สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 753 ราชาหวนคืน! (2)
บทที่ 753 ราชาหวนคืน! (2)
จิ้งคงนอนไม่หลับ ยังคงเฝ้ารอให้เจียวเจียวกลับมา
เขาไม่อยากรอเฉยๆ อยู่ที่ตำหนักฉีหลิน จึงรีบวิ่งไปที่ตำหนักกั๋วซือ
เซียวเหิงได้แต่เดินตามเขาอย่างเหนื่อยหน่าย
พวกเขายืนรอนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นจนแทบจะกลายเป็นตุ๊กตาอับเฉา และในที่สุด กู้เจียวก็เดินทางกลับมา
พร้อมกับม้าอีกสองตัว
เจ้าเฮยเฟิงและเจ้าราชาม้า
แวบแรกที่ได้เห็นเจ้าราชาม้า แววตาของจิ้งคงส่องประกายทันที “ว้าว! เสี่ยวสืออีนี่เอง! เจียวเจียวพาเจ้าเสี่ยวสืออีมาด้วยล่ะ!”
เจ้าราชาม้าสั่นจนขาของมันแยกออกด้วยความตกใจ!
เหตุใดเจ้าเปี๊ยกนี่ถึงมาโผล่ที่นี่ได้ล่ะ!
ถ้าจะหนีออกไปตอนนี้ยังทันไหมนะ!
“เอ๋” จากนั้นจิ้งคงก็ถูกรูปลักษณ์ของเจ้าเฮยเฟิงดึงดูดความสนใจไปทันที
เขาพบว่ามันไม่ใช่ม้าธรรมดา
มันทั้งสูง ทั้งสง่างาม
พอยืนเทียบกับเจ้าเฮยเฟิงแล้ว กลายเป็นว่าจิ้งคงเหลืออยู่ตัวนิดเดียว “โห!”
เขามองไปที่เฮยเฟิงด้วยความประหลาดใจ และมันเองก็มองดูเขาอย่างสงสัยเช่นกัน
จากนั้นมันก็เดินไปหาเขาแล้วเริ่มดมกลิ่น
แบบที่มันเคยดมหอกพู่แดงตอนอยู่ที่หลังเรือน
“มันชอบเจ้าล่ะ” กู้เจียวเอ่ยกับจิ้งคง “เจ้าอยากตั้งชื่อให้มันไหม”
ราชาม้าได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหูผึ่ง!
ข้าจะมีน้องแล้ว
จิ้งคงเอียงหัวหนึ่งที ก่อนเอ่ย “พี่ใหญ่!”
เจ้าราชาม้าทำหน้าผิดหวังทันที
เซียวเหิงยื่นมือให้กู้เจียว นางคว้ามือของเขาไว้แล้วกระโดดลงจากม้า
“มันคือ…” เซียวเหิงเอ่ยถามขณะมองไปที่เจ้าเฮยเฟิง
กู้เจียวส่งเสียงอืมมาทีหนึ่ง “ใช่แล้ว”
จิ้งคงพาเจ้าม้าสองตัวเข้าไปในตำหนักกั๋วซืออย่างมีความสุข
เซียวเหิงมองไปที่แผ่นหลังของเฮยเฟิงพลางเอ่ย “มันอดอาหารมานานแล้ว และดูเหมือนจะอ่อนแอนิดหน่อย จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ”
“ข้าเชื่อในตัวมัน” กู้เจียวเอ่ยพร้อมกับมองไปทางเฮยเฟิง
…
เช้าวันรุ่งขึ้น กู้เจียวพบกับเย่ชิงที่ตำหนักฉีหลิน
เย่ชิงหันไปถวายบังคมให้เซียวเหิงที่เดินมาส่งกู้เจียว “ถวายบังคมพระราชนัดดา” จากนั้นจึงหันมาเอ่ยกับกู้เจียว “ท่านกั๋วมีรับสั่งให้ข้าพาท่านชายไปส่งที่สนามแข่ง ข้าได้ทำการลงชื่อให้ท่านเป็นที่เรียบร้อย และนี่คือตราอาญาสิทธิ์สำหรับเข้างาน”
กู้เจียวแค่ร้องอ๋อหนึ่งที ก่อนจะรับตราแล้วยัดลงกระเป๋ากางเกง
เย่ชิงถึงกับตะลึง
จากนั้นกู้เจียวก็ควบเจ้าเฮยเฟิงออกจากตำหนักกั๋วซือ
สถานที่แข่งก็คือค่ายทหารม้าเฮยเฟิงที่กั๋วซือพากู้เจียวพาเมื่อวานนี้
มีคนจำนวนมากมาลงแข่ง นอกจากบุตรของตระกูลชนชั้นสูงแล้ว ยังมีบุตรจากตระกูลยากจนอีกหลายคนที่ได้รับจดหมายด้วย จดหมายแนะนำส่วนใหญ่มาจากสำนักบัณฑิตหรือหน่วยงานราชการสำคัญๆ ในเซิ่งตู
