สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 760 พ่อตาพบลูกเขย
บทที่ 760 พ่อตาพบลูกเขย
นายท่านห้าหันกำหมัดแน่น ไอสังหารฉายวาบในแววตา
อันที่จริงเขาไม่สนว่าเซียวลิ่วหลังจะผ่านเข้ารอบหรือไม่ อย่างไรต่อให้ผ่านแล้ว เซียวลิ่วหลังก็ไม่อาจผ่านด่านสุดท้ายได้อยู่ดี
แต่ความรู้สึกที่ถูกท้าทายนั้นไม่สบอารมณ์นัก
ไอ้เด็กที่ชื่อเซียวลิ่วหลังนี่…ช่างเป็นคนน่าโมโหจริงๆ
นอกกระโจม หันเหล่ยส่ายหน้าให้นายท่านห้าหันน้อยๆ ใช้สายตาบ่งบอกไม่ให้เขาวู่วาม
ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะมาทะเลาะกัน ขืนโดนลงโทษให้ออกจากสนามขึ้นมาคงแย่แน่
นายท่านห้าหันหลับตาลง พรูลมหายใจอันขุ่นมัวออกมา สงบสติอารมณ์ลง ก่อนเอ่ยกับกู้เจียว “เสียแรงเปล่าเท่านั้น”
กู้เจียวพยักหน้าอย่างเห็นด้วยยิ่ง “เจ้าพูดถูกยิ่งนัก เสียแรงเปล่า เช่นนั้นเจ้าก็รีบยอมแพ้เถิด ให้สหายเฟิ่งไปสู้กันในด่านต่อไป”
เฟิ่งหลิงตกใจจนสะดุ้งโหยง!
ภายในกระโจมนี้นอกจากผู้เข้าคัดเลือกสิบเอ็ดคนแล้ว ยังมีกรรมการจากราชสำนักและเหล่าทหารม้าบางส่วนที่ถูกคัดออกแต่ได้รับอนุญาตให้มาดูการประลองต่อ
สายตาทุกคนพลันหยุดอยู่บนร่างกู้เจียว
ไอ้หนูนี่หน้าตาพิการ อายุก็ไม่มาก นึกไม่ถึงว่าจะกล้าใช้วาจาอวดดีเช่นนี้กับนายท่านห้าหัน
เขาไม่กลัวตายหรือไร
เมื่อเทียบกับท่านชายใหญ่หันผู้แสนเก่งกาจแล้ว นายท่านห้าหันผู้แสนถ่อมตนคนนี้ต่างคือเทพสังหารที่แท้จริงของตระกูลหัน
นายท่านใหญ่หันเอ็นดูเขาเสียยิ่งกว่าอะไร หากมิใช่ว่าเขาโดนพิษ แม้แต่ตำแหน่งประมุขตระกูลเกรงว่าก็เป็นของเขาแน่นอน
นายท่านห้าหันมิใช่คนที่จะถูกยั่วยุให้เดือดดาลได้โดยง่าย เมื่อครู่นั้นพลาดท่าไป แต่จะไม่มีหนที่สองอีกเป็นอันขาด
เขามองกู้เจียวอย่างลุ่มลึก “เจอกันรอบหน้า”
กู้เจียวผายมือยักไหล่ “ใครจะรู้ว่าจะเจอหรือไม่ ในเมื่อข้าผ่านเข้ารอบแล้วแล้ว เจ้ายังไม่ผ่านเลย”
กาไหนน้ำไม่เดือด หยิบกานั้น[1]!
