สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 754 เข้ารอบ!
บทที่ 754 เข้ารอบ!
คนอื่นๆ ในสนามไม่รู้เรื่องที่เฮยเฟิงอายุมากและถึงวัยเกษียณแล้ว มีเพียงหันเช่อที่รู้ดี
เจ้าม้าตัวนี้นอกจากจะอายุเยอะแล้ว ยังมีอาการหลอนทางจิตเพราะครั้งหนึ่งจู่ๆ มันก็วิ่งออกไปตามหาเจ้าของเดิมของมัน และถูกตระกูลหันตัดสินว่ามันเป็นม้าที่ใช้งานไม่ได้อีก
พวกเขาจึงประกาศให้คนนอกรู้ว่าเฮยเฟิงได้เกษียณแล้ว
แต่ความเป็นจริง พวกเขาทอดทิ้งมัน และปล่อยให้มันเผชิญกับชะตากรรมข้างนอก
ตามที่ฉู่หนานกล่าวไว้ มันจะตายตามเจ้าของหลังจากค้นพบว่าเจ้านายเก่าของมันจะไม่กลับมาอีก
เวลาผ่านไปหลายวัน คงคิดว่ามันอยู่ในสภาพอดอยากปากแห้งแล้ว
คาดไม่ถึงว่านาทีนี้มันจะมายืนอยู่ตรงหน้าเขาได้อีก
แต่ดูเหมือนว่ามันจะผอมซูบลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว
หันเช่ออิจฉาม้าของพี่ชายมาโดยตลอด และเขาใฝ่ฝันที่จะได้ขี่ม้าสักวันหนึ่ง เขาไปดูมันเป็นระยะๆ ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับรูปลักษณ์ของมันมาก
ทันใดนั้นเขาก็มีความคิดว่าว่าเซียวลิ่วหลังจะต้องเก็บมันไปเลี้ยงอย่างแน่นอน ด้วยความที่เขาเป็นหมอ ใครจะล่วงรู้ได้ว่าเขาใช้วิธีใดในการยืดอายุให้เจ้าเฮยเฟิง
แต่ยืดอายุไปก็เท่านั้น เจ้าเฮยเฟิงเป็นม้าที่หมดสภาพแล้ว ไม่ต่างอะไรกับก้อนเนื้อที่เดินได้!
พอคิดได้ดังนั้น ความกลัวทั้งหมดในใจของหันเช่อก็พลันหายไป และถูกแทนที่ด้วยการเยาะเย้ยและการดูถูกเหยียดหยามอย่างไร้ขอบเขต
“ก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เจ้านี่เอง เซียวลิ่วหลัง” สายตาของหันเช่อจ้องมองไปที่ใบหน้าเล็กๆ ที่กล้าหาญและมีปานแดงของกู้เจียว และเอ่ยประชด “นี่เจ้าไม่มีเงินซื้อม้าจนถึงขั้นต้องขโมยม้าแก่ๆ ของตระกูลหันเลยหรือ”
ทันทีที่คำเอ่ยเหล่านี้หลุดออกไป ทุกคนก็ตกตะลึง
“ว่าอย่างไรนะ ขโมยรึ”
“ม้าของเขาได้มาจากการขโมยอย่างนั้นรึ”
“ว่าแล้วเชียว ข้าจำได้ว่ามันเคยเป็นม้าของท่านชายใหญ่หันมาก่อน”
ผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ข้างสนามเริ่มกระซิบกระซาบ
การได้ครอบครองม้าที่ดีก็ไม่ต่างอะไรกันกับนักฆ่าที่ได้อาวุธดีๆ ไปครอง ไม่ว่าใครก็อยากได้ของที่ดีที่สุดมาเป็นของตัวเองทั้งนั้น
หากว่าพวกเขาไม่ได้ของที่ดีที่สุดไป ศัตรูของพวกเขาก็ต้องไม่ได้เช่นกัน
หากคนที่คว้าไปได้คือคนที่อยู่สูงจนใครๆ เอื้อมไม่ถึง พวกเขาก็อาจรู้สึกไม่ติดใจอะไร
แต่หากเป็นคนธรรมดาแล้ว พวกเขาจะต้องเกิดความไม่พอใจอย่างแน่นอน
“ที่แท้ก็ขโมยมานี่เอง” แล้วพวกเขาก็ใช้คำนี้กล่อมจิตตัวเองเพื่อให้รู้สึกว่ารับได้
น่าเสียดายที่การดำรงอยู่ของกู้เจียวไม่ได้เพื่อตอบสนองความคิดที่อ่อนแอของบางคน แต่นางมาที่นี่เพื่อทำลายภาพลวงตาของพวกเขา
“มันเป็นของตระกูลหันอย่างนั้นรึ เจ้าก็ลองเรียกมันดูสิ แล้วมาดูท่าทีของมันกัน” กู้เจียวท้า
หันเช่ออึ้งชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปจ้องเจ้าเฮยเฟิง “เฮยเฟิง! มานี่!”