การคัดเลือกขั้นต้นจะกำจัดคู่แข่งส่วนใหญ่ออกไป แต่จะไม่ใช่บุตรหลานของตระกูลขุนนางสิบอันดับแรกและตระกูลหนานกงอย่างแน่นอน
ประการแรก พื้นหลังของตระกูลขุนนางคือหนึ่งในเกณฑ์การพิจารณา และประการที่สอง พวกเขาย่อมมีประวัติและเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
พวกเขาล้วนเป็นเสาหลักของครอบครัวที่ใช้เงินและทรัพยากรไปมากมายกับการฝึกฝน อีกทั้งมีรากฐานเก่าแก่นับศตวรรษและมีการสะสมมาหลายชั่วอายุคน ไม่มีทางที่จะแพ้ให้กับพวกที่ก้มหน้าก้มตาตั้งใจเรียนหนังสือแค่สิบปีอยู่แล้ว
หากเกิดในครอบครัวที่ยากจนและอยากทะยานไปให้ไกล แค่ความขยันอาจไม่เพียงพอ เขาต้องมีพรสวรรค์แบบหนึ่งในล้าน และต้องใช้ความพยายามอย่างเหลือเชื่อ
กู้เจียวมองเห็นกู้ฉังชิงจากระยะไกล
เขากำลังยืนอยู่กับไท่จื่อ และไม่สะดวกปลีกตัวออกมา จึงทำได้แค่สบตากับกู้เจียเพียงเสี้ยววินาทีเดียว ก่อนจะเดินตามไท่จื่อเข้าไปในเพิง
บุตรหลานของตระกูลหันได้สิทธิพิเศษ
ระหว่างที่คนอื่นกำลังต่อแถว กู้ฉังชิงได้มีโอกาสเข้าไปข้างในและทำความคุ้นเคยกับสนามก่อน
เย่ชิงเอ่ยกับกู้เจียว “ข้าไม่เข้าไปข้างในนะ จะรอท่านชายเซียวที่ด้านนอก”
เดิมตำหนักกั๋วซือก็ไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจทางทหารอยู่แล้ว เย่ชิงจึงทำได้เพียงส่งกู้เจียวที่หน้าประตู หากเข้าไปข้างในด้วยเกรงว่าจะกลายเป็นที่โจษจันของผู้คน
กู้เจียวรับทราบ
พอเย่ชิงกลับไปไป กู้เจียวก็ยกมือลูบหัวเจ้าเฮยเฟิงแล้วถาม “พร้อมแล้วหรือยัง”
เฮยเฟิงก้าวเท้าไปข้างหน้าและสูดจมูกสองครั้งราวกับเป็นการตอบสนองต่อกู้เจียว
เด็กสาวยิ้มมุมปาก คว้าบังเหียนแน่น แล้วตะโกนพร้อมกับมองไปยังทิศข้างหน้า “ไปกันเถอะ!”
…
การคัดเลือกเบื้องต้นจัดขึ้นที่สนามฝึกซ้อมทางทิศตะวันตกของค่าย กระบวนการคัดเลือกไม่ซับซ้อน มีสะพานเหล็กที่ถูกสร้างขึ้นหกสาย กว้างห้าฉื่อ ยาวสองจั้ง
เปลวไฟจากสะพานเพลิงทั้งหกกำลังปะทุและลุกโชนอย่างต่อเนื่อง
ผู้เข้าแข่งขันจะต้องขี่ม้าข้ามสะพานเพลิง เดินผ่านเส้นทางที่ฝังไว้ด้วยผงสีดำ จากนั้นเลี้ยวหักศอกเพื่อก้าวขึ้นไปบนแท่นไม้ที่มีความสูงประมาณหัวคน
คนที่ยืนอยู่บนแท่นไม้ได้นานที่สุดจะได้รับชัยชนะ
ที่น่าสนใจก็คือ ระหว่างการแข่ง ผู้เข้าแข่งขันห้ามลงจากหลังม้าโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถือว่าล้มเหลว
กู้เจียวจับฉลากได้ลำดับที่สามสิบหก ซึ่งอยู่ที่กลุ่มที่แข่งขันรอบเช้า
ส่วนกู้ฉังชิงจับได้หมายเลขหก
ตอนที่กู้เจียวเข้าไปในสนาม เป็นช่วงที่เขาเพิ่งแข่งเสร็จพอดี กู้ฉังชิงใช้ม้าทหารม้าเฮยเฟิงลงแข่ง ด้วยความสามารถของเขาจึงทำให้เข้ารอบไปอย่างง่ายดาย
