สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 758 ชนะขาดลอย
บทที่ 758 ชนะขาดลอย
กู้เจียวเมามายจนหลับไปสองชั่วยามจวบจนฟ้ามืด
ณ ตำหนักฉีหลิน โคมไฟสว่างไสว
เซียวเหิงอ่านตำราอยู่ในห้องตำราทั้งวันจนลืมกินลืมนอน ยามนี้ถึงได้รู้สึกหิวขึ้นมา
เขาไม่ค่อยอยากอาหารนัก ห้องครัวทำน้ำแกงไข่แสนน่ากินให้เขา พร้อมทั้งของกินเล่นพิเศษของตำหนักกั๋วซือสองสามอย่าง และผลไม้สดเรียกน้ำย่อยอีกจาน
เซียวเหิงนั่งลงกำลังจะลงมือ
ส่วนเสี่ยวจิ้งคงกำลังอาบน้ำอยู่ในห้อง
เนื่องจากสองวันมานี้เขาเล่นเยอะเกินไป หลังจากถูกวินิจฉัยว่าไม่มีผลข้างเคียงอะไร ทำให้ผลประโยชน์ที่เคยได้อย่างบริการอาบน้ำให้จึงหายไปด้วย เขาต้องกลับมาอาบน้ำเองอีกครั้ง
แม้ว่าหลังจากเกิดเรื่องเซียวเหิงก็ยังอาบให้เขาอยู่หนหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นแรงคนก็ไม่เท่ากันอยู่ดี
จะให้เสี่ยวจิ้งคงอาบน้ำอย่างสะอาดสะอ้านนั้นไม่มีทาง เขาเคยเป็นเณรน้อยที่สวดมนต์เก่งที่สุดในวัด ยามนี้แม้ว่าจะไม่สวดมนต์แล้ว แต่เขาก็มีสิ่งที่ทำให้ตัวเองเคลิบเคลิ้มกว่านั้น
เขามัดผ้าแปลกประหลาดไว้บนตัว ก่อนจะทำท่าทำทางร้องเพลงขึ้นมา
“ซานจา~ เอ๋ย~ สาลี่~ เอ๋ย~ อิงเถา~ เอ๋ย~ สาลี่~”
“เอามาล้างให้หมด~ เอามาล้างให้สิ้น~”
“หากไม่ล้างให้หมด~ คงท้องร่วงกันหมด~”
เซียวเหิงที่เพิ่งจะหยิบซานจาขึ้นมา “…”
เซียวเหิงวางซานจาลงทันที ผลไม้ที่เหลือก็ไม่แตะต้องแล้วด้วย
เขาหันไปมองอาหารในจาน อาหารเป็นของทอด ไม่รู้ว่าใช้วัตถุดิบอะไร เอาเป็นว่าดูจากภายนอกแล้วมีสีเหลืองนวลกรุบกรอบ ซ้ำยังมีน้ำจิ้มอีกด้วย
เขาใช้ตะเกียบคีบมาชิ้นหนึ่ง กัดลงไปเบาๆ หนึ่งคำ กรุบ!
เสียงนี้ฟังแล้วชวนให้น้ำลายสอ
เซียวเหิง เอ่อ ทำจากอะไรกันนะ กรุบกรอบถึงเพียงนี้
ทางด้านเสี่ยวจิ้งคงร้องซานจากับสาลี่จบ ก็เริ่มครวญเพลงรักต่อ
“ห้วงฝันช่างล้ำค่า ขี้ไก่กรุบกรอบ~”
เซียวเหิง “…”
เสี่ยวจิ้งคงเปลี่ยนเป็นร้องละครในชั่วพริบตา
“หม้อไฟ เนื้อย่างในห้องสุขาชวนเมามาย~ ฟื้นขึ้นมา~ เลียทีหนึ่ง~”
“กองหญ้า~ ไร้รัก~”
เซียวเหิงที่เพิ่งเลียน้ำจิ้ม “…”
เวลาครึ่งเค่อต่อมา เสียงร้องลั่นของเสี่ยวจิ้งคงก็ดังขึ้นที่ตำหนักฉีหลิน
“อ้ากกก!”
พี่เขยนิสัยไม่ดีมาแล้ว! เขาถือไม้ขนไก่มาด้วย! หนีเร็ว!
