สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 752 เฮยเฟิงออกศึก!
บทที่ 752 เฮยเฟิงออกศึก!
กู้เจียวรีบวางข้าวของลงทันที
ภาพที่กั๋วซือเห็นตอนเข้ามาในห้องคือกู้เจียวที่นั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่บนเบาะ
กู้เจียวนั่งจิบชาพลางหันไปทางกั๋วซือด้วยสายตาราบเรียบ “กลับมาแล้วรึ”
พูดอย่างกับที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง
กู้เจียวคลี่ยิ้มบาง
คนอื่นอาจเผยพิรุธได้ แต่ไม่ใช่นาง
กั๋วซือนั่งลงตรงข้ามกู้เจียว
เหงื่อของเขาไหลท่วมทั้งตัวเนื่องจากสภาพอากาศด้านนอกที่ร้อนอบอ้าว
เขารีบรินชาให้ตัวเองหนึ่งจอกโดยไม่รอให้ลูกศิษย์มาทำให้
“มีธุระอันใด” เขาถาม
“ข้าอยากมาเจรจาขอความร่วมมือกับท่าน” กู้เจียวเอ่ย
กั๋วซือจิบชา ก่อนถามต่อ “ร่วมมืออะไรรึ”
กู้เจียวยิ้มกริ่ม “ตำหนักกั๋วซือต้องการทหารม้าเฮยเฟิงไหม”
“ไม่ต้องการ” กั๋วซือตอบอย่างไม่ลังเล
นางกระพริบตาปริบๆ “ท่านไม่ต้องรีบตอบก็ได้”
กั๋วซือหรี่ตามองเด็กสาว “ขอเหตุผลที่ข้าไม่ควรปฏิเสธมาหนึ่งข้อสิ”
การดำรงอยู่ของตำหนักกั๋วซือเป็นที่ประจักษ์ในความเป็นที่หนึ่งไม่เป็นสองรองใคร หาได้มีความจำเป็นต้องใช้ม้าศึกไม่
กู้เจียวกลอกตาครุ่นคิดหนึ่งที ก่อนตอบ “เวลาทหารม้าเฮยเฟิงขี่ม้า…ดูมีมาดดีมิใช่รึ”
กั๋วซือ “…”
เขาดื่มชาใสเย็นอึกใหญ่
เพื่อดับไฟในใจที่ร้อนรุ่ม
“ตำหนักกั๋วซือไม่ข้องเกี่ยวกงการของราชสำนัก”
“เพราะท่านกลัว ก็เลยไม่กล้าสินะ”
กั๋วซือมองเด็กสาวพิลึกตรงหน้าด้วยแววตาฉงนสงสัย
กู้เจียวยกมือขึ้นกอดอก ก่อนจะเบนสายตาไปทางห้องหนังสือเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก “ข้ารู้เรื่องทั้งหมดที่พวกท่านทั้งสามเคยเป็นสหายกันมาก่อน ท่าน ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยน และเซวียนหยวนลี่ แต่ท่านกลับรวมหัวกันเพื่อหักหลังเพื่อนของตัวเอง”
กั๋วซือชะงักถ้วยชาในมือทันที “เจ้าโกรธรึ”
แปลว่าท่านยอมรับแล้วสินะ
กู้เจียวเลิกคิ้วพร้อมเอ่ย “ดวงชะตาว่าไว้ เซวียนหยวนจะได้ขึ้นครอง พวกท่านนี่จริงๆ เลยนะ คนหนึ่งก็กล้าทำนาย ส่วนอีกคนก็บ้าเชื่อตามเสียอย่างนั้น เซวียนหยวนลี่คงคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะต้องมาตายด้วยน้ำมือของสหาย”
กั๋วซือนิ่งเงียบไป
กู้เจียวยกมือขึ้นเท้าคางพร้อมกับส่งสายตามีเลศนัยให้อีกฝ่าย “ท่านกั๋วซือ หากมิใช่เพราะใบหน้านี้ของท่าน ป่านนี้ข้าคงลงมือไปนานแล้ว”