นายท่านห้าหันกำหมัด
หันเหล่ยที่อยู่นอกกระโจมส่งสายตาให้กรรมการคนหนึ่ง
กรรมการรีบกระแอมขึ้นเบาๆ “อะแฮ่ม! เอาละ เริ่มกันเถิด! เซียวลิ่วหลัง เจ้าผ่านเข้ารอบแล้วแล้ว รั้งอยู่ดูการประลองต่อได้ หรือจะกลับไปก่อนก็ได้”
ทุกคนมองเขาอย่างอิจฉา เหตุใดมหาโชคเช่นนี้จึงไม่หล่นทับพวกเขาบ้าง
กู้เจียวเอ่ยอย่างจนใจ “ในเมื่อกรรมการรั้งข้าไว้ เช่นนั้นข้าก็จะฝืนใจดูหน่อยก็แล้วกัน”
กรรมการ “…”
กระโจมใหญ่อันกว้างใหญ่ ตรงกลางมีสังเวียนทรายตั้งอยู่ เหล่ากรรมการนั่งตัวตรงประจำที่นั่ง หันหน้าไปทางประตูใหญ่ของกระโจม
ผู้ชมยืนอยู่ในบริเวณที่กำหนดสองฝั่ง มีทหารองครักษ์สิบนายเฝ้าอยู่
ภายในกระโจมเงียบงัน
คู่แรกเป็นบุตรชายสายตรงตระกูลเฟิ่งปะทะกับนายท่านห้าหัน
ผู้ที่สามารถผ่านเข้ารอบนี้ได้ล้วนแต่มีฝีมือกันทั้งสิ้น เฟิ่งหลิงนั้นฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใด มักจะศึกษายุทธวิธีศึกยามอยู่ที่เรือน แต่ถึงอย่างนั้นก็ห่างชั้นกับนายท่านห้าหันอยู่ดี
นายท่านห้าหันชนะได้โดยไม่เปลืองแรงเลย
เฟิ่งหลิงเดินคอตกมายังบริเวณผู้ชม
ลูกหลานคหบดีคนหนึ่งปลอบใจ “เอาละ แพ้ให้นายท่านห้าหันไม่เสียศักดิ์ศรีหรอก กลับไปเจ้ายังไปโม้ได้อีกยกเชียวนะ”
เฟิ่งหลิงทอดถอนใจ “แม้จะพูดเช่นนี้ก็เถอะ แต่สุดท้ายก็ทำให้ตระกูลผิดหวังอยู่ดี”
จากนั้นก็เป็นการประมือกันระหว่างนักบวชชิงเฟิงกับบุตรชายสายตรงตระกูลหนานกง ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของหนานกงจิ้ง
หนานกงจิ้งมั่นใจในตัวพี่ชายตัวเองมากเพียงใดกันหนอ จึงได้คิดว่าขอแค่กำจัดนายท่านห้าหันแล้วตระกูลหนานกงก็จะผ่านเข้ารอบ
แล้วนางก็คิดผิด เขาถูกต้อนจนมุมอย่างเหมือนชิ้นดีในด่านวางแผนยุทธวิธี
“ออมมือแล้ว” นักบวชชิงเฟิงประสานมือ
บุตรชายสายตรงตระกูลหนานกงสีหน้าดุจขี้เถ้า ถูกองครักษ์หามออกไปด้วยความพ่ายแพ้
กู้ฉังชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาอยากให้ด่านนี้มาเจอกับนายท่านห้าหันหรือไม่ก็นักบวชชิงเฟิง สองคนนี้แข็งแกร่งเกินไป เขาอยากหาโอกาสกำจัดศัตรูตัวฉกาจให้น้องสาวทิ้งสักคน
น่าเสียดาย เขาจับสลากได้บุตรชายสายตรงตระกูลต่งเสียนี่
“ผู้ที่ผ่านรอบที่สาม ได้แก่ หันเจ๋ออวี่!” กรรมการประกาศผล
กู้ฉังชิงประสานมือให้บุตรชายสายตรงตระกูลต่ง “ออมมือแล้ว”
บุตรชายสายตรงตระกูลต่งคำนับคืนให้ ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเอง
คู่ที่สี่เป็นมู่ชิงเฉินปะทะลูกพี่ลูกน้องตัวเอง มู่ชิงเฉินชนะ
อันที่จริงคู่ก่อนหน้าไม่ได้น่าเป็นห่วงอะไรมากมาย คู่สุดท้ายกลับค่อนข้างเหนือคาด