…และแล้วก็เป็นค่ำคืนที่วุ่นวายโกลาหลอีกคืน
ตำหนักกั๋วซืออันโอ่อ่าเงียบสงบก็เหมือนเด็กกับผู้ใหญ่ทะเลาะกันกลางตลาดสดอย่างไรอย่างนั้น
…
สามวันต่อมา วันที่หนึ่งของเดือนเจ็ด การประลองในวันนี้คือการคัดเลือกรอบแรกอย่างเป็นทางการ
สถานที่ยังคงเป็นค่ายเฮยเฟิงของตระกูลหัน การคัดเลือกรอบแรกมีทหารม้าระดับทั่วไปทั้งหมดสี่สิบสี่นาย อัตราผู้ผ่านการคัดเลือกในรอบแรกคือหกต่อหนึ่ง รอบประลองคือสองต่อหนึ่ง
การคัดเลือกภายในค่ายทหารเช่นนี้ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกรับชม มีเพียงทหารในค่าย ตัวผู้สมัครหรือบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวกับผู้สมัครเท่านั้นจึงจะปรากฏตัวที่สนามได้
เซียวเหิงนั่งรถม้าไปส่งกู้เจียวที่หน้าประตูค่ายทหาร มองส่งนางขี่ราชาม้าเฮยเฟิงเข้าไปในค่าย ก่อนจะสั่งให้รถม้าออกมา
เพียงแต่เขานั้นไม่ได้ออกไปไกลนัก หาร่มไม้ที่ไม่สะดุดตารั้งรออยู่
และไม่ไกลกันนั้นมีรถม้าอีกคันจอดไว้ บนรถม้ามีอันกั๋วกงกับใต้เท้ารองจิ่งนั่งอยู่
“อากาศร้อนถึงเพียงนี้ บอกแล้วว่าไม่ให้มา พี่ใหญ่ก็รั้นจะมาให้ได้” ใต้เท้ารองจิ่งพึมพำ
อันกั๋วกังไม่ได้เอ่ยคำใด
…ความจริงคือเขาอยากพูดแต่พูดไม่ได้ต่างหาก
เขานั่งรออยู่ที่นี่เงียบๆ รอให้กู้เจียวออกมา ไม่ว่านางจะแพ้หรือชนะ
กู้เจียวมาถึงไม่เร็วนัก คนที่เหลือมาถึงกันแล้ว มีทหารมาเอาป้ายหมายเลขจากนางออกไปแขวนไว้บนกระดาน
“ข้าไปดูได้หรือไม่” กู้เจียวถามทหารที่เดินผ่านมา
ทหารเอ่ย “ได้”
กู้เจียวจึงเดินไป
ป้ายหมายเลขถูกแขวนแทบจะเต็มแล้ว ดูท่าทุกคนจะมาถึงกันหมดแล้ว
ป้ายแรกเป็นของกู้ฉังชิง เขาใช้ชื่อหันเจ๋ออวี่บุตรหลานสายรองของตระกูลหัน
อันดับหนึ่งอีกคนหนึ่งคือหยางอู่ น้องชายของประมุขตระกูลหยาง
ประมุขตระกูลหยางเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงสมจริงดังคำเล่าลือ ไม่รู้ว่าน้องชายของเขาจะมีฝีมือเช่นไร
นักบวชชิงเฟิงอยู่อันดับที่สาม คู่ต่อสู้ของเขาคือบุตรสายตรงตระกูลต่ง
กู้เจียวมองของตัวเองกับมู่ชิงเฉินต่อ
โชคของพวกนางนั้นพอถูไถได้
นึกไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้ของนางจะเป็นคนตระกูลหัน นี่มันเวรกรรมอะไรกันหนอ
ส่วนมู่ชิงเฉินต้องปะทะกับคนตระกูลหวัง คนกันเองสู้กันเอง ช่างเปลืองแรงโดยใช่เหตุตั้งแต่ต้น
ยังมีอีกเจ็ดแผ่นป้ายที่ยังไม่ได้แขวน
กู้เจียวไม่เห็นชื่อของนายท่านห้าหัน คงจะยังไม่มา
“เขาอยู่อันดับที่เจ็ด” กู้ฉังชิงเดินมาหา
ทั้งคู่เว้นระยะห่างกันระดับหนึ่ง มองดูแล้วก็เหมือนไม่ได้กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่
“ทิศตะวันตก…” สายตากู้เจียวเบนไปยังตำแหน่งทิศตะวันตก ตรงนั้นมีป้ายแขวนไว้แล้วแผ่นหนึ่ง “ซูเฉินรึ”
กู้ฉังชิงแสร้งทำเป็นพินิจมองหมายเลขบนป้าย พลางกระซิบเอ่ย “น้องชายของซูเยวียน ลุงเล็กของมู่ชิงเฉิน”
