยก็ทำได้แค่สละชีวิตเพื่อติดตามท่าน ท่านว่าจะเริ่มจากที่ไหนดี ข้างหน้าคือจวนตระกูลเซวียนหยวน ไปตรงนั้นดีไหม ข้าน้อยว่าพวกข้าจะปีนกำแพงเข้าไปหรือพังประตูเข้าไปดี”
ท่านชายหมิงเย่ว์กลืนน้ำลายลงคอ เอ่ยเสียงจริงจัง “ประเดี๋ยวตะ…ตายขึ้นมาจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเอา! ปีนกำแพงพังประตูอะไรกัน กลับแล้ว กลับแล้ว!”
เอ่ยจบท่านชายหมิงเย่ว์ก็หันหลังกลับทันที เดินจ้ำรัวราวกับมีผีไล่ล่าอย่างไรอย่างนั้น
จวนแม่ทัพ
หวังซวี่ไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว สาเหตุหลักเป็นเพราะมีเรื่องวุ่นวายมากมาย เพิ่งจัดการเรื่ององค์หญิง ก็มีเรื่ององค์หญิงน้อยเข้ามาอีก
คนที่อยู่ในมือเขาตอนนี้คือคนหัวรั้นคนหนึ่ง นายใหญ่ตระกูลมู่
อย่าดูถูกนายใหญ่มู่ว่าเป็นเพียงแค่ขุนนนางฝ่ายบุ๋น แต่แท้จริงแล้วนิสัยดื้อรั้นยิ่งกว่าแม่ทัพเสียอีก
หวังซวี่ก็ไม่กล้าลงโทษเขาหนัก เพราะแก่แล้ว กลัวว่าจะตายเอาได้
แม้แต่กั๋วซือก็รับมือนายใหญ่มู่ไม่ไหว แล้วหวังซวี่จะไหวได้อย่างไร
ไม่ว่าหวังซวี่จะซักถามอย่างไร เขาก็ไม่ยอมเปิดปาก
“ตระกูลมู่ไม่ได้ทำ ตระกูลมู่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนติดสินบนเขา ถึงได้ใส่ร้ายตระกูลมู่!”
ถามไปถามมาก็คำตอบเดิม
จนฟ้าสว่างแล้ว!
หวังซวี่ปวดหัวแทบระเบิด
“ท่านแม่ทัพ พระนัดดาสเด็จของรับ!”
องครักษ์เฝ้าเวรนอกห้องสอบสวนรายงาน
หวังซวี่รีบลุกขึ้นยืน แต่งกายให้เรียบร้อย ไปพบเซียวเหิงนอกห้องสอบสวน “กระหม่อมถวายบังคมพระนัดดา”
เซียวเหิงยกมือขึ้นอย่างสุภาพ “ใต้เท้าหวัง ไม่ต้องมากพิธี ใต้เท้าหวังไม่ได้พักผ่อนทั้งคืนเลยหรือ”
“อ๋อ พ่ะย่ะค่ะ กำลังสอบสวนคดีอยู่” หวังซวี่เอ่ย “เชิญพระนัดดาไปคุยกันด้านในเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เข้าหาคนก็ไม่น้อยนี่
เซียวเหิงกับเขาเข้าไปในห้องสอบสวน ก่อนจะที่หัวโต๊ะ
บ่าวยกน้ำชามาให้
หวังซวี่ถาม “ไม่ทราบว่าพระนัดดาเสด็จมาจวนแม่ทัพกะทันหันเช่นนี้ มีธุระอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเหิงมองหวังซวี่พลางเอ่ย “ข้ามาหาเจ้าเอง ใต้เท้าเซียวกำลังยุ่งอยู่กับการดูแลแม่ข้า ข้าจึงมาแทนเขาเพื่อถามไถ่อาการบาดเจ็บของเจ้า”
หวังซวี่รู้สึกซาบซึ้งใจที่มีคนเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเขา
เขาโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “กระหม่อมไม่เป็นอะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อีกสามวันมาถอดไหมที่ตำหนักกั๋วซือ” เซียวเหิงเอ่ย
“พ่ะย่ะค่ะ” หวังซวี่ตอบอย่างนอบน้อม
เซียวเหิงถามด้วยสีหน้าสงสัย “ใต้เท้าหวังท่าทางเคร่งเครียด คดีไม่ค่อยคืบหน้าหรือ”
“คือ…” หวังซวี่ไม่อาจเปิดเผยรายละเอียดของคดีต่อบุคคลภายนอกได้
เซียวเหิงยิ้มแล้วเอ่ย “ใต้เท้าหวังสอนวรยุทธ์ให้ข้ามาหลายปีแล้ว แม้ว่าข้าจะยังไม่สามารถฝึกได้สักกระบวนท่าก็ตาม แต่นั่นเป็นปัญหาส่วนตัวของข้า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใต้เท้าหวังเลย ข้าจะให้คำแนะนำแก่ใต้เท้าหวังสักหน่อยเพราะพวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน”
หวังซวี่เงี่ยหูฟัง