ฝ่ายหนึ่งเป็นบุตรชายตระกูลหัน อีกฝ่ายหนึ่งเป็นบุตรชายตระกูลยากไร้ นามว่าจวินซิวหัน
ในการคัดเลือกสองรอบแรก ส่วนใหญ่ทุกคนไปสนใจคนตระกูลคหบดีกันโดยมาก จวินซิวหันผู้นี้กลับทำให้ผู้คนเมินเขาไปอย่างเงียบๆ
ทว่าสุดท้ายเขาก็ชนะอีกครา
กู้เจียวดีร้ายอย่างไรก็ใช้ตัวตนของบุตรบุญธรรมของอันกั๋วกง จวินซิวหันกลับเป็นลูกหลานตระกูลยากไร้ขนานแท้ เป็นเป็นหนึ่งในบัณฑิตไม่กี่คนที่เรียนที่สำนักบัณฑิตเจียหนานด้วยทุนการศึกษา
และในขณะนั้นเอง ทุกคนจึงได้รู้จักบุตรตระกูลยากไร้ผู้นี้อย่างแท้จริง
“เจ้าหนูนี่โชคหล่นทับแล้ว” ลูกหลานคหบดีข้างกายกู้เจียวกระซิบกระซาบขึ้น
กู้เจียวมองเขาแวบหนึ่ง “ไยจึงกล่าวเช่นนั้น”
ชายคนนั้นเอ่ย “เขามาถึงด่านนี้ได้ก็ไม่ธรรมดาแล้ว เมื่อครู่โจมตีคนตระกูลหันให้พ่ายแพ้ได้อีก เจ้ารอดูเลย พวกตระกูลใหญ่ต้องเริ่มดึงเขามาเป็นพวกแน่”
กู้เจียว “อ๋อ”
การคัดเลือกทั้งหมดในวันนี้สิ้นสุดลง รอบต่อไปเป็นการควบม้าสามร้อยลี้ ว่ากันว่าจะมีฮ่องเต้เป็นผู้ตั้งโจทย์ รายละเอียดของสถานที่และกฎล้วนต้องรอให้ถึงวันคัดเลือกจึงจะประกาศ
หลังออกมาจากกระโจมแล้ว กู้เจียวก็ไปหาราชม้าเฮยเฟิงที่คอก
กู้ฉังชิงตามรั้งท้าย “การคัดเลือกรอบสุดท้ายจะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า สามวันนี้ให้ราชาม้าเฮยเฟิงฟื้นกำลังให้ดี”
“ข้ารู้” กู้เจียวขานรับ
กู้ฉังชิงเอ่ย “รอบต่อไปไม่ได้อยู่ในค่ายทหารแล้ว ทุกอย่างต้องระมัดระวังให้มาก หากตระกูลหันมีแผน ข้าจะคิดหาวิธีแจ้งข่าวเจ้า”
กู้เจียวพยักหน้า “เจ้าเองก็ต้องระวังตัวด้วย ฉีเซวียนกับหันเย่เคยเห็นหน้าเจ้า เจ้าอย่าได้เจอเข้ากับพวกเขาเด็ดขาด”
กู้ฉังชิงที่ได้รับความห่วงใยจากน้องสาวก็รู้สึกอิ่มเอมใจนัก เขาพยักหน้าอย่างคล้อยตาม “ได้”
ในระหว่างที่สนทนากัน ทั้งคู่ก็มาถึงคอกม้าของราชาม้าเฮยเฟิงแล้ว
กู้เจียวจงใจเลือกคอกม้าที่ห่างไกลที่สุด โดยปกติไม่มีใครผ่านไปผ่านมา สุดท้ายเมื่อทั้งสองมาถึง ก็พบว่าในคอกมีองครักษ์นอนสลบเหมือดอยู่สองนาย
องครักษ์สวมชุดเกราะของค่ายทหารม้าตระกูลหัน คนหนึ่งจมูกคดปากเบี้ยว อีกคนจมูกเขียวหน้าบวม ล้วนบาดเจ็บสาหัสกันมาก
ราชาม้าเฮยเฟิงยืนอยู่กับที่อย่างองอาจ
กู้เจียวตรวจหญ้าของราชาม้าเฮยเฟิง “มีพิษ สองคนนี้มาวางยาพิษราชาม้าเฮยเฟิง”
เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าราชาม้าเฮยเฟิงจะเก่งกาจเพียงนี้ วางยาพิษไม่สำเร็จ ยังโดนม้าดีดสลบอีก
กู้เจียวลูบหัวมันอย่างปลาบปลื้ม “ลูกพี่องอาจยิ่งนัก ลูกพี่สุดยอดไปเลย!”