เลือดเนื้อของตระกูลเซวียนหยวนยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างของซ่างกวานเยียนและเซียวเหิง แม้กระทั่งจิ้งคงเองก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน คนที่เป็นศัตรูกับเซวียนหยวนก็เท่ากับว่าเป็นศัตรูของนางด้วย
หากคนทั่วไปได้ยินประโยคเมื่อครู่ของนาง คงต้องเกิดความสงสัยและถามต่อว่าเกี่ยวอะไรกับใบหน้า
แต่กั๋วซือกลับไม่ถามเช่นนั้น
เขาได้แต่นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะหันไปทางกู้เจียวอีกครั้ง “เหตุใดเจ้าถึงอยากได้ทหารม้าเฮยเฟิงนัก”
กู้เจียวเริ่มตามอารมณ์ไม่ทันหลังจากพบว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนหัวข้อเร็วเหลือเกิน
“ใครจะไม่อยากได้ของดีบ้างเล่า” กู้เจียวระมัดระวังตัวอย่างดี หลังจากที่ไปเจอเข้ากับหุ่นดินเผาสามตัวนั้น
กั๋วซือจ้องใบหน้ากู้เจียว “รู้หรือไม่ว่าหากถลำลึกเกินก็ยากที่จะหาทางกลับ”
นางก็ไม่คิดจะถอยหลังอยู่แล้ว
เมื่อกั๋วซือเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เอ่ยอะไรพร้อมเห็นถึงท่าทีที่แน่วแน่ จึงถอนหายใจหนึ่งที แล้ววางถ้วยชาลง “ข้าจะพาเจ้าไปยังที่แห่งหนึ่ง”
….
ตอนแรกกู้เจียวคิดว่ากั๋วซือจะพานางไปที่แห่งหนึ่งที่อยู่ในตำหนัก แต่กลายเป็นว่าเขาพานางมาที่ค่ายทหารแทน
กู้เจียวลงจากรถม้า และหยุดยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าที่มีทหารคอยคุ้มกัน
ค่ายทหารแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณตีนเขา แม้จะมีสายลมฤดูร้อนที่พัดโชยความเย็นจากบนเขาลงมา แต่ก็ไม่สามารถบรรเทาอากาศร้อนในวันแบบนี้ได้อยู่ดี
เสียงร้องของคนและม้าดังออกมาเป็นระยะ
กู้เจียวรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยมาเยือนที่นี่
หลังจากที่เย่ชิงเอ่ยอะไรบางอย่างกับทหารที่เฝ้าประตูเสร็จ พวกเขาก็เปิดทางให้เข้าไปข้างใน
กั๋วซือพากู้เจียวเข้าไปในค่าย
โดยมีเย่ชิงและผู้ติดตามอีกสองคนตามหลัง
เมื่อเข้าไปด้านใน ก็ได้เห็นสนามฝึกขนาดใหญ่ที่ในนั้นมีกองทหารม้ากำลังจัดขบวน
กู้เจียวกวาดสายตามองไปรอบทิศพร้อมกับเอ่ยในใจ… ฝั่งตะวันออกเป็นสนามประลอง ส่วนฝั่งตะวันตกน่าจะเป็นที่ตั้งของค่ายม้า
“ตรงนั้นก่อนหน้าเคยเป็นสนามประลองมาก่อน แต่ถูกปิดลงในเวลาต่อมา” กั๋วซือเอ่ย
“แล้วค่ายม้าตรงนั้นล่ะ” กู้เจียวถามเขา
“ค่ายม้ายังอยู่เหมือนเดิม” กั๋วซือชี้ไปทางทิศตะวันตกของสนาม “เจ้าอาจมองไม่เห็น พวกทหารม้ายืนบังอยู่ เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปที่นั่น”
ทันใดนั้น กู้เจียวก็นึกอะไรขึ้นได้ พร้อมกับมองไปทั้งสี่ทิศ “หรือว่า ที่นี่คือ…ค่ายทหารของตระกูลหัน”
“ใช่แล้ว” กั๋วซือตอบ
“ซึ่งเคยเป็นของตระกูลเซวียนหยวนมาก่อน” กู้เจียวเอ่ยต่อ
กั๋วซืออึ้งไปครู่หนึ่ง “จะเรียกแบบนั้นก็ได้”
กู้เจียวมัวแต่ตะลึงกับสิ่งรอบกายโดยไม่ทันได้สนใจคำตอบที่ออกจากปากกั๋วซือ
แล้วทั้งสองก็มาถึงที่ค่ายม้า
ค่ายม้าแห่งนี้เป็นสถานที่ไว้ใช้สำหรับฝึกฝนทหารม้าเฮยเฟิง แต่ละคนจะต้องผ่านการตรวจร่างกายและการฝึกอย่างเข้มงวดก่อนที่จะได้รับมอบหมายให้เป็นทหารม้าเพื่อฝึกยุทธวิธีเพิ่มเติม
พวกเขามีช่วงเวลาที่ยากลำบากนัก
“เห็นแล้วหรือยัง” กั๋วซือชี้นิ้วให้กู้เจียวดู
กู้เจียวมองไปรอบทิศ เห็นครูฝึกม้าในสนามรบกำลังสั่งให้ลูกม้าสองตัวรีบวิ่งไปที่สะพานเพลิง
พวกมันต้องฝ่าเพลิงไปให้ได้
อีกทั้งสะพานนั้นอยู่ในสภาพไม่มั่นคงเอาเสียเลย
หนึ่งในพวกมันตกใจมากจนส่งเสียงร้องอย่างน่าสงสารขณะที่ยืนอยู่ท่ามกลางกองไฟและไม่กล้าขยับตัว
“ที่เจ้าเห็นอยู่นี้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ปีแรกของการฝึกลูกม้าจะไม่โหดนัก ค่อนข้างปลอดภัย” กั๋วซือเอ่ย
“นี่น่ะหรือปลอดภัย” กู้เจียวบ่นอุบอิบ
กั๋วซือไม่โต้ตอบอะไร ก่อนจะชี้ไปทางอีกฝั่ง
เป็นม้าวัยเจริญพันธุ์ที่กำลังฝึกข้ามสะพานไฟอยู่เช่นกัน
ไฟนั้นลุกลามและรุนแรงมากขึ้น ไม่เพียงแต่ไหม้ทั้งสองข้างทางเท่านั้น แต่ยังไหม้ที่ปลายทั้งสองข้างของสะพานด้วย
ทหารม้าเฮยเฟิงรีบวิ่งเข้าไปในกองไฟอย่างไม่ลังเลใจ
ทหารม้าเฮยเฟิงไม่เพียงแต่ต้องเอาชนะความกลัวไฟและทนต่อการเผาไหม้ของอุณหภูมิสูงเท่านั้น แต่ยังต้องกลั้นลมหายใจเพื่อป้องกันตัวเองจากการสูดดมควันพิษ
หากรู้วิธีป้องกันตัวเอง และยิ่งพ้นกองไฟได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจ็บตัวได้น้อยเท่านั้น
กู้เจียวต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะรู้ว่าการประเมินที่เขากำลังเอ่ยถึงคือการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้น
นี่เขากำลังเฉลยบททดสอบให้นางอยู่รึ
“ม้าของที่ตำหนักกั๋วซือไม่มีตัวไหนที่ผ่านบททดสอบนี้ไปได้เลย” กั๋วซือเอ่ยขณะที่กำลังพากู้เจียวเดินไปข้างหน้าต่อ
ม้ากลัวไฟตามสัญชาติญาณ แต่หากผ่านการฝึกฝนพิเศษอย่างเต็มรูปแบบ จะช่วยให้พวกมันยับยั้งความกลัวนั้นในยามคับขันได้ชั่วคราว
และดูเหมือนว่าม้าที่ตำหนักกั๋วซือจะไม่ได้มีทักษะด้านนี้แต่อย่างได้
ทันใดนั้น ก็มีเสียงคล้ายกับเสียงระเบิดดังขึ้น
กู้เจียวหันไปทางต้นเสียง ก็เห็นทหารม้าเฮยเฟิงอีกตัวกำลังรับการฝึกฝนให้ทนกับเสียงระเบิดที่ดังสนั่น
พวกมันจะต้องนิ่งและไม่ลนลานในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยเสียงที่ดัง
ม้าที่มาใหม่พอได้ยินเสียงก็วิ่งมั่วไปทั่ว ทำให้ภาพที่เห็นมีแต่ความโกลาหล
กั๋วซือชี้นิ้วอีกครั้ง “พวกมันเริ่มการฝึกตั้งแต่อายุได้สามเดือน แต่ดูสิ ขนาดผ่านการฝึกมาแล้วยังออกอาการผวาขนาดนี้”
กู้เจียวมองเขาด้วยสายตาประหลาด “…อย่าบอกนะว่าบททดสอบที่สองคือการทนเสียงระเบิด”
กั๋วซือไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธอย่างใด
คงใช่จริงๆ สินะ
หากคิดว่าด่านแรกกับด่านที่สองน่ากลัวแล้ว ยังมีด่านสามที่น่าสะพรึงกลัวกว่ารออยู่
“บททดสอบควบม้าสามร้อยลี้” กั๋วซือเอ่ย
ราชาม้าของนางยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย ให้วิ่งสามร้อยลี้อาจถึงตายได้
กั๋วซือหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะหันมาจ้องตากู้เจียวด้วยสายตาที่หนักแน่น “ที่ตำหนักกั๋วซือไม่มีม้าตัวไหนที่สามารถผ่านบททดสอบเหล่านี้ได้เลย ดังนั้นเจ้าคงรู้ซึ้งถึงความหฤโหดของการประลองทหารม้าเฮยเฟิงครั้งนี้ ข้ามีความลับอีกอย่างจะบอกกับเจ้า ฝั่งตระกูลหันได้ม้าตัวใหม่มาแล้ว อายุห้าปี รูปร่างกำยำ และเป็นม้าที่ข้าว่า…แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยเจอ”
“เจ้าชนะมันไม่ได้หรอก”
“สิบตระกูลขุนนางและตระกูลอื่น ยกเว้นตระกูลหนานกง”
“เจ้ายอมรับความจริงทั้งหมดได้หรือไม่ หากไม่ ก็อย่ารู้เลยดีกว่า”
เสียงของเหลี่ยวเฉินดังขึ้นในหัวกู้เจียว
ตามมาด้วยเสียงระเบิด เสียงกรีดร้องโหยหวนของม้า เสียงฮึกเหิมของทหารม้า เสียงดาบและกระบี่ที่เฉือนไปมา รวมถึงเสียงของกีบม้า ที่ล้วนทำให้รู้สึกรากับนางกำลังยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบ
ทั้งเสียงเหล่านี้รวมถึงเสียงของเหลี่ยวเฉินวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของกู้เจียวซ้ำไปซ้ำมา
หัวใจของกู้เจียวเต้นแรงราวกับจะระเบิดออกมา
นางกำหมัดแน่น พร้อมเอ่ย “ข้าจะไป”
“วันพรุ่งนี้จะมีการคัดเลือกครั้งแรก ข้าจะให้เย่ชิงเลือกม้าที่ดีที่สุดในตำหนักกับเจ้า” กั๋วซือตอบด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนฉายแววผ่านสายตาของเขา
“ไม่ต้องหรอก”
แม้ม้าของตำหนักกั๋วซือจะดีแค่ไหน แต่ก็สู้ม้าของนางที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันไม่ได้อยู่ดี
…
ณ ตรอกหยางหลิ่ว
ขณะที่อาจารย์แม่หนานกำลังเอายาพิษมาตากแห้งก็เกิดผล็อยหลับจนเผลอหัวทิ่มลงไปในตะแกรงยาพิษ
อาจารย์แม่หนาน “…”
ให้ตายสิ โดนยาพิษเล่นอีกแล้ว!