เจ้าเฮยเฟิงไม่ขยับ
“เฮยเฟิง!”
เขาออกคำสั่งอีกครั้ง
ทว่าเจ้าเฮยเฟิงยังคงนิ่งดั่งภูผาเหมือนเดิม
หันเช่อเริ่มขมวดคิ้ว
แปลกจริง ปกติเจ้านี่มันไม่ได้นิ่งดูดายแบบนี้นี่นา ถึงแม้มันจะไม่เคยให้เขาขี่ แต่อย่างน้อยเวลาเรียกก็ยังพอมีปฏิกิริยาโต้ตอบบ้าง
หันเช่อพยายามเค้นทุกวิถีทางที่จะเอาชนะอีกฝ่าย เขาโพล่งทันทีหลังจากนึกอะไรขึ้นได้ “ดูเกือกม้าสิ มีชื่อของตระกูลหันสลักอยู่บนเกือกม้าอย่างแน่นอน!”
กู้เจียวโบกมือเรียกเฮยเฟิง “ไหน พี่ใหญ่ ยกเกือกของเจ้าขึ้นให้ตาสีตาสาดูหน่อย”
หันเช่อ “เจ้าว่าใครเป็นตาสีตาสาห้ะ!”
แล้วเฮยเฟิงก็ยกเท้าขึ้น
เกือกม้าของมันไม่ได้เป็นของตระกูลหันอีกต่อไป แต่เป็นเกือกม้าจากตำหนักกั๋วซือที่สั่งทำขึ้นใหม่
แน่จริงก็ลองไปตรวจสอบกับตำหนักกั๋วซือดูสิว่าขโมยม้าของตระกูลหันมาจริงหรือไม่
หันเช่อกัดฟันแน่น จากนั้นเปลี่ยนเรื่องโจมตี “เซียวลิ่วหลัง เจ้าไม่มีสิทธิ์เข้าแข่งขัน!”
กู้เจียวเลิกคิ้ว “ข้ามาที่นี่ได้ก็เท่ากับว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าร่วมการแข่งขัน จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่ตระกูลหันเองหรือที่จ้างคนนอกมาแอบอ้างเป็นบุตรหลานของตระกูลหันน่ะ”
“เจ้า…” หันเช่อเริ่มละอาย
อีกฟากของสนาม นายรองกำลังส่ายศีรษะให้หันเช่อเพื่อเป็นการบ่งบอกว่าให้เขาหยุดต่อล้อต่อเถียงกับเซียวลิ่วหลังได้แล้ว
ยิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งตอกย้ำว่าเซียวลิ่วหลังเป็นเจ้าของเฮยเฟิงที่แท้จริง
ทุกคำเอ่ยของเซียวลิ่วหลังดูเผินๆ อาจกำลังตอบคำถามของหันเช่ออยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว หันเช่อกำลังตกหลุมพรางของอีกฝ่าย
หันเช่อสูดหายใจเข้าลึก เอ่ยอย่างเหยียดหยาม “ภูมิใจอะไรนักหนา มันเป็นแค่ม้าแก่ๆ ที่ถูกตระกูลหันทอดทิ้ง ถ้าเจ้าอยากได้ก็เอาไปเลย รู้ไว้ด้วยว่าพวกเรามีม้าตัวใหม่แล้ว!”