ขณะที่กู้เจียวไม่ได้โชคดีขนาดนั้น เพราะต้องแข่งกับตระกูลหันและตระกูลเฟิงในคราวเดียวกัน
ตระกูลหันส่งหันเช่อลงแข่ง ม้าของเขาเป็นม้าทหารม้าเฮยเฟิงที่แข็งแกร่งและดูสง่า ขณะที่ตระกูลเฟิงส่งทายาทสายตรงของพวกเขาลงแข่ง ซึ่งเป็นคนที่ฝีมือดีไม่น้อยเลยทีเดียว
แม้ม้าของเขาจะไม่ได้เป็นทหารม้าเฮยเฟิง แต่รูปร่างของมันกลับดูทั้งกำยำและแข็งแกร่งในคราวเดียวกัน
เมื่อรวมกับทักษะกำลังภายในที่แข็งแกร่งของเขา จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะนั่งบนหลังม้าได้อย่างมั่นคง
ส่วนผู้แข่งอีกสามคนเป็นปรมาจารย์ระดับสูง โดยสองในสามถึงกับใช้เงินจำนวนมากเพื่อยืมทหารม้าเฮยเฟิงในการเข้าร่วมแข่งครั้งนี้
สำหรับคนอื่น นี่อาจเป็นการแข่งขันทั่วไป แต่สำหรับกู้เจียวแล้ว มันเป็นการแข่งขันที่โหดเหมือนนรกไม่ปาน
กู้เจียวเริ่มหวั่นใจเล็กน้อย
หันเช่อเอ่ยอย่างเย่อหยิ่งขณะที่กำลังยืนอยู่ในแถวแรก “มีคนยังไม่มาอีกเหรอ นี่พวกเราต้องรออีกนานแค่ไหน ไม่ใช่ว่ากลัวจนอยากจะยอมแพ้หรอกนะ จะว่าไป ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าสละสิทธิ์ไปเสียดีกว่า เก่งมาจากไหนก็ไม่มีทางเอาชนะทหารม้าเฮยเฟิงของตระกูลหันหรอก อย่าสำคัญตัวเองผิดไปเลย”
ตัวแทนตระกูลเฟิงเอ่ยอย่างเย็นชา “เฮอะ หยุดเอ่ยไร้สาระได้แล้ว เดี๋ยวเราจะได้เห็นดีกันตอนแข่ง!”
หันเช่อตะคอกกลับ “ไม่เจียมตัวเสียบ้าง!”
ทันทีที่ความคิดของเขาหยุดลง เขาก็รู้สึกว่าม้าของเขาเคลื่อนไหวโดยที่เขายังไม่ได้ออกคำสั่ง
ม้าของตระกูลเฟิงก็เช่นกัน
ส่วนม้าของผู้เข้าแข่งขันที่เหลือก็ขยับตัวอย่างกระวนกระวายเช่นกัน
“เจ้าอย่ามาทำให้ม้าของข้าตกใจนะ” ตัวแทนตระกูลเฟิงตะโกนบอกกับหันเช่อ!
หันเช่อเอ่ยด้วยความโกรธ “ถ้ากลัวนัก ก็อยู่ห่างๆ สิ!”
เจ้าไม่ใช่เรอะที่แอบใช้กำลังภายในทำให้ม้าของข้าตกใจน่ะ!
เหล่าม้าแข่งเริ่มกระสับกระส่ายกันมากขึ้น
ไม่เพียงแต่ม้าของพวกเขาที่กำลังจะเข้าสนาม แต่หันเช่อสังเกตเห็นว่าม้าที่นั่งรอหรือนอนอยู่ข้างๆ ก็เริ่มมีท่าทีปั่นป่วน ราวกับว่าพวกเขารู้สึกถึงสิ่งรบกวนบางอย่าง
หันเช่อขมวดคิ้วแน่น
วินาทีต่อมา เขารับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตอันทรงพลังจากด้านหลัง และเกือบจะในเวลาเดียวกัน เขาได้ยินใครบางคนที่อยู่ด้านข้างร้องอุทาน “เฮยเฟิง เฮยเฟิงมาที่นี่แล้ว!”
เฮยเฟิงรึ
หรือว่าจะเป็นลุงห้า
หันเช่อรีบหันไปตามเสียง
คนที่เขาเห็น ไม่ใช่ลุงห้า แต่เป็นเด็กหนุ่มที่ต่อให้อยู่ในสภาพเละราวขี้เถ้าเขาก็จำได้!
ชายหนุ่มควบม้าเฮยเฟิงซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นของตระกูลหัน เขาวิ่งผ่านพวกเขาทีละคนด้วยสายตาที่หนักแน่นราวกับราชาที่หวนคืนบัลลังก์