สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 755 ราชาหน้าใหม่ (2)
บทที่ 755 ราชาหน้าใหม่ (2)
ฝีมือขี่ม้าของนักบวชชิงเฟิงยังเด็ดดวงขนาดนี้ เรื่องต่อสู้คงไม่ต้องเอ่ยถึง
พอเดินมาที่หน้าประตูค่าย กู้เจียวก็ได้เจอกับคนคุ้นเคยอีกคน
เมื่อเทียบกับนักบวชชิงเฟิงแล้ว กู้เจียวแทบไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่ได้เจอกับคนคนนี้
“มู่ชิงเฉิน” กู้เจียวทักทายเขา
สายตาของเขาดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด อาจเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลมู่
สีหน้าที่ไม่เผยให้เห็นความประหลาดใจของเขา ไม่ใช่เพราะเขารู้อยู่แล้วว่ากู้เจียวจะมา แต่เพราะเขาเห็นกู้เจียวตั้งแต่ตอนเลือกอันดับแล้ว
เขาไม่ถามคำถามที่ว่ากู้เจียวมาที่นี่ได้อย่างไร เพราะเขาคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ตอบ
“ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ” เขาเอ่ยพร้อมกับสีหน้าที่ดูสับสน
กู้เจียวตอบเขากลับ “ข้าก็ด้วย”
ในตอนนั้นเอง ก็มีทหารเดินเข้ามาอาสาจะพาม้าของพวกเขาไปป้อนอาหาร
มู่ชิงเฉินส่งม้าของเขาให้
ขณะที่กู้เจียว “ของข้าไม่ต้อง”
ทหารเอ่ย “อากาศร้อน พวกมันใช้พลังงานเยอะมาก หากไม่เติมน้ำและอาหารทันเวลา จะเกิดอาการขาดน้ำได้ง่ายขอรับ”
กู้เจียวยังคงยืนกราน “ข้ารู้ แต่ไม่ต้อง”
ขณะที่ทหารคนนั้นเตรียมอ้าปากจะโต้กลับ ก็ถูกมู่ชิงเฉินตัดบท “พาม้าของข้าไปก่อนเถอะ”
“เอ่อ ขอรับ” ทหารนายนั้นจูงม้าของมู่ชิงเฉินออกไป
เมื่อทหารนำม้าไปที่คอกม้า มีชายสองคนแต่งกายด้วยชุดผ้าแพรหลากสีก็เดินเข้ามาหาเขา คนหนึ่งมีหน้าขาวไม่มีเครา และอีกคนมีเคราแพะที่คาง
ชายหน้าซีดไม่มีเคราถามขึ้นก่อน “เหตุใดไม่พามันมาที่นี่ล่ะ”
ทหารรายงาน “ใต้เท้าต่ง เด็กคนนั้นบอกว่าไม่จำเป็นต้องให้อาหารม้าของเขาขอรับ”
“เหอะ เป็นอย่างที่เอ่ยไว้ไม่มีผิด” ใต้เท้าต่งยิ้มเยาะและมองไปที่ชายเคราแพะที่อยู่ข้างๆ เขา “ใต้เท้าหยาง เชื่อข้าแล้วใช่ไหม เด็กคนนั้นไม่ได้เป็นคนบ้าบิ่น เขาเป็นคนลึกล้ำและระมัดระวังตัวอย่างมาก มันไม่ง่ายเลยที่จะรับมือกับเด็กคนนั้น”
“มันเป็นใครมาจากไหนกันนะ” ใต้เท้าหยางขมวดคิ้ว
“เด็กนั่นเป็นบัณฑิตจากเทียนฉง มาจากแคว้นเจา เป็นเพื่อนร่วมห้องกับท่านชายมู่ ข้ายังสงสัยอยู่เลยว่าคนที่สวมหน้ากากและใส่ชุดขาวในวันนั้นน่าจะเป็นท่านชายมู่หรือไม่” ใต้เท้าต่งเอ่ย
“เหตุใดเขาถึงต้องทำเช่นนั้น เขาเป็นหลานของใต้เท้ามู่มิใช่รึ เขาต้องช่วยคนในตระกูลก่อนสิ” ใต้เท้าหยางสงสัย
ใต้เท้าต่งยิ้มกริ่ม “อาจเป็นแผนของพวกตระกูลซูก็เป็นได้ ไม่มีใครรู้หรอก”
ใต้เท้าหยางครุ่นคิด “ในเมื่อเจ้าเด็กนั่นไม่ได้เป็นคนของแคว้นเยี่ยน แสดงว่ามันต้องแอบอ้างเป็นคนของตระกูลใดตระกูลหนึ่งเข้าร่วมการแข่งแน่นอน หรือว่าเป้าหมายของมันคือการช่วยกำจัดศัตรูของมู่ชิงเฉิน”
ใต้เท้าต่งเห็นด้วยกับข้อสันนิฐานนี้ “ก็เป็นไปได้”
….
ขณะเดียวกัน กู้เจียวและมู่ชิงเฉินก็ได้ทำการสุ่มลำดับเสร็จสิ้น
พวกเขาไม่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างที่อยู่ในเพิง
พอเดินออกมา มู่ชิงเฉินเกิดลังเลเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยกับกู้เจียว “ข้าได้ภาคปฐพี”
กู้เจียวร้องอ๋อ “บังเอิญจริง ข้าก็เหมือนกัน”
มู่ชิงเฉินเริ่มหายใจถี่ขึ้นเล็กน้อย “ลำดับที่เก้า”
กู้เจียว “ของข้าลำดับที่แปด ก่อนหน้าเจ้า”
มู่ชิงเฉินถอนหายใจโล่ง
ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงไม่อยากแข่งกับกู้เจียว
แม้ว่าพวกเขาจะต้องแข่งกันไม่ช้าก็เร็ว แต่เขาอยากจะยืดเวลานั้นออกไปให้ได้นานที่สุด
ในขณะที่พวกเขากำลังจับสลาก ทหารม้าจากสิบตระกูลชั้นนำก็ขึ้นมาที่สนามทีละคน แค่ตระกูลหันตระกูลเดียวก็มีตัวแทนไปแล้วถึงเก้าคน หากไม่รวมหันเช่อที่ตกรอบไปก็เท่ากับว่าตระกูลหันเข้ารอบไปได้ทั้งสิ้นแปดคน
ทุกคนต่างตะลึงกับศักยภาพของม้าเฮยเฟิงของตระกูลหัน
ในขณะที่กู้เจียวไม่เห็นว่าพวกเขาจะเก่งนักเก่งหนา ม้าเฮยเฟิงที่พวกเขามีก็ล้วนตกทอดมาจากตระกูลเซวียนหยวน รวมถึงวิธีที่ใช้ในการฝึกด้วย
พวกเขาก็แค่กินบุญเก่าของตระกูลเซวียนหยวน
กู้เจียวไม่อยากดูแข่งต่อ และเตรียมจะกลับไปให้อาหารเจ้าเฮยเฟิง
“ข้าขอตัวก่อนล่ะ ไว้เจอกันรอบต่อไป”
ขณะที่กู้เจียวกำลังเอ่ยลำมู่ชิงเฉินก็พลันรู้สึกวาบที่สันหลังขึ้นมาทันที ราวกับมีรังสีอำมหิตบางอย่างกำลังแผ่ขยายไปทั่วทั้งสนาม
ม้าในสนามเริ่มออกอาการกระสับกระส่าย
เป็นความรู้สึกที่ทรงพลังเหลือเกิน!
และดูเหมือนว่าเจ้าเฮยเฟิงจะเป็นม้าเพียงตัวเดียวที่ไม่มีอาการสะทกสะท้านเช่นม้าตัวอื่นๆ
“อ๊ะ”
ม้าตัวหนึ่งพยายามจะขึ้นไปบนแท่นสูง ก่อนจะจนตรอกกลางอากาศและร่วงหล่นลงมา
เสียงร้องโหยหวนของมันดังขึ้น
ทั้งกู้เจียวและมู่ชิงเฉินต่างก็หันไปทิศทางเดียวกัน
ปรากฏบุรุษผมสีเงินที่นั่งอยู่บนม้าศึกสีน้ำตาลแดง ท่วงท่าของพวกเขาแม้ทั้งดูสง่างามและสงบนิ่ง แต่กลับเปล่งรังสีอำมหิตอันน่าเกรงขามไปทั่วในคราวเดียวกัน
ชายผมเงินดูอ่อนวัยราวกับอยู่ในช่วงอายุยี่สิบปลายๆ เพียงเท่านั้น
ส่วนม้าของเขา แม้กู้เจียวจะระบุอายุมันไม่ได้ แต่ก็สัมผัสได้ว่าเป็นม้าที่อายุน้อยและแข็งแรง
สีหน้าของมู่ชิงเฉินเริ่มขรึมลง “ม้าตัวนั้นเป็นเฮยเฟิงตัวใหม่ของตระกูลหัน อายุหกขวบ ส่วนคนที่ขี่ม้าคือใต้เท้าห้าของตระกูลหัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาศึกษาและฝึกฝนม้าเฮยเฟิงด้วยวิธีการของตระกูลหันเอง”
“วิธีของตระกูลหันอย่างนั้นรึ” กู้เจียวถาม
“ใต้เท้าห้าเคยกล่าวไว้ว่าม้าที่ได้รับการฝึกฝนโดยตระกูลเซวียนหยวนไม่ใช่ม้าศึกที่ทรงพลังที่สุด เขาจะใช้วิธีของเขาเองเพื่อให้ได้ม้าที่ทรงพลังกว่า แล้วม้าที่เขานำมาในวันนี้ก็คือม้าที่ได้รับการฝึกฝนด้วยวิธีของตระกูลหัน”
“อ้อ” กู้เจียวเอามือลูบคางพลางสังเกตทั้งคนทั้งม้า
มู่ชิงเฉินเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้ารู้ว่าเฮยเฟิงของเจ้ามีพลังมาก แต่… ข้าเกรงว่ามันจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของม้าตัวนั้น”
ม้าตัวนั้นไม่เพียงแต่อายุน้อยกว่า แต่ยังแข็งแรงและว่องไวกว่าอีกด้วย ทั้งความอดทน ความเร็ว และความแข็งแกร่งของมันล้วนไร้ที่ติ
มู่ชิงเฉินหยุดชั่วคราวแล้วเอ่ยต่อ “นอกจากนี้ มันยังมีอีกชื่อหนึ่งด้วย”
“ชื่ออะไรรึ” กู้เจียวฉงน
“ปีศาจม้า” มู่ชิงเฉินเอ่ย
ถึงเวลาลงแข่งของปีศาจม้า
ซึ่งได้ตำแหน่งแถวกลาง ทว่าม้าอีกสองตัวที่ขนาบข้างมันถูกทำให้ตกใจจนไม่กล้าออกตัว
แม้ว่าม้าอีกสองตัวจะสามารถวิ่งออกไปอย่างกล้าหาญได้ แต่พวกเขาก็ทำผิดพลาดบ่อยครั้งและถูกกำจัดก่อนที่จะฝ่าสะพานเพลิงด้วยซ้ำ
ทำให้ใต้เท้าห้าผ่านเข้ารอบไปสบายๆ
มู่ชิงเฉินมองไปที่ม้าปีศาจที่อยู่ยงคงกระพันบนแท่นสูง ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ย “เฮยเฟิงใช้เวลาทั้งหมดสิบเจ็ดลมหายใจตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงบนแท่นสูง ในขณะที่ม้าปีศาจของใต้เท้าห้าใช้เวลาเพียงสิบสองลมหายใจ”
แม้ระยะทางจะสั้น แต่ม้าปีศาจก็ทำความเร็วได้ดีกว่าเจ้าเฮยเฟิง!
หากจะให้เทียบ ก็คงเหมือนกับการวิ่งข้ามรั้ว อันดับหนึ่งนำหน้าอันดับสองไปห้าวินาที
มู่ชิงเฉินเอ่ยต่อ “ข้ารู้ว่าเฮยเฟิงของเจ้าไม่ได้ใช้พละกำลังทั้งหมด ม้าปีศาจก็เช่นกัน ยังไม่นับเรื่องทักษะศิลปะการต่อสู้ของใต้เท้าหัน… โอกาสชนะของเจ้าแทบไม่มีเลย… หากเจ้าได้แข่งกับเขา ข้าหวังว่าเจ้าจะเลือก…”
นี่เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า
กู้เจียวกระโดดขึ้นหลังเจ้าเฮยเฟิง คว้าบังเหียนไว้แน่น เงยหน้ามองม้าปีศาจและใต้เท้าหัน
สายตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน
กู้เจียวสัมผัสได้ถึงความยั่วยุจากม้าปีศาจตัวนั้น แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงจิตวิญญาณการต่อสู้อันแข็งแกร่งจากเจ้าเฮยเฟิงด้วย
กู้เจียวยืดหลังตรงอย่างแน่วแน่ “ข้าจะแข่ง เฮยเฟิงก็เช่นกัน!”