“ที่แท้ก็เป็นม้าอายุเยอะแล้วนี่เอง”
“ได้ยินข่าวว่าเจ้าเฮยเฟิงถึงวัยเกษียณแล้ว”
“ทิ้งมันเพราะอายุเยอะแล้วเนี่ยนะ ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ”
“ได้ยินว่ามันหนีออกมาเอง”
“ก็พ่อหนุ่มนี่เป็นคนขโมยมามิใช่รึ!”
“พอได้แล้วน่า พูดไปแล้วจะได้อะไร คนสติดีที่ไหนจะเอาม้าแก่ๆ มาแข่ง”
สำหรับม้าแล้ว อายุสิบหกถือว่ามากเกินไป
หากมันยังอยู่ในตระกูลหัน ผู้ฝึกม้าอาจสามารถยืดอายุการใช้งานมันได้ แต่สำหรับในมือของเด็กธรรมดาแล้ว มันก็คงไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง
ส่วนม้าตัวอื่นๆ ไม่รู้เป็นเพราะรับรู้ถึงอารมณ์ของผู้คนที่อยู่รอบๆ หรือเป็นเพราะพวกมันรู้ว่าเฮยเฟิงอายุมากแล้ว
ราชาม้าเฮยเฟิงแล้วอย่างไร
มันเป็นอดีตไปแล้ว
ม้าหนุ่มอย่างพวกมันต่างหากที่จะคว้าชัยชนะในครั้งนี้!
สนามรบเป็นของพวกมันต่างหาก!
“เตรียมตัว”
สิ้นเสียงกรรมการ ผู้เข้าแข่งขันทุกคนเดินไปประจำที่หน้าสะพานเพลิง
ผู้เข้าแข่งขันที่ได้สะพานที่อยู่ฝั่งริมสุดดูจะได้เปรียบกว่าตรงกลางซึ่งถูกรบกวนจากทั้งสองฝั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
กู้เจียวได้สะพานที่สาม โดยมีฝั่งซ้ายเป็นผู้เข้าแข่งขันจากตระกูลเฟิง และฝั่งขวาเป็นผู้เข้าแข่งขันที่ใช้ม้าเฮยเฟิง
แม้ความกว้างและยาวของสะพานจะเท่ากัน แต่บริเวณที่เกิดเพลิงอาจไม่เหมือนกันเสียทีเดียว เช่นบางคนอาจเจอกองไฟหลังจากเดินไปสามสิบก้าว บางคนอาจเจอตั้งแต่สิบก้าวแรก
กับดักระเบิดก็เช่นกัน
เหล่านี้เป็นอุปสรรคในการแข่งขัน
กู้เจียวกระชับสายบังเหียนในมือของและลูบคอเจ้าเฮยเฟิงเบาๆ
ท่าทีของมันดูสงบนิ่งมาก
ขณะที่ม้าตัวอื่นอยู่ในท่วงท่าที่กระตือรือร้นและพร้อมพุ่งชนอยู่ตลอดเวลา
แม้ภายนอกมันดูอายุเยอะ ไม่หวั่นไหวกับสิ่งเร้ารอบตัว
“ดูมันสิ จะไม่ถูกเผาก่อนรึ”
“ถูกเผาคงเป็นไปไม่ได้หรอก แต่อาจจะบาดเจ็บก็เป็นได้”
“มันดูเหนื่อยล้าเหลือเกิน ไม่ใช่ว่าวิ่งไม่ไหวหรอกนะ”
หันเช่อโต้กลับทันควัน “เจ้าคิดผิดแล้ว เจ้าเอาชนะข้าไม่ได้หรอก!”
“คอยดูก็แล้วกัน!”