กู้ฉังชิงก็มองราชาม้าเฮยเฟิงด้วยความปลาบปลื้มเช่นกัน “ช่างเป็นม้าพันธุ์ดีจริงๆ ”
…
กู้ฉังชิงรั้งอยู่นานไม่ได้ หลังจากกำชับสองสามคำก็ไปรวมตัวกันกับพวกลูกหลานตระกูลหัน
ส่วนกู้เจียวจูงราชาม้าเฮยเฟิงออกมาจากค่ายทหาร
รถม้าของเซียวเหิงจอดอยู่ตรงทางแยกที่อยู่ไม่ไกล คิดว่าเขาคงอุดอู้อยู่ในรถม้าทั้งวันแล้ว กู้เจียวจึงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
เมื่อกู้เจียวมาถึงทางแยก สิ่งที่ชวนปวดหัวก็เกิดขึ้น
สองฝั่งซ้ายขวาต่างมีรถม้าจอดอยู่ คันหนึ่งเป็นของเซียวเหิง อีกคันเป็นของจวนกั๋วกง
ม่านของรถม้าทั้งสองคันแทบจะถูกเลิกขึ้นพร้อมกัน เซียวเหิงกับอันกั๋วกงโผล่หน้าออกมาพร้อมเพรียง
ทั้งคู่มองกู้เจียวด้วยแววตารอคอย ต่างฝ่ายต่างรอให้กู้เจียวขึ้นรถม้า
กู้เจียว “…”
กู้เจียวกัดฟันเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ารถม้าทั้งสองคัน
นายท่านรองจิ่งเยี่ยมหน้าออกมาจากหน้าต่าง “นี่ ลิ่วหลัง ไยเจ้ายังไม่ขึ้นรถอีกเล่า”
ดวงตากู้เจียวกลอกลิ้งไปมา เอ่ยแนะนำด้วยน้ำเสียงเร็วปร๋อ “นี่คืออันกั๋วกง นี่คือนายท่านรองจิ่ง นี่คือ…สหายข้า”
สี่ตาพากันมองกันและกันอย่างพร้อมเพรียง
อันกั๋วกงขยับศีรษะไม่ได้ นายท่านรองจิ่งจึงใช้ฝ่ามือใหญ่ถ่างตาตัวเอง เขาอยากดูในส่วนของพี่ใหญ่เผื่อด้วย!
กู้เจียวยกเท้าขึ้นไปทางฝั่งเซียวเหิงอย่างเงียบๆ
ไอสังหารสายหนึ่งส่งมาจากร่างอันกั๋วกง
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ เบนฝีเท้าไปทางอันกั๋วกง
ไอสังหารของเซียวเหิงพลันพวยพุ่ง
ใจดวงน้อยของกู้เจียวไม่อาจสงบได้ สวมบทนกน้อยในกรงทองนี่ช่างลำบากเสียใจเสียจริง
สุดท้ายนายท่านรองจิ่งก็ลงจากรถม้ามาหยุดริมหน้าต่างของเซียวเหิง พินิจมองเขาอย่างละเอียดอยู่ครู่ใหญ่
จู่ๆ ก็ตบศีรษะเขาฉาดหนึ่ง “เจ้าหนูหน้าเหม็นนี่! เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย! ทำอะไรน่ะ จำรถม้าของจวนกั๋วกงไม่ได้รึ ไม่รู้จักมาทักทายกันเลย ข้าก็นึกว่าผู้ใดมันมาคอยปักหลักอยู่นี่ทั้งวัน!”
เซียวเหิง พระนัดดาองค์โตคนปัจจุบันที่โดนฟาดหัวจนมึน “…”
เซวียนหยวนฮองเฮาเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเซวียนหยวนลี่ องค์หญิงเป็นลูกพี่ลูกน้องกันกับเซวียนหยวนจื่อ ตามลำดับอาวุโสแล้ว เซวียนหยวนจื่อเป็นท่านน้าของพระนัดดา ส่วนอันกั๋วกงเป็นน้าเขยของพระนัดดา
ซ่างกวานชิ่งกลับเมืองหลวงคราใดล้วนมาพักที่เรือนเล็กสองสามวัน หลังจากที่อันกั๋วกงกลายเป็นผัก เขาก็แอบไปเยี่ยมที่จวนอยู่บ้าง
คนนอกไม่รู้ว่าซ่างกวานชิ่งกับจวนกั๋วกงไปมาหาสู่กันแบบส่วนตัว นายท่านรองจิ่งกลับรู้
