สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 753 ราชาหวนคืน! (1)
บทที่ 753 ราชาหวนคืน! (1)
ตระกูลหัน
ใต้เท้าหันกำลังหารือกับเหล่าผู้อาวุโสเกี่ยวกับการคัดเลือกผู้เข้าแข่งขัน
ขณะที่หันเย่ต้องอยู่พักฟื้นในห้อง
เขานั่งลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ฉีเซวียนเปิดประตูเข้ามาในห้อง แล้วไล่พวกบ่าวออกไป “พวกเจ้าออกไปกันก่อน”
พวกบ่าวน้อมรับอย่างเชื่อฟัง
ฉีเซวียนนั่งลงข้างเขา เหลือบมองเล็กน้อยพลางเอ่ย “ได้ข่าวว่า พรุ่งนี้แล้วสินะ”
เป็นข่าวอะไรนั้น ทั้งสองรู้อยู่แก่ใจ
หันเย่กำหมัดแน่น ดวงตาของเขาที่ไม่ได้ปิดทั้งคืนถูกปกคลุมไปด้วยเส้นเลือดสีแดงรวมถึงรอบตาที่ดำคล้ำ
ฉีเซวียนถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ “ข้าเข้าใจดี เจ้ากำลังลำบากใจ”
“ไม่ ท่านอาจารย์ ท่านไม่เข้าใจ ท่านไม่รู้หรอกว่าการเป็นผู้แพ้มันรู้สึกอย่างไร ท่านไม่รู้หรอกว่าการตกจากที่สูงนั้นเจ็บปวดเพียงใด ท่านไม่รู้หรอกว่าการถูกพรากสมบัติอันล้ำค่าอย่างเจ้าเฮยเฟิงมันน่าอับอายแค่ไหน!”
ฉีเซวียนอ้าปากค้าง ไร้ซึ่งคำจะโต้ตอบ
“ใครเป็นผู้ที่แพร่งพรายเรื่องนี้” หันเย่ถามเสียงแข็ง
“ตระกูลหันเก็บเรื่องของท่านไว้เป็นความลับอย่างดี ไม่มีทางปล่อยให้เล็ดลอดออกไปแน่นอน น่าจะเป็นฝีมือของเซียวลิ่วหลังและพระราชนัดดา”
หันเย่ขมวดคิ้วแน่น “ว่าแล้วก็น่าโมโห คาดไม่ถึงเลยว่าเรื่องพระราชนัดดาจะเป็นจริง!”
ในเมื่อหวังซวี่ยืนยันให้แล้ว แปลว่าไม่ใช่เรื่องลวงแน่นอน
ปัญหาคือ พระราชนัดดาไปร่วมมือกันกับเซียวลิ่วหลังตั้งแต่เมื่อไหร่
ฉีเซวียนเองก็ไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องนี้
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ พระราชนัดดาคนนี้สร้างปัญหาให้พวกเขาอยู่ไม่น้อย รวมถึงภายภาคหน้าด้วย
หันเย่กัดฟัน “ในเมื่อข้าเป็นคนทำให้เสียทหารม้าเฮยเฟิงไป ข้าก็จะกลายเป็นคนบาปของตระกูลหันน่ะสิ!”