สิ้นเสียงระฆัง การแข่งขันจึงเริ่มขึ้น
กล้ามเนื้อของม้าเกร็งขึ้นทั้งตัว พวกมันกระโดดขึ้นและวิ่งไปข้างหน้าอย่างกะทันหัน!
ผู้แข่งรอบนี้เรียกได้ว่ารวมม้าที่มีศักยภาพมากที่สุดกว่ารอบอื่นๆ สี่ในหกเป็นม้าอัศวิน ส่วนอีกสองตัวที่เหลือก็เป็นม้าที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี
พวกมันรวดเร็วและทรงพลังสุดๆ !
ทว่า
มีแต่ม้าของกู้เจียวตัวเดียวที่ไม่ขยับไปไหน
คนดู “…”
มันกลัวรึ
หรือว่าสมองของมันเริ่มเลอะเลือนแล้ว
“พวกเจ้า ดูนั่นสิ! ม้าของหันเช่อฝ่าสะพานเพลิงได้แล้ว!”
ม้าของหันเช่อเป็นผู้นำร่องก่อน
ตำแหน่งของมันอยู่ใกล้กับสะพานเพลิงที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ม้าของหันเช่อจะออกมาก่อนเพื่อน กระนั้น ร่างกายที่แข็งแกร่งและทักษะการขี่ม้าที่เชี่ยวชาญของมันยังคงทำให้ทุกคนประหลาดใจ
“สมกับเป็นน้องชายของท่านชายใหญ่หัน นี่สิมาตรฐานที่เฮยเฟิงควรเป็น” ใครบางคนเอ่ยชื่นชมเขา
ม้าอีกสี่ตัวที่เหลือก็ทยอยฝ่าสะพานเพลิงตามลำดับ
ขณะที่กู้เจียวและเจ้าเฮยเฟิงกลายเป็นตัวตลกของสนามไปในทันที
นี่พวกเขามาเล่นตลกให้พวกเราดูหรืออย่างไร
คนอื่นแข่งกันจะเสร็จแล้วนะ
ในขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะ จู่ๆ เงาสีดำก็แวบขึ้นมาต่อหน้าต่อตาพวกเขา เร็วเกินกว่าจะมองเห็นได้ทัน
ผู้คนต่างพากันตกตะลึง
“เมื่อครู่นี้ มีอะไรแวบผ่านไปรึ”
“ข้า มองไม่ทัน”
“เอ๋ พ่อหนุ่มคนนั้นหายไปแล้ว!”
หนึ่งคนและอีกหนึ่งม้าที่ยืนอยู่เฉยๆ ตอนแรกได้อันตรธานไปแล้ว
“พ พะ พวกเจ้า! อ อยู่ อยู่บน สะ สะ…”
ยังเอ่ยไม่ทันจบ เฮยเฟิงก็พากู้เจียวข้ามผ่านสะพานเพลิงเป็นที่เรียบร้อย
เฮยเฟิงวิ่งแซงทิ้งห่างคู่แข่งตัวแรกไปทันที!
ตามมาด้วยคู่แข่งตัวที่สอง
ที่สาม และที่สี่!
ดูเผินๆ อาจเหมือนพวกมันกำลังวิ่งช้าลง
แต่อันที่จริงแล้วเป็นที่เจ้าเฮยเฟิงที่วิ่งเร็วเกินเพื่อนไปเยอะต่างหาก!
ไหนใครว่ามันแก่แล้ว
มันวิ่งไม่ไหวแล้ว
แล้วจะได้เห็นดีกัน!
พลังอันน่าสะพรึงกลัวของเฮยเฟิงทำให้ทุกคนตกตะลึง กล้ามเนื้อของมันที่เกร็งตึงทั่วร่าง และการไหลของเส้นพื้นผิวสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในขณะที่มันวิ่ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของม้าทรงพลัง
หันเช่อกำลังนำอยู่ และกำลังจะเข้าไปยังด่านระเบิดในอีกไม่ช้า
ตอนนี้เขากำลังทิ้งห่างจากที่สองอยู่
ที่หนึ่งจะต้องเป็นของเขาแน่นน
ทันใดนั้น มีเสียงดังเกิดขึ้น หันเช่อถึงกับสะดุ้ง!