ดูจากฝ่ามืออรหันต์ของนายท่านรองจิ่งแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างซ่างกวานชิ่งกับน้าเขยและนายท่านรองจิ่งสนิทสนมกันอย่างมากทีเดียว
นายท่านร้องจิ่งเห็นเซียวเหิงท่าทางเงียบขรึมไม่พูดไม่จา ก็เอ่ยอย่างเหลือจะเชื่อ “เป็นอะไรไป เพิ่งผ่านไปปีเดียวเอง จำข้าไม่ได้แล้วรึ”
จะเล่นนอกบทไม่ได้…
เซียวเหิงแย้มยิ้ม “…จำได้ขอรับ”
นายท่านรองจิ่งเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วไยไม่ทักทายกัน”
ข้าไหนเลยจะรู้ว่าซ่างกวานชิ่งเรียกท่านว่าอะไร
อันกั๋วกงเป็นน้าเขย แต่ท่านไม่ใช่เสียหน่อย
นายท่านรองจิ่งเอ่ย “ข้าก็นึกว่าเจ้าไม่รู้จักแม้แต่น้าเขยเล็กอย่างข้าเสียแล้ว”
ช้าก่อน ไม่ใช่ว่าควรเรียกท่านอาจิ่งอย่างมีมารยาทหรอกหรือ
เหตุใดท่านจึงกลายมาเป็นท่านน้าเขยเล็กของข้าได้เล่า
สนิทสนมกันเพียงนี้เชียวรึ
นายท่านรองจิ่งที่แม้แต่เซวียนหยวนเฉิงยังให้กลายเป็นพี่เขยใหญ่ได้ เป็นน้าเขยเล็กแค่นี้คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้วล่ะ!
เขาไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนนอกเลยสักนิด
นึกบางอย่างขึ้นมาได้ นายท่านรองจิ่งจึงมองกู้เจียว แล้วมองเซียวเหิง ก่อนถาม “จริงสิ เมื่อครู่นี้ลิ่วหลังบอกว่าเจ้าเป็นสหายเขา เจ้ารู้จักกับลิ่วหลังรึนี่”
“ข้า…ใช่ขอรับ พวกเรารู้จักกัน ท่านแม่ข้าบาดเจ็บสาหัส เป็นลิ่วหลังที่รักษาท่านแม่ข้า ยามนี้ลิ่วหลังก็พักอยู่ที่ตำหนักฉีหลิน สะดวกในการรักษามารดาข้าต่อ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” นายท่านรองจิ่งกระจ่างแจ้งทันใด ไม่ได้สงสัยข้อเท็จจริงของเรื่องราวอีก ประการแรก เรื่องเจ้าหญิงได้รับบาดเจ็บเขาก็ได้ยินมานานแล้ว ประการที่สอง ฝีมือการแพทย์ของเซียวลิ่วหลังเขาก็ได้ประจักษ์มาแล้ว
“อาการท่านแม่เจ้าเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” นายท่านรองจิ่งถาม
“ผ่าตัดสำเร็จดี พ้นขีดอันตรายแล้ว ยามนี้กำลังพักรักษาตัวที่ตำหนักกั๋วซือขอรับ” เซียวเหิงบอก
นายท่านรองจิ่งลอบพรูลมหายใจโล่งอก “เช่นนั้นก็ดี”
แม้ว่าทางการจะป่าวประกาศกับภายนอกว่าซ่างกวานเยี่ยนพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ความจริงที่ได้รู้จากปากเซียวเหิง ทำให้วางใจได้ลงอย่างแท้จริง
“เจ้าเสียงเปลี่ยนไปหน่อยนะ” นายท่านรองจิ่งเอ่ย “ไพเราะกว่าเมื่อก่อนอีก ข้าก็บอกแล้ว พอบุรุษหมดช่วงเสียงเปลี่ยนแล้ว ก็ไม่ใช่ลำคอห่านตัวผู้อีกต่อไป!”
เซียวเหิงตกใจเขาจนเหงื่อเย็นผุดซึม
เซียวเหิงยิ้มจาง “ท่านน้าเขยกล่าวได้ถูกต้อง”
“ไป ไป ไป ขึ้นรถม้าคุยกัน! ท่านน้าเขยใหญ่เจ้าก็อยู่!”