“ไม่เป็นแบบนั้นหรอก” ฉีเซวียนเอ่ย
“จะไม่เป็นแบบนั้นได้อย่างไร” หันเย่ย่นคิ้วลงพร้อมหันไปทางอีกฝ่าย
เห็นเพียงแต่ใบหน้ายิ้มอ่อนของฉีเซวียน “ตระกูลอื่นไม่ขโมยทหารม้าเฮยเฟิงไปหรอก”
หันเย่พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “ดูท่านอาจารย์จะไว้ใจศิษย์ของท่านมากถึงเพียงนี้เชียว”
“ลุงห้าของเจ้ากลับมาแล้วนะ” ฉีเซวียนเอ่ย
“ลุงห้า…” หันเย่เอ่ยอย่างตกตะลึง
ฉีเซวียนพยักหน้า “เขาพาม้าตัวใหม่กลับมาด้วย แข็งแกร่งกว่า เยาว์วัยกว่า และรวดเร็วกว่าม้าตัวเก่าของเจ้าหลายขุม”
“เก่งกว่าเฮยเฟิงของข้าอีกรึ… เป็นไปไม่ได้” หันเย่เชื่อไม่ลง
เขาทำใจรับความจริงที่กะทันหันนี้ไม่ได้
ฉีเซวียนรู้ดีว่าหันเย่รู้สึกอย่างไร
อีกด้านหนึ่ง เขาคาดหวังอย่างจริงใจว่าตระกูลหันจะสามารถชนะได้ แต่ในทางกลับกัน ก็ไม่อยากเห็นใครโดดเด่นไปมากกว่าเขา
เป็นความคิดที่ย้อนแย้งอย่างมาก
ฉีเซวียนเลือกที่จะให้อีกฝ่ายมองตามความเป็นจริงมากกว่าที่จะอ่านความคิดเขาออก “เจ้าคงรู้ดีว่าตระกูลหันพยายามใช้วิธีการใหม่ในการฝึกทหารมานานแล้ว”
“แล้วมันได้ผลหรือไม่” หันเย่สงสัย
ฉีเซวียนพยักหน้าเอ่ย “ใช่ มันประสบความสำเร็จ ดังนั้นเจ้าจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครแย่งตำแหน่งผู้บังคับบัญชาไปได้ ทหารม้าเฮยเฟิงจะต้องเป็นของตระกูลหันอย่างแน่นอน!”
…
“อาจารย์แม่หนาน อาจารย์หลู่ ท่านผู้อาวุโสเมิ่ง ข้าไปก่อนนะ!”
กู้เจียวเอ่ยอำลาผู้ใหญ่ทั้งสาม
อาจารย์หลู่ แหงนหน้ามองผืนฟ้าที่มืดลง “ดึกแล้ว ไว้พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางมิได้รึ”
“พรุ่งนี้เป็นวันคัดตัววันแรก ข้าอยากให้เจ้าเฮยเฟิงได้มีเวลาพักผ่อน จะได้ไม่เหนื่อยเกินไป” กู้เจียวเอ่ย
หนานเซียงจ้องเขม็งสามีตัวเองที่เอ่ยอะไรไม่คิด พลางเอ่ย “ให้เฮยเฟิงเดินทางพรุ่งนี้แล้วไปแข่งต่อเลยคงไม่ไหวหรอก”
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงนี้เจ้าเฮยเฟิงยังกินอาหารได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้น้ำหนักลดลงไปมาก
อาจารย์หลู่ หัวเราะ “ก็จริง เช่นนั้น เดินทางปลอดภัย รักษาตัวด้วยละกู้เจียว”
“เดี๋ยวข้าไปส่ง” กู้เหยี่ยนเอ่ย
“ข้าด้วย!” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยเสริม
“ได้เลย” กู้เจียวคลี่ยิ้มบาง
“ช้าก่อน” ทันใดนั้น ผู้อาวุโสเมิ่งก็เรียกกู้เจียวให้หยุด
“มีอะไรรึ” กู้เจียวหันไปถามเขาขณะที่กำลังปรับอานให้เฮยเฟิง
ผู้อาวุโสเมิ่งถอดป้ายของปรมาจารย์หมากรุกแห่งแคว้นทั้งหกออกจากเอวของเขาแล้วมอบให้ “เอาไปสิ”
หลังจากกู้เจียวรู้เรื่องที่เขาเป็นเซียนหมากรุก ก็เอาป้ายนั้นคืนให้กับเขา
“ตอนนี้ข้าสามารถเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องใช้ป้ายอาญาสิทธิ์” กู้เจียวเอ่ย
นางมีป้ายอาญาสิทธิ์ที่ได้จากตำหนักกั๋วซือแล้ว
แต่ผู้อาวุโสเมิ่งยังคงยืนกรานพร้อมทำหน้าบึ้ง “เอาไปเถอะ เผื่อมีเรื่องฉุกเฉิน ตอนใช้ก็บอกว่าข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้า”
กู้เจียวรับมาแต่โดยดี ก่อนกล่าวขอบคุณ “ได้สิ ขอบพระคุณตาเฒ่ามากเลย”
“บอกว่าให้เรียกปรมาจารย์อย่างไรเล่า!”
แล้วกู้เจียวก็เดินออกไป
ผู้อาวุโสเมิ่ง ม้าดีดกะโหลกจริงๆ !
กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นเดินมาส่งกู้เจียวจนถึงหน้าตรอก กู้เหยี่ยนยื่นนิ้วเกี่ยวก้อยกับกู้เจียวพลางเอ่ย “ต้องชนะให้ได้นะ”
คนอื่นอาจบอกว่าชนะหรือแพ้ไม่สำคัญ แค่ทำเท่าที่ทำได้
แต่กู้เหยี่ยนสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งที่สำคัญกว่าความเป็นความตายที่อยู่ลึกลงไปในจิตวิญญาณของพี่สาวเขา
“ได้เลย” กู้เจียวพยัหน้า
จากนั้น กู้เสี่ยวซุ่นได้ยื่นกล่องกลไกให้กับกู้เจียว “ข้าปรับปรุงมันแล้ว คงไม่งอแงเหมือนแต่ก่อนแล้ว เจ้าใช้มันได้อย่างสบายใจได้เลย”
คราวก่อนกู้เจียวและเย่ชิงเกือบถูกเจ้ากล่องกลไกนี้เล่นงาน
กู้เจียวรับมันมาแต่โดยดี “พวกเจ้ากลับกันได้แล้ว ไว้ข้าเสร็จแล้วจะรีบมาหานะ”
กู้เสี่ยวซุ่นจูงมือกู้เหยี่ยนแล้วเดินออกไป แม้จะเดินไปไกลแล้ว แต่ก็ยังหันมาแล้วโบกมือให้อย่างไม่ขาดสาย “ระวังตัวด้วยนะ”
กู้เจียวโบกมือให้พวกเขาเช่นกัน “อื้อ ข้าจะระวังตัว!”
เมื่อเห็นว่าน้องชายทั้งสองเข้าไปในเรือนแล้ว กู้เจียวจึงกระโดดขึ้นหลังเจ้าเฮยเฟิง
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เจียวได้ขี่มัน ความรู้สึกช่างต่างกับม้าทั่วไปอย่างลิบลับ
“นี่ไม่ใช่ม้าแล้ว นี่มันแลมโบกินี่ต่างหาก”
เท่ห์ชะมัด
เมื่อพิจารณาจากสภาพกายเจ้าเฮยเฟิง กู้เจียวจึงพยายามไม่ควบให้เร็วนัก พอขี่ไปได้ครึ่งทาง ก็เริ่มรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังตามหลังมา
กู้เจียวมองดูเงาบนพื้นพร้อมกับเอามือลูบคาง
ก่อนจะให้เจ้าเฮยเฟิงหยุดวิ่ง
และพบว่าเงาที่ตามมานั้นก็หยุดลงด้วยเช่นกัน
แต่พอกู้เจียวเดินต่อ
เงานั้นก็เดินตามมาด้วยอีก
กู้เจียวสะกิดปลายนิ้วที่อานสองสามครั้ง ก่อนจะพลิกตัวลงจากม้าและเดินไปทางเงานั้น
ราชาม้าตื่นตระหนกและกระโจนศีรษะลงบนพื้นหญ้าริมถนนทันที!
ไม่เห็น ไม่เห็น มองไม่เห็น…
กู้เจียว “….”