แม้ม้าของเขาจะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีและไม่ได้หวั่นไหวต่อสิ่งเร้าง่ายๆ แต่หันเช่อเองก็ไม่ทันได้ระวังและเกือบจะตกจากหลังม้า!
“ใครมันบังอาจ…” หันเช่อหันขวับไปทันที
แม้เขาจะมองไม่ชัดนัก แต่ในตอนนั้น เจ้าเฮยเฟิงกำลังเข้าสู่เขตด่านระเบิดเป็นที่เรียบร้อย
เสียงระเบิดดังกึกก้อง ควันลอยฟุ้ง และฝุ่นฟุ้งกระจาย ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
ทั้งสนามเต็มไปด้วยเสียงดังระงมราวกับมีคนกำลังจุดปะทัด
ม้าสองตัวเบียดเสียดกันตรงจุดนั้น ตัวหนึ่งวิ่งออกนอกเส้นทาง และอีกตัวทำให้ทหารม้าล้มลง
พวกมันถูกคัดออกในทันที
ผู้แข่งที่เป็นตัวแทนจากตระกูลเฟิงใช้กำลังภายในของเขาควบคุมม้าเพื่อไม่ให้มันตกใจ แต่ไม่นานก็เข้าสู่ด่านระเบิด
หันเช่อเองก็เข้าสู่ด่านระเบิดในเวลาที่ใกล้เคียงกัน
แล้วเสียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง
และเป็นอีกครั้งที่มีม้าตกใจจนวิ่งออกจากสนาม
ขณะที่เฮยเฟิงแทบไม่เป็นอะไรเลย มันคำรามและวิ่งเร็วปานสายฟ้า ทิ้งหันเช่อและผู้แข่งจากตระกูลเฟิงไว้ข้างหลังอย่างไม่เห็นฝุ่น!
กู้เจียวหนีบขาของตัวเองไว้กับเจ้าเฮยเฟิงไว้แน่น พลังของคนและม้ารวมเป็นหนึ่งเดียว แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ทำงานร่วมกัน แต่เหมือนกับว่าพวกเขารู้จักกันมานานจนเหมือนเพื่อนที่รู้ใจ
อีกนิดก็จะถึงแท่นสูงแล้ว
ตอนแรกกู้เจียวคิดว่ามันไม่ได้สูงมาก
แต่พอยิ่งเข้าใกล้เรื่อยๆ ก็พบว่ามันสูงขึ้นเรื่อยๆ สูงกว่ากู้ฉังชิงเสียอีก!
อย่างน้อยก็ราวสองเมตรสามได้!
“เร่งความเร็ว” กู้เจียวใช้เท้าเหยียบบนที่เหยียบอานม้าแล้วลุกขึ้น ก่อนจะโน้มตัวคว้าบังเหียนไว้แน่น “ทะยานไปเลย!”
ความเร็วของเฮยเฟิงในตอนนี้เรียกได้ว่าเกินความคาดหมายแล้ว แต่ใครเล่าจะรู้ว่ามันสามารถเร็วได้กว่านี้อีก!
เฮยเฟิงก้าวขากระโดดไปยังแท่นสูงเจ็ดฉื่อ!
ทุกคนถึงกับกลั้นหายใจและเงียบเสียงลงเมื่อได้เห็นฉากนั้น
และอดลุ้นไปกับเจ้าเฮยเฟิงไม่ได้
แท่นนี่มันไม่สูงเกินไปหน่อยรึ มันจะทำได้ไหม
เฮยเฟิงก้าวขึ้นอย่างง่ายดายและร่อนลงบนแท่นสูงอย่างมั่นคง พิสูจน์ด้วยความแข็งแกร่งของมันว่าสามารถทำได้อย่างง่ายดาย!