“เก่งหรือไม่” กู้เจียวถาม
“ว่ากันว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง เดิมทีนายท่านห้าหันจะเปลี่ยนตัวกับคนอื่น” กู้ฉังชิงเอ่ย
กู้เจียวส่งเสียงอ้อ “กลัวว่าจะสู้ซูเฉินไม่ได้รึ”
กู้ฉังชิงเอ่ย “ไม่ใช่หรอก เขาอยากสู้กับเจ้า หมายจะเขี่ยเจ้าให้ตกรอบ”
ว่ากันตามตรงการคัดเลือกเช่นนี้ใช่ว่าจะสลับสับเปลี่ยนหมายเลขแผ่นป้ายได้ตามอำเภอใจ แต่จะทำอย่างไรได้เล่าเพราะที่นี่คือสนามเหย้าของตระกูลหัน กอปรกับกู้เจียวบังเอิญสุ่มได้คนตระกูลหันพอดี
กู้เจียวก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน นางอยากทำให้นายท่านห้าหันตกรอบ นางถามอย่างฉงน “แล้วเหตุใดจึงไม่เปลี่ยนเล่า”
มีคนเดินเข้ามา กู้ฉังชิงรอให้คนผู้นั้นเดินไปก่อนค่อยเอ่ยขึ้น “เพราะเขาพบว่าคู่ต่อสู้ของเจ้าเป็นหันเซ่าอวี่ คนผู้นี้เป็นลูกหลานสายรองของตระกูลหัน เขาแค่มีชาติกำเนิดไม่ดี ไม่ได้เข้าร่วมกับตระกูลตัวเอง แต่ฝีมือของเขาแข็งแกร่งมาก เขาเริ่มต่อสู้จากโรงประลองใต้ดิน ติดอันดับยี่สิบยอดฝีมือเชียวล่ะ”
เป็นเช่นนี้นี่เอง
นายท่านห้าหันตั้งใจจะกำจัดซูเฉินด้วยตัวเอง และให้หันเซ่าอวี่กำจัดกู้เจียว
“ก็ดี” กู้เจียวเอ่ย
“อืม ก็ดี” กู้ฉังชิงเองก็เห็นด้วย
ทั้งคู่แลกเปลี่ยนสายตาที่รู้กันดีแก่ใจ
“เกราะใหม่ไม่เลวนี่” กู้ฉังชิงเอ่ย
“อืม” กู้เจียวพยักหน้า
เสียงฆ้องสำริดดังขึ้นในสนามประลอง กู้ฉังชิงมือถือกระบี่ยาว ควบม้ามุ่งไปหาคู่ต่อสู้อย่างหยางอู่
ทุกคนต่างไม่คาดคิดว่าคู่ต่อสู้กลุ่มแรกจะเก่งกาจเพียงนี้ วิถีกระบี่ของกู้ฉังชิงยอดเยี่ยมดุจเซียน ดาบใหญ่ของหยางอู่เองก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน
ประกายกระบี่ปะทะเงาดาบ ไอสังหารพวยพุ่ง พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายสิบกระบวนแล้ว
วรยุทธ์ของหยางอู่ด้อยกว่าพี่ชายอย่างประมุขตระกูลหยางเล็กน้อย ทว่ากลับได้เปรียบเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้น้อย กำลังภายในของเขามหาศาล วิถีดาบยอดเยี่ยมและลึกซึ้ง สิ่งเดียวที่สู้กู้ฉังชิงไม่ได้ก็คือ พาหนะของเขา
ทว่าเขานั้นต้องใช้กำลังภายในมหาศาลเพื่อชดเชยข้อด้อยนี้
หยางอู่เอ่ยอย่างอวดดี “ไอ้หนู! เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ยอมแพ้เสียเถอะ! คมดาบนั้นไร้ดวงตา ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่เหลือร่างให้ฝัง!”
การประลองในวันนี้มีการลงนามในหนังสือมรณะบัตรไว้แล้ว หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ สังหารกันได้
ตระกูลหยางอยากจะได้อำนาทหารของตระกูลหันมานาน ทุกกระบวนที่ซัดใส่ลูกหลานตระกูลหันล้วนถึงตาย
เขาฟันดาบลงมา กู้ฉังชิงเองก็ยกกระบี่เข้าต้าน
ช่างเป็นกำลังภายในที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!
กรวดหินดินทรายฟุ้งตลบไปทั่วทิศ พาหนะของกู้ฉังชิงใกล้จะต้านกำลังภายในของหยางอู่ไม่ไหวแล้ว
เมื่อม้าต้านกำลังภายในไม่ไหว การประลองหลังจากนี้ก็อันตรายขึ้นแล้ว
ทันใดนั้นกู้ฉังชิงก็เอนตัวหงายลงไป พลิกมือไปคว้าดาบใหญ่ของหยางอู่ไว้ แล้วแทงกระบี่เข้าที่บั้นเอวหยางอู่ทันที
หยางอู่ชักดาบใหญ่ออกมาไม่ได้ จำต้องใช้มืออีกข้างปัดคมกระบี่ของกู้ฉังชิงแทน
ตอนนี้ล่ะ!
กู้ฉังชิงกวาดขายาวออกไปถีบศีรษะหยางอู่โดยพลัน พละกำลังมหาศาลถีบเขาลงจากหลังม้าอย่างแรง!
หยางอู่ร่วงลงพื้น ออกจากสนามไป!
การประลองสนามแรกช่างดุเดือดเลือดพล่านยิ่งนัก ยิ่งทำให้การประลองที่สองนั้นไร้อรรถรสไปโดยปริยาย ส่วนการประลองรอบที่สามเป็นนักบวชชิงเฟิงปะทะกับบุตรชายสายตรงตระกูลต่ง
เมื่อได้เห็นนักบวชชิงเฟิงออกฝีไม้ลายมือ ผู้ชมก็ตื่นเต้นขึ้นมาอีกครา
ทว่านักบวชชิงเฟิงไม่สนใจสายตาที่จับจ้องจากรอบทิศแม้แต่นิด เขาสลัดบุตรชายสายตรงตระกูลต่งตกจากหลังม้าได้ภายในกระบวนท่าเดียว
ทุกคน “…”
กู้เจียวลูบคาง “สมกับเป็นคนที่มีฝีมือสูสีกับเหลี่ยวเฉิน ช่างแข็งแกร่งจริงๆ ”
อันที่จริงการคัดเลือกครานี้มีดวงเป็นปัจจัยเสริมอยู่ไม่น้อย หากจับสลากได้คู่ต่อสู้อย่างนักบวชชิงเฟิงขึ้นมา คงต้องเตรียมใจคุกเข่ายอมแพ้ท่าเดียว
บุตรชายสายตรงตระกูลต่งเมื่อครู่นี้วรยุทธ์ไม่นับว่าสูงส่งนัก แต่ก็ไม่ใช่คนที่อ่อนแอที่สุด อย่างน้อยการประลองอีกสามสนามที่เหลือก็ไม่มีผู้ใดที่มีวรยุทธ์สูงเท่าเขา
เมื่อใกล้ถึงยามอู่ ก็ถึงตากู้เจียวกับม้าเฮยเฟิงออกโรง
เมื่อวานหนึ่งคนหนึ่งม้ารวมใจสร้างความประทับใจอันลึกซึ้งต่อผู้ชมไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ตอนแรกเริ่มทุกคนจึงวาดหวังกับพวกเขาไว้มาก
จนกระทั่ง… ทุกคนได้เห็นหันเซ่าอวี่ขี่ม้าเฮยเฟิงเข้ามา
“นั่นหันเซ่าอวี่นี่! เป็นเขาจริงๆ ด้วย!”
“หันเซ่าอวี่คือใครรึ”
“แม้แต่หันเซ่าอวี่เจ้าก็ไม่รู้จักรึ เขาเป็นลูกหลานสายรองเพียงคนเดียวที่ได้อาศัยอยู่ที่จวนตระกูลหัน เขาเป็นนายกองของค่ายเฮยเฟิง ปกติการฝึกทหารม้าพวกนั้นล้วนแต่ได้เขาเป็นผู้รับผิดชอบ”
“ดูๆ แล้วเขายังหนุ่มอยู่เลยนะ”
“ยังไม่ถึงยี่สิบสี่ ภายใต้การปกครองของท่านชายใหญ่หัน เขาเป็นผู้มีความสามารถที่อายุน้อยที่สุด ซ้ำชาติกำเนิดเขาก็ไม่ได้สูงส่ง สามารถมีวันนี้ได้ก็เห็นได้ชัดเลยว่าเขามีความยอดเยี่ยมเพียงใด”
“เซียวลิ่วหลังผู้นั้นได้จบเห่แล้ว”
“ใช่น่ะสิ เขาดวงซวย มาเจอใครไม่เจอ ดันมาเจอหันเซ่าอวี่”
ทุกคนต่างเสียดายแทนกู้เจียว
ต่อให้มีราชาม้าเฮยเฟิง แต่ความแตกต่างระหว่างเด็กหนุ่มผู้นี้กับยอดฝีมือผู้มีพรสวรรค์หันเซ่าอวี่นั้นม้าตัวเดียวก็ไม่อาจทดแทนได้
ยิ่งไปกว่านั้นการฝึกม้าเฮยเฟิงที่ผ่านมาล้วนมีหันเซ่าอวี่เข้าร่วม เรียกได้ว่าหันเซ่าอวี่รู้จักม้าเฮยเฟิงเป็นอย่างดี
หันเซ่าอวี่ควบม้าอย่างองอาจห้าวหาญเข้าหากู้เจียวกับราชาม้าเฮยเฟิง
แม้ว่าราชาม้าเฮยเฟิงจะมีรังสีอันน่าเกรงขามสุดจะเปรียบ แต่หันเซ่าอวี่เป็นคนที่เคยฝึกราชาม้าเฮยเฟิงมาก่อน เขาย่อมรู้ว่าจะข่มรังสีของราชาม้าเฮยเฟิงอย่างไร
ม้าเฮยเฟิงที่เขาควบขี่อยู่นั้นไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือถดถอยเลยแม้แต่นิด
เขาหยุดอยู่ห่างไปสามจั้ง ในมือถือทวนเงิน ทอดมองเด็กหนุ่มเกราะดำอาภรณ์แดงฝั่งตรงข้ามอย่างเย็นชา “เจ้าคือเซียวลิ่วหลังรึ ข้าได้ยินเรื่องเจ้ามาบ้าง เจ้ามีตำนานอันเก่งกาจอยู่ไม่น้อยเลย”
กู้เจียวส่งเสียงอ้อ “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องของเจ้าเลย ขออภัยด้วยจริงๆ ”
หันเซ่าอวี่แววตาเย็นเยียบเอ่ย “อาการบาดเจ็บของท่านชายใหญ่หันเจ้าเป็นคนประทานให้ บัญชีนี้วันนี้ข้าจะชำระกับเจ้าให้เกลี้ยง เจ้าอ้อนวอนเสียแต่ตอนนี้ยังทันนะ คุกเข่าลงโขกหัวดังๆ สามหน ข้าจะปล่อยเจ้าไป ไม่เช่นนั้น พอลงสนามแล้ว แม้แต่โอกาสยอมแพ้เจ้าก็จะไม่มี! ข้าจะสังหารเจ้า!”
กู้เจียวสะพายทวนพู่แดงที่ใช้ผ้าพันไว้อยู่ด้านหลัง
นางไม่ได้รีบร้อนเผยอาวุธ แต่มองหันเซ่าอวี่แวบหนึ่งแทน เอ่ย “เช่นนั้นก็มาฆ่าสิ”
“เผยอาวุธของเจ้าออกมา!”
“เจ้าไม่คู่ควร”
เสียงฆ้องดังขึ้น
หันเซ่าอวี่ควบม้าพุ่งทวนเข้าใส่
ม้าศึกทั่วไปเมื่อเจอไอสังหารอันแข็งแกร่งเช่นนี้คงหันหลังวิ่งหนีไปนานแล้ว ทว่าราชาม้าเฮยเฟิงไม่ได้หลบ กู้เจียวกำบังเหียนแน่น สองขาหนีบท้องม้าแน่น ให้ราชาม้าเฮยเฟิงเพิ่มความเร็วเต็มกำลัง!
บรรดาทหารม้าที่มุงดูพลันแตกกระเจิง
“เขาเสียสติไปแล้ว! นี่จะให้ราชาม้าเฮยเฟิงไปตายรึ!”
“หันเซ่าอวี่ชำนาญทวนยาวเป็นที่สุด แค่กระบี่เดียวนี้ หัวของราชาม้าเฮยเฟิงก็โดนแทงทะลุแล้ว!”
“เขาต่อสู้เป็นหรือไม่ นี่มันผิดวิถีรบมหันต์เลยนะ!”
