สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 756 การคุ้มครองของพ่อ
บทที่ 756 การคุ้มครองของพ่อ
ขึ้นชื่อว่าราชาย่อมมีได้เพียงหนึ่งเดียว
เฮยเฟิงก็เช่นกัน
จอมทัพก็เช่นกัน
นี่เป็นศึกของพวกเขา จะถอยไม่ได้อีกแล้ว!
กู้เจียวมักทำให้มู่ชิงเฉินประหลาดใจได้เสมอ ให้เขาได้รู้จักแง่มุมใหม่ๆ ของชีวิตมากขึ้น
บนโลกนี้ มีคนกล้าอยู่มากมาย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะใจกล้าบ้าบินพอที่จะต่อต้านโชคชะตา และสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทั้งหมด
เขาไม่เคยคิดจะย่อท้อและรับความท้าทายใหม่ๆ ทุกครั้ง ต่อให้ตัวเองอยู่ในสภาพแหลกสลายแล้วก็ตาม
มู่ชิงเฉินมองไปที่คนข้างๆ หัวใจของเขาเริ่มรู้สึกพองโตราวกับถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกในวัยเยาว์ที่หายไป และสัมผัสได้ว่าเลือดลมของเขาเริ่มวิ่งไหลในร่างกายอย่างเดือดพล่าน
แม้ทุกอย่างรอบๆ ตัวจะไม่มีอะไรเปลี่ยน
แต่เมื่อมู่ชิงเฉินมองไปที่สนามรบที่มีการแข่งขันดุเดือด กลับให้ความรู้สึกที่ต่างจากเดิม
กู้เจียวและใต้เท้าห้าหันยังคงประสานตากันจนกระทั่งการประกาศเข้ารอบสิ้นสุด
กู้เจียวคิดในใจว่าให้นางทำแบบนี้ทั้งวันก็ย่อมได้หากอีกฝ่ายแน่จริง
ใต้เท้าหันเบนสายตาออกด้วยความไม่พอใจและขี่ม้าปีศาจลงจากแท่นสูง
คนของตระกูลซูตามมาเรียกมู่ชิงเฉิน
พวกเขาทั้งสองเลยต้องแยกตัวไปคนละทาง มู่ชิงเฉินมีธุระด่วนต้องจัดการ ส่วนกู้เจียวขี่ม้าแล้วออกไปด้านนอก
ไม่ว่าพวกเขาจะเดินไปที่ไหน ทุกคนล้วนต้องหลีกทางให้
แต่ในขณะที่กู้เจียวกำลังเดินผ่านค่ายฝึกเดินสนาม จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนเข้ามาขวางทาง
พวกเขาก็ขี่ม้ามาด้วยเหมือนกัน
มีทั้งใต้เท้าหยางที่ไว้เคราแพะ ใต้เท้าต่งเคราหงอก ส่วนอีกสามคนเป็นบุตรหลานของตระกูลเฟิ่ง ตระกูลตู้ และตระกูลเฉิน
“เจ้าคือคนที่ฆ่าพ่อข้า!”
ชายหนุ่มผู้บูดบึ้งมองไปที่กู้เจียวด้วยสายตาอาฆาต!
นางเอามือลูบคางแล้วเพ่งพินิจชายหนุ่ม ที่แท้เขาก็เป็นบุตรชายคนที่สี่ของตระกูลเฟิ่ง หรือที่ใครๆ เรียกเขาว่าท่านชายเฟิ่งสี่
พ่อลูกเหมือนกันไม่มีผิด ทั้งสีหน้า น้ำเสียง แล้วก็ท่าทางโกรธแค้นแบบนี้ มิหนำซ้ำยังเขลายอมให้คนอื่นหลอกใช้เหมือนกันอีก
“พวกเขาบอกกับเจ้ารึว่าข้าทำเช่นนั้น” กู้เจียวถามพลางชี้นิ้วไปที่ใต้เท้าต่งและใต้เท้าหยาง
ตาแก่สองคนนี้ ดูปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ธรรมดา คนนึงแกล้งทำเป็นต่อสู้ ส่วนอีกคนก็รอให้คนอื่นหมดแรงแล้วค่อยออกโรง
ท่านชายเฟิ่งสี่กัดฟันแน่น “ไม่ต้องถามให้มากความ! เจ้าว่ามาเลยดีกว่าว่าเจ้าทำจริงหรือ!”
“ข้าไม่ได้ทำ” กู้เจียวปฏิเสธทันควัน ก่อนจะชี้ไปที่ใต้เท้าต่งกับใต้เท้าหยาง “พวกเขาต่างหากที่ทำ”
ใต้เท้าสองคนถึงกับอึ้งจนเอ่ยไม่ออก
คนเราสามารถเอ่ยจาไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้เชียวรึ
ใต้เท้าต่งโพล่งด้วยความโกรธ “อย่าใส่ความข้านะ! เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าเป็นคนทำ! ใต้เท้าเฉินกับใต้เท้าตู้ก็อยู่ในเหตุการณ์ ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามพวกเขาสิ”
กู้เจียวผายมือยักไหล่ตัวเองแล้วอธิบาย “ข้าก็แค่ป้องกันตัวเองเท่านั้น พวกเจ้าต่างหากที่เป็นต้นเหตุให้เขาถึงแก่ความตาย พวกเจ้าเอาแต่ยุยงให้เขาโกรธจนต้องใช้กำลัง และปล่อยให้เขาสู้อยู่คนเดียวโดยไม่เข้าไปช่วยเหลือแม้แต่นิด ข้ากับเขาเป็นศัตรูกันจึงไม่แปลกที่ต้องต่อสู้กัน พวกเจ้าเป็นสหายของเขาเสียเปล่าแต่กลับนิ่งดูดาย คนหนึ่งซ่อนตัวและไม่เคลื่อนไหว ในขณะที่อีกคนแค่แกล้งทำเป็นต่อสู้ไปงั้น เห็นกันอยู่ว่าพวกเจ้าแค่อยากจะยืมมือของข้ากำจัดเขาก็เท่านั้น”
ทั้งใต้เท้าต่งและใต้เท้าหยางต่างตะโกนเสียงเดียวกัน “เจ้า!”
สีหน้าของท่านชายเฟิ่งสี่เริ่มเปลี่ยนไป เขากระชับสายบังเหียนในมือจนแน่น ก่อนจะหันไปจ้องเขม็งพร้อมกัดฟัน “ท่านลุงทั้งสอง เป็นเช่นนั้นจริงหรือ!”
ไม่ใช่แบบนั้น!
พ่อเจ้าเป็นใครกัน เหตุใดพวกเราต้องลงทุนเล่นใหญ่ขนาดนั้น!
ที่พวกเราไม่ลงมือก็เพราะอยากให้พ่อเจ้าช่วยทำให้เจ้าเด็กนั่นหมดแรงก่อนก็เท่านั้น!
นี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้ว
“ถ้าไม่มีอะไรจะพล่ามแล้ว ขอตัวก่อนล่ะ” กู้เจียวเอ่ย
“เจ้าเด็กบ้า!” ใต้เท้าหยางก่นด่า
“ท่านลุงหยาง เรามาคุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนจะดีกว่าขอรับ” ท่านชายเฟิ่งสี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ใต้เท้าสองคนได้ยินดังนั้นก็หัวร้อนทันที จริงๆ เลยนะ แทนที่จะไปหาเรื่องเซียวลิ่วหลัง แต่ดันมาแว้งกัดพวกเขาเองเสียนี่
เขลาเหมือนพ่อเจ้าไม่มีผิด!
จากนั้นท่านชายเฉินก็รีบควบม้าเข้าไปขวางทางกู้เจียว “มีใครเอ่ยหรือว่าให้เจ้าไปได้ เรายังมีเรื่องต้องสะสางกัน…”
อีกฝ่ายยังไม่ทันได้เอ่ยจบ เจ้าเฮยเฟิงก็ยกกีบหน้าขึ้นแล้วกระทืบขู่ม้าของพวกเขา!
ม้าของพวกเขากลัวจนหงายหลังและทำให้ท่านชายเฉินกับท่านชายตู้ร่วงตกลงจากหลังม้า แม้พวกเขาจะประคองตัวเองได้ แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่าม้าของพวกเขาวิ่งหนีหายไปแล้ว
จากนั้นเจ้าเฮยเฟิงเดินเข้าไปใกล้พวกเขา เฮยเฟิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พวกเขาก็เดินถอยหลังอีกหนึ่งก้าว
กู้เจียวมองพวกเขาจากบนอานม้า “หลีกไป”
แล้วพวกเขาก็หายตัวไป!
ทิ้งไว้แค่เศษฝุ่นบนพื้น
…
หลังจากที่กู้เจียวออกมาจากค่ายทหาร ก็พบว่าเย่ชิงไม่อยู่แล้ว
เอ๊ะ
หายไปไหนนะ
“ทางนี้!”
เสียงนั้นดังขึ้นมาจากรถม้าที่จอดอยู่ไม่ใกล้ไกล ใครคนหนึ่งกำลังโบกมือให้กู้เจียว
“ใต้เท้ารองจิ่งรึ” กู้เจียวเอียงคออย่างงุนงง ก่อนจะควบม้าเข้าไปใกล้ๆ “ท่านมาได้อย่างไร”
จวนกั๋วกงไม่ได้ร่วมแข่งครั้งนี้นี่นา
“ข้าก็มารับเจ้าน่ะสิ! เจ้ากำลังมองหาเย่ชิงอยู่ใช่ไหม ข้าให้เขากลับไปก่อนแล้ว เดี๋ยวข้าจะส่งเจ้ากลับตำหนักกั๋วซือเอง” ใต้เท้ารองจิ่งกล่าว
“ท่านไม่จำเป็นต้องไปส่งข้า ข้ากลับเองได้ จะว่าไปแล้ว ทำไมท่านถึงมารับข้าล่ะ”
ใต้เท้ารองจิ่งเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็พี่ใหญ่ของข้าน่ะสิ สั่งให้ข้ามารับเจ้า เดิมทีเขาจะเป็นคนมาเองด้วยซ้ำ แต่ที่นี่เต็มไปด้วยอาวุธฉวัดเฉวียนไปมา หากพี่ใหญ่ข้าเป็นอะไรไปคงแย่แน่ ข้าก็เลยต้องมาแทน!”
“ท่านกั๋วกงมีธุระกับข้ารึ” กู้เจียวถาม
“เจ้า…” ใต้เท้ารองจิ่งเหงื่อตกกับท่าทีของนาง ก่อนจะเอามือกอดอกแล้วจ้องไปที่จาง “เจ้า…ไม่คิดว่าตัวเองต้องไปพบพี่ใหญ่ข้าหน่อยรึ”
“หืม” คราวนี้เป็นกู้เจียวที่เริ่มเหงื่อตกแทน
“ก็เจ้าเข้าร่วมการแข่งครั้งนี้ในนามของลูกชายของพี่ใหญ่ไม่ใช่เรอะ” ใต้เท้ารองจิ่งเอ่ย
ท่านชาย…จวนกั๋วกง อย่างนั้นรึ
กู้เจียวเปิดกระเป๋าแล้วหยิบตราอาญาสิทธิ์ขึ้นมาดู
มีชื่อของตระกูลจิ่งสลักอยู่จริงด้วย
ใต้เท้ารองจิ่งสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยทัก “อย่าบอกนะว่า…เจ้าเพิ่งรู้เรื่องนี้”
“อืม” กู้เจียวพยักหน้าช้าๆ
ใต้เท้ารองจิ่ง “…”
กู้เจียวเก็บตราลงในกระเป๋า แล้วหันไปถามเขา “เหตุใดกั๋วซือถึงใช้ชื่อของจวนกั๋วกงเล่า พวกเขาไม่ถูกกันไม่ใช่รึ”
“พวกเขาไม่ถูกกันจริงๆ นั่นแหละ ตอนแรกพี่ใหญ่จะปฏิเสธด้วยซ้ำ แต่พอได้ยินชื่อของเจ้า เขาก็รีบตอบรับทันที ไม่รู้ว่าคนอย่างเจ้ามีดีตรงไหน ถึงได้ถูกอกถูกใจพี่ใหญ่นัก”
ในเมื่อกู้เจียวลงแข่งในนามตำหนักกั๋วกง ก็ควรจะเข้าไปเยี่ยมท่านกั๋วกงเสียหน่อย
คาดไม่ถึงว่ากั๋วซือจะเลือกจวนกั๋วกงให้นาง
ใต้เท้ารองจิ่งสังเกตลักษณะท่าทางของเจ้าเฮยเฟิงก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัย “เอ๋ นี่ใช่ม้าที่บาดเจ็บจนนองเลือดที่หน้าจวนของเซวียนหยวนเมื่อครั้งที่แล้วหรือ ดูสดใสขึ้นเยอะเลยนะ”
กู้เจียวตอบ “ต่อไปจะดียิ่งกว่านี้อีก”
แล้วเขาก็พานางไปที่จวนกั๋วกง
อันกั๋วกงกำลังนั่งอยู่บนรถเข็นตรงโถงทางเดิน เขามองไปที่ประตูอย่างใจจดใจจ่อราวกับตั้งตารอคอยการปรากฏตัวของกู้เจียว
ผิวของเขาดูสดใสขึ้นกว่าครั้งที่แล้ว ดูไม่เหมือนคนที่กำลังป่วยหนัก
จากปากของใต้เท้ารองจิ่ง ดูเหมือนอาการของอันกั๋วกงเริ่มดีขึ้นแล้ว แขนขาของเขาเริ่มมีพลังมากขึ้น อีกทั้งเขาสามารถเขียนตัวหนังสือได้มากกว่าเดิม
แววตาของอันกั๋วกงส่องกระกายทันทีเมื่อเห็นกู้เจียวเดินเข้ามา และมือของเขาที่วางอยู่บนที่วางแขนก็เริ่มสั่นเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ ข้าพาเขามาแล้วนะ!” ใต้เท้ารองจิ่งเดินเข้ามาใกล้อันกั๋วกงและบังร่างของกู้เจียวจนมิด
อันกั๋วกงทำหน้าบึ้งทันที
หลบไปเดี๋ยวนี้!
กู้เจียวค่อยๆ จูงเจ้าเฮยเฟิงเข้ามาด้านใน
เฮยเฟิงสลัดความก้าวร้าวทั้งหมดออก จากนั้นกู้เจียวจึงส่งต่อให้บ่าวเพื่อพามันไปพักผ่อน
ใต้เท้ารองจิ่งเดินตามไปให้อาหารมัน
กู้เจียวเดินมาที่โถงทางเดิน มีเก้าอี้เตรียมไว้ตรงข้ามจุดที่อันกั๋วกงอยู่
เขาส่งสายตาบอกให้กู้เจียวนั่งลง
“สีหน้าของท่านดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย” กู้เจียวเอ่ยหลังจากนั่งลงบนเก้าอี้
อาการของอันกั๋วกงดีขึ้นทุกครั้งที่พวกเขาเจอกัน เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง
กั๋วกงจุ่มปลายนิ้วมือลงในน้ำแล้วเขียนบนที่วางแขนของรถเข็น “การ คัด เลือก เป็น อย่าง ไร บ้าง”
กู้เจียวยิ้มมุมปาก “ผ่านเข้ารอบแล้ว”
อันกั๋วกง “เป็น ตาม ที่ ข้า คิด ไว้”
กู้เจียวสังเกตความแข็งแกร่งของนิ้วของเขา แสดงว่าฟื้นตัวได้ดีจริงๆ
นางมองใบหน้าที่เป็นมิตรของเขา แล้วถามต่อ “เหตุใดท่านถึงตอบรับท่านกั๋วซือทั้งๆ ที่รู้ว่าข้ามีศัตรูมากมาย”
อันกั๋วกง “ข้า จะ ปก ป้อง เจ้า เอง”
คนที่นั่งเป็นผักบนรถเข็นคิดอย่างเขา คิดจะมาปกป้องฆาตกรอย่างนางรึ
ทันใดนั้น ความรู้สึกประหลาดบางอย่างก็แทรกซึมเข้ามาในหัวใจของนาง
ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกแบบใด
ทั้งอุ่น แต่ก็รู้สึกขมขื่นในคราวเดียวกัน พ่วงด้วยความรู้สึกเจ็บเล็กน้อย
ความเจ็บปวดประเภทนี้แตกต่างจากความเจ็บปวดจากการบาดเจ็บ กู้เจียวยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก
อันกั๋วกงยังคงเขียนต่อ “ข้า มี ของ จะ ให้ เจ้า พา ข้า เข้า ไป ด้าน ใน ที”
กู้เจียวเข็นรถเข้าไปในห้องหนังสือ
อันที่จริงเขาไม่ได้ระบุกับนางด้วยซ้ำว่าต้องเข้ามาในห้องหนังสือ
แต่สัญชาติญาณของกู้เจียวบอกว่าจะต้องเป็นที่นี่
หลังจากเข้ามาด้านใน กั๋วกงก็จ้องไปที่แจกันลายครามสีน้ำเงินสลับขาวบนชั้นหนังสือ
กู้เจียวเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะยกมือคว้าแจกันแล้วหมุน และแล้วกลไกประตูลับก็ถูกเปิดออก
จากนั้นกู้เจียวก็เข็นรถมาที่หน้าทางเข้า
อันกั๋วกงเขียนต่อ “ของ ที่ ว่า อยู่ ใน นั้น เจ้า เข้า ไป หยิบ สิ”
“อ้อ” กู้เจียวย่างเท้าเข้าไปด้านในห้องลับ
ในนั้นปรากฏชุดเกราะสีเงินและชุดเครื่องแบบสีแดง
เป็นชุดที่ทำจากวัสดุพิเศษ มีความทนทานทั้งน้ำและไฟ
กู้เจียวยืนจ้องชุดนั้นอยู่เป็นเวลานานสองนาน
อันกั๋วกงยกนิ้วที่สั่นเล็กน้อยขึ้นและเขียนด้วยความยากลำบาก “นี่คือชุดเกราะที่ปู่ของยินยินเตรียมไว้ให้ยินยินใส่ น่าเสียดายที่ยินยินไม่มีโอกาสได้สวมมัน ข้าขอมอบมันให้กับเจ้า”
ชุดรบและชุดเกราะนั้นไม่แบ่งเพศ สามารถสวมใส่ได้ทั้งชายและหญิงขอแค่มีขนาดที่พอเหมาะ
กู้เจียวใช้ปลายนิ้วสัมผัสลงบนชุดเกราะที่เย็นเฉียบ
แรงของกั๋วกงเริ่มหมดแล้ว เขาพยายามเขียนให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ “เจ้า ชอบ ไหม”
“ข้าชอบมัน” กู้เจียวตอบ
หลังจากที่ใต้เท้ารองจิ่งให้อาหารม้าเสร็จ พอกลับมาข้างในอีกที ก็เจอกับกู้เจียวที่สวมชุดเกราะแล้วเรียบร้อยพร้อมทั้งถือหมวกเหล็กไว้ในมือ
เขาหยุดฝีเท้าตัวเองลงทันที
ตอนแรกเขาไม่เห็นด้วยกับพี่ใหญ่ที่จะมอบชุดนี้ให้กับกู้เจียว เพราะมันเป็นชุดของยินยิน
ในเมื่อพี่ใหญ่อยากให้ของขวัญนาง เขาสามารถไปซื้อจากข้างนอกแล้วมอบให้นางก็ย่อมได้
แต่เมื่อเขาเห็นกูเจียวสวมชุดเกราะพร้อมกับยืนอย่างสง่าผ่าเผย ทันใดนั้น เขาก็เห็นภาพซ้อนทันที
ราวกับว่าชุดนี้ได้เจอเจ้าของของมันแล้ว
ในที่สุดกู้เจียวก็ได้หวนคืนสู่ชุดเกราะอีกครั้ง