ไหนว่าเป็นม้าแก่ที่ใช้งานไม่ได้อย่างไร!
พวกตระกูลหันตาบอดหรือเปล่า!
“ใต้เท้าขอรับ ความสูงของแท่นเกินไปมาตรฐานไปขอรับ”
“งั้นก็รีบปรับลงสิ!”
“มีหนึ่งในผู้แข่งขึ้นไปบนนั้นได้แล้วขอรับ”
“แล้วตระกูลหันกับตระกูลเฟิงล่ะ”
“ยังมาไม่ถึงขอรับ”
“เช่นนั้นก็รีบไปปรับลงมาเสียสิ!”
ความสูงของแท่นมีกลไกที่สามารถปรับขึ้นลงได้
กู้เจียวรู้สึกได้ว่าแท่นกำลังถูกลดระดับลง
อ๋อ ทำแบบนี้ก็ได้หรือ
โกงกันซึ่งๆ หน้าเลยเนี่ยนะ
ผู้เห็นเหตุการณ์บางคนจากตระกูลขุนนางไม่พอใจและบ่น “นี่มันไม่ยุติธรรมเลย จะปรับตอนไหนก็ปรับได้ ดันมาปรับเอาตอนนี้เนี่ยนะ!”
กู้เจียวหันไปทางหันเช่อและตัวแทนตระกูลเฟิงที่กำลังพุ่งตรงมาทางนี้
กู้เจียวเลียริมฝีปากแล้วหัวเราะหนึ่งที “ไร้น้ำยา”
หันเช่อดีใจที่เห็นระดับของแท่นลดลงมา
ก็ว่าอยู่ว่าเหตุใดมันสูงกว่าตอนที่เขาฝึกเมื่อวาน
แบบนี้ก็ไม่น่ามีอะไรผิดพลาดแล้วสินะ
เขายิ้มมุมปากหนึ่งที แล้วดึงบังเหียนม้าขึ้น
ทันใดนั้น เจ้าเฮยเฟิงก็พุ่งโจมตีใส่ม้าของหันเช่อด้วยการยกขาขึ้นแล้วถีบพวกเขาออกไป!
หันเช่อที่ไม่ทันได้ระวังตัว “…!!”
การกระทำนี้เป็นอันตรายมาก เนื่องจากแท่นสูงเกินไป อาจทำให้ล้มลงมาได้
ปกติแล้วทหารม้าจะไม่ยอมให้ม้าของพวกเขาทำแบบนี้เด็ดขาด
เพียงแต่ กู้เจียวไม่ใช่ทหารม้า และเฮยเฟิงก็ไม่ใช่ม้าทั่วไป
ในเมื่อกล้าโกงกันขนาดนี้ ก็กล้าถีบออกไปเหมือนกัน!
เฮยเฟิงแสดงให้ทุกคนเห็นถึงพลังการต่อสู้ที่ทุกคนประเมินมันต่ำเกินไป
เฮยเฟิงกลับมาพร้อมกับพลังที่ก่อตัวขึ้นใหม่
หันเช่อถูกอีกฝ่ายโจมตีจนต้องออกจากการแข่ง
ส่วนตัวแทนขอองตระกูลเฟิงใช้จังหวะตอนที่อีกฝ่ายกำลังสู้กัน แล้วขึ้นมาจากอีกฝั่งของแท่น
แต่หารู้ไม่ว่าเจ้าเฮยเฟิงไหวตัวทันแล้วรีบกลับหลังหันมากระโดดถีบสัตว์พาหนะของเขาจนร่วงลงจากแท่น!
“ไอ้หยา!”
ทั้งคนและม้าตกลงจากแท่น ตัวแทนตระกูลเฟิงรีบสละม้าแล้ววิ่งหนีเพราะเกรงว่าจะถูกม้าของเขาล้มทับ
แล้วพวกเขาก็ต้องออกจากการแข่งขันไป!
“ผู้เข้ารอบได้แก่ เซียวลิ่วหลัง!”