ราชาม้าเฮยเฟิงเองก็เคยผ่านการฝึกฝนมาเช่นกัน ทว่าครานี้มันพยายามควบคุมการจดจำกล้ามเนื้อของตัวเองเอาไว้ มันไว้เนื้อเชื่อใจกู้เจียวสุดใจ
กู้เจียวให้มันบุก มันก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ!
มันเร่งความเร็วถึงขีดสุด รวดเร็วจนแทบจะมองไม่ทัน
หันเซ่าอวี่ขมวดคิ้วมุ่น เซียวลิ่วหลังจงใจให้ม้าเฮยเฟิงรนหาที่ตาย เพื่อแลกกับการได้โอกาสโจมตีข้าในระยะประชิดเพื่อชัยชนะในรอบนี้อย่างนั้นรึ
เซียวลิ่วหลังคิดจะฆ่าข้า!
หันเซ่าอวี่คิ้วกระตุก พริบตาเดียวก็พลิกจากโจมตีเป็นป้องกันทันที!
กู้เจียวหยักยกมุมปาก
ลูกพี่ ทะยานขึ้นเลย!
นางกระตุกบังเหียนยกขึ้นอย่างแรง ราชาม้าเฮยเฟิงกระโดดขึ้นสูง
นี่มันกระบวนท่าอะไรกัน
หันเซ่าอวี่เตรียมการป้องกันเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายราชาม้าเฮยเฟิงกระโดดข้ามศีรษะตัวเองไป
หันเซ่าอวี่พลันเปลี่ยนกระบวนท่า ยกทวนขึ้นแทงท้องม้าที่โผล่ออกมาของม้าเฮยเฟิง
ทวนนี้กะแทงท้องมันให้ทะลุเลยทีเดียว!
แต่สิ่งที่หันเซ่าอวี่ไม่คาดคิดก็คือ จู่ๆ เด็กหนุ่มบนหลังม้าก็ห้อยหัวลงมา บั้นเอวอ่อนนุ่มโค้งงออย่างเหลือเชื่อ กลับหัวห้อยจากอานม้า ใช้หน้าอกตัวเองรับทวนนี้แทนราชาม้าเฮยเฟิง!
ทุกคนพลันหยุดหายใจ!
หันเซ่าอวี่ก็เองก็เช่นกัน
แต่หาใช่เพราะท่วงท่าอันพิสดารของกู้เจียว แต่เป็นเพราะ… ทวนยาวของเขาแทงไม่เข้าเกราะของอีกฝ่าย!
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
กู้เจียวเคยลองที่ตำหนักกั๋วซือตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว เกราะของจิ่งยินยินแม้แต่กำลังภายในและกระบี่ยาวของเย่ชิงยังแทงไม่เข้า
กู้เจียวยิ้มย่องกับแววตาอันตื่นตะลึงของเขายิ่งนัก
หากว่าด้วยเรื่องวรยุทธ์ นางที่เพิ่งจะฟื้นฟูกำลังภายในเพียงสี่ส่วนนั้นย่อมสู้หันเซ่าอวี่ไม่ได้
แต่นางมีเกราะที่แข็งแกร่งนี่นา
มาสิ แทงเกราะเลย
ในใจของหันเส่าอวี่ตื่นตระหนกไม่น้อย รีบชักมือกลับ แต่ก็สายเกินไปแล้ว
กู้เจียวจับทวนยาวของเขาเอาไว้ ทะยานตัวลงมา กดอานม้าของหันเซ่าอวี่ไว้พลางงัดทวนยาวขึ้น!
ข้าไม่ต้องงัดพื้นโลกขึ้น งัดแค่เจ้าก็พอแล้ว
หันเซ่าอวี่ถูกงัดกระเด็นลิ่ว…
เขาไม่เข้าใจว่าตัวเองกระเด็นลอยมาได้อย่างไร…
เขาผิวปากอยู่กลางอากาศ พาหนะของเขาก็วิ่งมาเพื่อรับเขาไว้ ทว่ากลับถูกราชาม้าเฮยเฟิงดีดกระเด็นอย่างโหดเหี้ยม!
หันเซ่าอวี่ร่วงลงพื้นอย่างอนาถในที่สุด
ส่วนกู้เจียวพรูลมหายใจยาว เก็บบั้นเอวยืดหยุ่นที่แฝงไปด้วยพละกำลังเหลือล้นนั้นนั่งกลับบนหลังกว้างของราชาม้าเฮยเฟิง
“ผู้ผ่านเข้ารอบนี้ ได้แก่ เซียวลิ่วหลัง!”