นางเงยหัวขึ้นและหันไปทางประตูพร้อมใบหน้าที่มีรอยเลือดไหลซิบๆ
“คงไม่ใช่หรอกกระมัง ยานี้ทำให้เห็นภาพหลอนได้ด้วยรึ”
“อาจารย์แม่หนาน” กู้เจียวย่างเท้าเข้ามาใกล้พร้อมกับเอ่ยเรียก
อาจารย์แม่หนานยกมือขึ้นมาหยิกเข้าที่แก้มอุ่นๆ ของกู้เจียว
นี่ไม่ใช่ภาพหลอน
เจียวเจียวกลับมาแล้ว
หนานเซียงลืมไปชั่วครู่ว่าตัวเองกำลังถูกพิษของยาเล่นงาน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดถึงกลับมาเร็วขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าอาการบาดเจ็บของแม่อาเหิงยังไม่หายดีและต้องอยู่ในตำหนักกั๋วซืออีกสองสามวันหรือ”
กู้เฉิงเฟิงเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างระหว่างตอนที่พวกเขาอยู่ที่ตำหนักกั๋วซือให้กับอาจารย์แม่หนานฟังแล้ว
เรื่องที่ควรต้องตกใจก็เป็นอันว่าหายตกใจไปแล้ว
พวกเขากังวลอนาคตของเด็กๆ มากกว่า
“ที่ข้ากลับมาเพราะมีธุระเล็กน้อย ว่าแต่พวกอาเหยี่ยนไม่อยู่นี่รึ” กู้เจียวถาม
อาจารย์แม่หนานตอบ “ท่านผู้อาวุโสเมิ่งพาเจ้าม้าออกไปเดิน ส่วนอาเหยี่ยนกับเสี่ยวซุ่นตามอาจารย์ออกไปตัดซุง มีแค่ข้าคนเดียวที่อยู่นี่ พวกเขาเพิ่งออกไปกันเอง คงยังไม่กลับมาตอนนี้ แล้วนี่ เจ้าหิวหรือไม่ ให้ข้าทำอะไรให้กินไหม”
“อาจารย์แม่ หน้าท่าน…”
กู้เจียวชี้ไปที่ใบหน้าอาบเลือดพิษของอาจารย์แม่หนาน
“เจ้าจะกินเกี๊ยวหรือบะหมี่ดีล่ะ ฝีมือเข้าครัวของข้าดีขึ้นเยอะเชียวล่ะ หรือว่าจะให้ข้าอบขนมเปี๊ยะให้ดี”
ทันทีที่อาจารย์แม่หนานเอ่ยจบก็ล้มพับลงไป!
กู้เจียวรีบช่วยพยุง “โดนยาพิษเข้าแล้วหรือ”
หลังจากส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่าย กู้เจียวก็แบกร่างอาจารย์แม่หนานเข้าไปในห้องแล้วให้กินยาถอนพิษ
นางหยิบขวดออกจากแขนแล้ววางลงบนโต๊ะข้างเตียงซึ่งมีเลือดของกู้ฉังชิงอยู่ในนั้น
จากนั้นทิ้งข้อความไว้
แล้วเปิดลิ้นชักออกเพื่อนับจำนวนสารอาหารสำหรับเจ้าเฮยเฟิง
พบว่าเหลืออยู่แค่สองขวดเท่านั้น
เจ้าเฮยเฟิงยังคงไม่ยอมกินข้าวกินปลา ต้องพึ่งสารอาหารเพื่อประทังชีวิตอย่างนั้นรึ
กู้เจียวเดินมาที่ลานหลังเรือน
ทวนพู่แดงของนางยังคงตั้งตระหง่านใต้แสงอาทิตย์
ส่วนเจ้าเฮยเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ร่างกายผอมซูบลงกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด ท่าทีของมันดูหดหู่ราวกับกำลังรอวันตาย
แม้มันเห็นแล้วว่ากู้เจียวเดินเข้ามา แต่ยังคงไม่ขยับตัวและนั่งอยู่ที่เดิม
มันได้สูญเสียความกระตือรือร้นและความสงสัยใคร่รู้ไปแล้ว
กู้เจียวคุกเข่าลงต่อหน้ามันเหมือนอัศวิน ยกมือขึ้นแล้วแตะหัวของมัน
“ข้าต้องการเจ้า”
“ต้องการให้เจ้าลุกขึ้นมา”
“ต้องการให้เจ้าหวนสู่สนามรบอีกครั้ง”
“ต้องการให้เจ้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับข้า”
“ไม่ใช่ในฐานะเจ้านายและแรงงาน แต่ในฐานะสหาย”
เจ้าเฮยเฟิงยังคงไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ
มันใกล้ถึงฝั่งแล้ว และไม่ได้ยินเสียงใดๆ จากโลกภายนอกอีกต่อไป
กู้เจียวเริ่มรู้สึกเศร้าโศก
แปลกดีที่นางเริ่มมีอารมณ์ร่วมเหมือนกับคนอื่นๆ บ้างแล้ว
กู้เจียวลูบหัวเจ้าเฮยเฟิงเบาๆ ตัดสินใจจะไม่บังคับมัน
ทุกคนมีทางเลือกของตัวเอง
ม้าก็เช่นกัน
ถึงเวลาที่นางต้องปล่อยเฮยเฟิงไป
กู้เจียวลูบศีรษะของมันเบาๆ พร้อมกับฮัมเพลงอย่างปล่อยใจ
‘ข้าไร้ที่พักพิง มีเพียงชุดของชายชาติ’
‘แผ่นดินนี้ขาดผู้นำมิได้ เขาผู้ซ่อมแซมทวนแหลมและความแค้นของข้า’
‘ข้าไร้ที่พักพิง มีเพียงอุดมการณ์แรงกล้า’
‘แผ่นดินนี้ขาดผู้นำมิได้ เขาผู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ไปกับข้า’
ณ หลังคาจวนตระกูลเซวียนหยวน
เหลี่ยวเฉินประสานมือไว้ด้านหลัง มองดูท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขตเพียงลำพัง แล้วฮัมเพลง “ข้าไร้ที่พักพิง มีเพียงผ้าป่านให้สวมใส่”
‘แผ่นดินนี้ขาดผู้นำมิได้ เขาผู้เป็นเกราะกำบังให้ข้า’
‘ร่วมเดินเท้าไปกับข้า’
ณ ค่ายทหาร
ขณะที่เหล่าทหารกำลังนั่งแทะหมั่นโถวที่เย็นชืด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของใครบางคนฮัมเพลงขึ้น ‘ข้าไร้ที่พักพิง มีเพียงชุดของชายชาติ’
เสียงแหบแห้งดูเหมือนจะมาจากเครื่องสูบลมที่หักซึ่งไม่ไพเราะเอาเสียเลย
แต่ไม่นานก็มีคนฮัมเพลงต่อ
เสียงนั้นไปถึงเพิลของนายพลหัน “เกิดอะไรขึ้น”
รองพลที่อยู่ข้างๆ ถึงกับสะดุ้ง “นี่มันเพลงปลุกใจของตระกูลเซวียนหยวนขอรับ!”
ตระกูลเซวียนหยวนจะร้องเพลงนี้ก่อนออกเดินทาง และจะร้องเพื่อเป็นการส่งลาสหายของพวกเขาด้วย
แต่เนื่องจากสี่ตระกูลหลักเข้ายึดกำลังทหารของตระกูลเซวียนหยวน พวกทหารจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ร้องเพลงนี้อีก
‘ข้าไร้ที่พักพิง มีเพียงชุดของชายชาติ แผ่นดินนี้ขาดผู้นำมิได้ เขาผู้ซ่อมแซมทวนแหลม’
‘และความแค้นของข้า!’
เพลงของตระกูลเซวียนหยวนดังก้องไปทั่วค่ายทหาร เสียงที่แหบแห้ง และเต็มไปด้วยอารมณ์เศร้าสั่นสะเทือนและพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่!
กู้เจียวกล่าวคำอำลากับเฮยเฟิง ก่อนคว้าทวนพู่สีแดงออกมา
ต่อให้ไม่มีเฮยเฟิงอยู่แล้ว กู้เจียวยังคงต้องหวนกลับสู่สนามรบซึ่งเป็นที่ของนางอยู่ดี
ขณะที่เดินมาถึงหน้าประตู จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังขึ้นจากด้านหลัง
กู้เจียวยืนตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปและพบว่าเจ้าเฮยเฟิงกำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากที่มันนั่งหมดอาลัยตายอยากในตอนแรก
จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้จุดประกายขึ้นมาอีกครั้งในดวงตาของมัน
มันเป็นม้าตัวเมียเพียงตัวเดียวในแคว้นเยี่ยนที่เป็นนักต่อสู้ ตำนานความสำเร็จของมันอยู่เหนือม้าทุกตัว
สิบหกปีมาแล้ว ถึงเวลาที่มันต้องถอนตัวจากเวทีแห่งประวัติศาสตร์
อาจมองว่ายุคสมัยของมันได้จบลงแล้ว
หารู้ไม่ว่า ตำนานของมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น!