เซียวเหิงเอ่ยแผ่วเบา “ฝ่าบาททรงทราบผลแล้ว เพียงแต่ต้องการฟังรายละเอียดเท่านั้น ใต้เท้าหวังแค่เติมลงไปก็พอ ไม่ต้องจริงจังมากนัก”
หวังซวี่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย “พระนัดดาหมายความว่าอย่างไร…”
เซียวเหิงยกถ้วยชาขึ้น “ตระกูลหวังของพวกท่านมีสายลับอยู่ในตระกูลมู่ใช่หรือไม่ หาคนมาชี้ตัวตระกูลมู่ก็จบแล้วไม่ใช่หรือ”
หวังซวี่หน้าเปลี่ยนสี “นี่ไม่ใช่การเบิกความเท็จหรือ”
แปลว่ามีสายลับจริงๆ สินะ เซียวเหิงเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย “นี่ไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายสี นี่เรียกว่าการใช้อำนาจอย่างมีเหตุผล หน้าที่ของขุนนางคือขจัดความกังวลของฮ่องเต้ ฮ่องเต้คิดอย่างไร ขุนนางย่อมทำให้ลุล่วง”
…
เมืองเซิ่งตูยามเดือนหกเรื่องให้คุยกันหลังอาหารไม่ขาดหาย อันดับแรกคืออดีตองค์หญิงและพระนัดดาเสด็จที่กลับเมืองหลวง จากนั้นตระกูลมู่และตระกูลหันก็มีปัญหาตามมา
หวั่นเฟยถูกคุมขังในตำหนักเย็นเป็นเรื่องเล็กแล้ว อำนาจทหารของตระกูลมู่ก็หมดสิ้นแล้วเช่นกัน
ได้ยินมาว่าประมุขตระกูลเป็นคนส่งมอบตราหยกทหาร ไม่รู้ว่าตระกูลมู่เกิดอะไรขึ้น ตราหยกทหารที่หามาได้ยากถึงขนาดนั้น ทำไมถึงยอมมอบให้กัน
นายรองมู่หงของตระกูลมู่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีรับสินบนมูลค่ามหาศาล ทำให้พระคลังเสียหายอย่างหนัก ถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกเนรเทศ
ตระกูลหันก็ไม่ได้ดีไปกว่าที่ไหนเลย
เป็นเพราะจางเฟิงและเหล่าองครักษ์ที่ท่านชายใหญ่หันแต่งตั้งไม่สามารถคุ้มกันองค์หญิงน้อยได้ ทำให้องค์หญิงน้อยถูกโจรลักพาตัวไป
จางเฟิงและคนอื่นๆ ถูกลงโทษอย่างหนัก ท่านชายใหญ่หันก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการองครักษ์ราชสำนัก
ก็ยิ่งร้ายแรงกว่านั้นก็คือ ไม่รู้ว่าใครไปฟ้องฮ่องเต้ว่าท่านชายใหญ่หันขาพิการ
ฮ่องเต้จึงส่งจางเต๋อเฉวียนและหมอหลวงไปตรวจสอบ พบว่าขาของหันเย่ถูกตัดเส้นเอ็นทิ้งไปหมดแล้ว ไม่สามารถรักษาให้หายได้
บนบัลลังก์ทองคำ ฮ่องเต้ตรัสเสียงดัง “ท่านชายใหญ่หันไม่สามารถบัญชาการกองทหารม้าเฮยเฟิงได้อีกต่อไป เช่นนั้นแล้วกองทหารม้าเฮยเฟิงจึงต้องเลือกผู้บัญชาการคนใหม่!”
เสนาบดีหยางยกแผ่นไม้กระดานถาม “จะเลือกจากตระกูลหันอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
นี่ไม่ใช่คำถามไร้สาระ
เมื่อตระกูลหันได้รับมอบหมายให้ดูแลกองกำลังทหารเฮยเฟิงแล้ว ก็ควรเป็นลูกหลานของตระกูลหันที่สืบทอดต่อ
แต่ตระกูลหันเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง ฮ่องเต้ทรงผิดหวังกับตระกูลหันอยู่บ้างแล้ว
ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วตรัสด้วยสีหน้าจริงจัง “ลูกหลานของตระกูลหันเป็นตัวเลือกแรก แต่หากมีผู้อื่นที่เก่งกว่าลูกหลานของตระกูลหันมาก ก็สามารถเป็นผู้บัญชาการทหารม้าเฮยเฟิงคนใหม่ได้!”
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป เหล่าตระกูลชั้นสูงก็พากันตื่นเต้น
กองกำลังทหารม้าเฮยเฟิง นั่นคือกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในหกแคว้น!
ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทหารม้าเฮยเฟิงคนใหม่ พวกเขาจะต้องได้แย่งชิงมันมาให้ได้!