นายท่านรองจิ่งลากเซียวเหิงขึ้นมาบนรถม้าของจวนกั๋วกง กู้เจียวก็โดนลากขึ้นมาด้วย
เซียวเหิงลอบมองกู้เจียวแวบหนึ่ง
กู้เจียวชำเลืองมองท่านกั๋วกง ก่อนจะส่งสายตาให้
สายตาอันกั๋วกงตกลงบนใบหน้าหล่อเหลาของเซียวเหิง
เซียวเหิงลูบไฝรองน้ำตาที่แต้มไว้ใต้ตาขวาโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะยิ้มจางทักทาย “ท่านน้าเขยใหญ่”
สายตาอันกั๋วกงขยับไหว ปลายนิ้วจุ่มน้ำ ก่อนเขียนบนที่พักแขนว่า ‘ข้าอยากกินผลไม้ พวกเจ้าสองคนไปเด็ดมาที’
“พวกเราสองคน…” นายท่านรองจิ่งนับคนในรถ พี่ใหญ่นั่งรถเข็น ซ่างกวานชิ่งป่วยอยู่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรไอ้คำว่า ‘พวกเจ้าสองคน’ ล้วนหมายถึงเขากับเซียวลิ่วหลัง
น้อยครั้งนักที่เขาจะเข้าใจพี่ใหญ่ เอ่ยกับกู้เจียว “ลิ่วหลัง ข้าไปเด็ดผลไม้ทางนั้นนะ”
“อ้อ” กู้เจียวลุกขึ้นมองเซียวเหิงแวบหนึ่ง
เซียวเหิงพยักหน้าให้นางเล็กน้อย
กู้เจียวกับนายท่านรองจิ่งลงจากรถม้าไป
ท่านกั๋วกงเห็นแววตาของทั้งคู่หมดแล้ว
หลังจากฝีเท้าออกไปไกล ท่านกั๋วกงก็เขียนพนักเก้าอี้ว่า ‘เจ้าไม่ใช่ซ่างกวานชิ่ง’
เซียวเหิงเกร็งปลายนิ้ว
ท่านกั๋วกงเขียนต่ออีก ‘เจ้าเป็นอะไรกับยัยหนู’
เขาใช้คำว่ายัยหนู ไม่ใช่เจ้าหนู
เซียวเหิงไม่คิดว่าผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเซิ่งตูที่มีคัมภีร์เต็มสมองจะเขียนอักษรผิด
เป็นไปได้อย่างหนึ่งว่าเขารู้แล้วว่ากู้เจียวเป็นผู้หญิง
เขารู้ได้อย่างไร รู้ด้วยตัวเองรึ หรือว่ากู้เจียวเป็นคนบอกกับเขา
ตัวตนที่กู้เจียวคือบุตรบุญธรรมของอันกั๋วกงเข้าร่วมในการคัดเลือกผู้บัญชาการกองทหารม้าเฮยเฟิง กั๋วซือเป็นคนออกหน้า เซียวเหิงไม่ได้คิดอะไรมาก
แต่ยามนี้ดูๆ แล้ว ความห่วงใยและเรื่องที่อันกั๋วกงรู้เกี่ยวกับกู้เจียวจะมากกว่าที่คาดคิดไว้
อันกั๋วกงเขียนต่ออีก ‘เจ้าเป็นอะไรกับยัยหนู’
‘ยัยหนู’ หนที่สองแล้ว
เซียวเหิงมั่นใจยิ่งแล้วว่าอันกั๋วกงรู้ตัวตนสตรีของกู้เจียวแล้ว
หลังจากที่อันกั๋วกงรู้ว่าเขาไม่ใช่เซียวชิ่ง สิ่งที่ถามหาใช่ ‘เจ้าเป็นใคร’ ‘เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นซ่างกวานชิ่ง’ แต่เป็น ‘เจ้าเป็นอะไรกับกู้เจียว’
ด้วยเหตุนี้จึงมองออกได้ว่ากู้เจียวมีตำแหน่งใดในใจของอันกั๋วกงแล้ว
เหตุใดอันกั๋วกงจึงได้ใส่ใจกู้เจียวเช่นนี้
เพราะกู้เจียวเคยรักษาให้อันกั๋วกงอยู่สองหนหรือ
ความสงสัยมากมายผุดวาบขึ้นในหัวเซียวเหิง ทว่ามีจุดหนึ่งที่เขาพอจะมั่นใจได้ อันกั๋วกงไม่มีทางทำร้ายกู้เจียว
“ข้าคือสามีของนางขอรับ” เซียวเหิงบอกไปตามความจริง
อันกั๋วกงสีหน้าพลันทะมึนขึ้นมาทันใด
[1] กาไหนน้ำไม่เดือด หยิบกานั้น เปรียบเปรยว่าทำเรื่องที่ไม่ควรทำ หรือพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด