สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 761 ผู้ช่วยตัวน้อย
บทที่ 761 ผู้ช่วยตัวน้อย
กู้เจียวกับนายท่านรองจิ่งเด็ดผลไม้เสร็จก็กลับมา นายท่านรองจิ่งเลิกม่านขึ้นเดินเข้าด้านใน เพียงก้าวเดียวก็ถอยกลับออกมา
“ไอสังหารรุนแรงยิ่งนัก!”
เขากอดผลไม้ไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ข้างกายกู้เจียว
“ไอสังหารของผู้ใดรึ” กู้เจียวถาม
“พี่ใหญ่ข้าน่ะสิ!” ใต้เท้ารองจิ่งเอ่ย “รู้จักพี่ใหญ่ข้ามาตั้งนานหลายปี เป็นครั้งแรกเลยที่สัมผัสถึงไอสังหารรุนแรงเพียงนี้ของเขา!”
เกินจริงไปหน่อยกระมัง
เพียงแต่ว่า เมื่อครู่นี้อันกั๋วกงแยกนางกับใต้เท้ารองจิ่งออกไปก็เห็นได้ชัดแล้วว่าอยากจะสนทนากับเซียวเหิงเพียงลำพัง
คงไม่ใช่ว่าอันกั๋วกงรู้แล้วว่าเซียวเหิงไม่ใช่ซ่างกวานชิ่งหรอกนะ
กู้เจียวรีบขึ้นมาบนรถม้า
เซียวเหิงหันมามองนาง กำลังจะใช้แววตาฟ้องนาง
สิ่งที่ชวนฉงนก็คือ เขาทำท่าราวกับว่า ‘พ่อบุญธรรมเจ้ารังแกข้า ข้าได้รับความไม่เป็นธรรมยิ่ง’ ไอสังหารของอันกั๋วกงก็หายสิ้นไป
อันกั๋วกงทอดสายตาอ่อนโยนดุจลมวสันต์มองใบหน้าเซียวเหิง หากมิใช่เพราะกล้ามเนื้อบนใบหน้ายังแข็งอยู่ เขาคงแย้มยิ้มให้บางด้วย
ท่าทางเปี่ยมเมตตาสุดจะเปรียบ
…ลูกศิษย์จี้จิ่วอาวุโสปรมาจารย์ด้านการละครเจอคู่แข่งเข้าเสียแล้ว
“นี่ก็ไม่เลวมิใช่หรือ” กู้เจียวเอ่ย
นายท่านรองจิ่งที่ขึ้นรถตามหลังกู้เจียวมาสีหน้าเหลือจะเชื่อ “เอ่อ…ก็ ก็เหมือนจะไม่เลวนะ”
อันกั๋วกงเขียนบนที่พักแขน “พวกเราคุยกันสนุกเชียวล่ะ”
เซียวเหิงคิดใจใน อย่างนั้นหรือ เมื่อครู่เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าท่านจะฆ่าข้าให้ได้เลยเล่า
อันกั๋วกงเขียนต่ออีก ‘เขาเป็นชายหนุ่มที่ไม่เลวทีเดียว ข้าชอบเขามาก’
กู้เจียวรู้สึกดีต่ออันกั๋วกงเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ
เซียวเหิงไม่ยอมน้อยหน้า รีบเอ่ย “อันกั๋วกงวิชาความรู้กว้างขวาง ทั้งดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ รอบรู้เหตุการณ์ในสมัยโบราณและเหตุการณ์ในสมัยปัจจุบัน ช่างเป็นผู้มีความสามารถและมีพรสวรรค์ ภายหน้าข้าจะมาขอคำชี้แนะกับอันกั๋วกงบ่อยๆ ลิ่วหลัง ภายหน้าเจ้ามาเยี่ยมอันกั๋วกงก็พาข้ามาด้วยนะ”
กู้เจียวพยักหน้า มาเยี่ยมอันกั๋วกงด้วยกันกับสามี นางมีความสุขมาก!
อันกั๋วกงโมโหจนฝืนแววตาตัวเองไม่ไหว
นายท่านรองจิ่งที่เป็นคนนอก “เรียกอะไรอันกั๋วกงเล่า เรียกท่านน้าเขยสิ!”
เซียวเหิงทอดมองอันกั๋วกง รอยยิ้มแย้มกว้าง “ท่านน้าเขย!”
อันกั๋วกงแอบเมินหน้าหนีอยู่ในใจ เฮอะ!
เมื่อคืนนี้กู้เจียวรับปากเสี่ยวจิ้งคงว่าวันนี้จะไปรับเขาหลังเลิกเรียน หลังจากนั่งอยู่บนรถม้าอันกั๋วกงสักพัก นางก็จากไปด้วยกันกับเซียวเหิง
“พี่ใหญ่ พวกเราก็กลับกันเถิดขอรับ” นายท่านรองจิ่งเอ่ย
จู่ๆ อันกั๋วกงก็เขียนบนที่พักแขนว่า ‘ข้า จะ ออก กำ ลัง’
“เอ๋” นายท่านรองจิ่งเบิกตาโต นึกว่าตัวเองตาฝาด “ไม่กระมังพี่ใหญ่ สมองส่วนไหนท่านผิดพลาดกันเล่านี่ หมอพูดจนปากเปียกปากแฉะให้ท่านออกกำลังกาย ออกกำลังกาย ท่านไม่ยอมท่าเดียว เหตุใดจึงคิดเปลี่ยนใจเสียได้”
อันกั๋วกงคิดในใจ ข้าจะลุกขึ้นยืน ชกเจ้าเด็กนั่น!
…
กู้เจียวกับเซียวเหิงส่งราชาม้าเฮยเฟิงกลับตำหนักกั๋วซือก่อน จากนั้นจึงนั่งรถม้าไปยังสำนักบัณฑิตหลิงโป
เซียวเหิงเอ่ย “อันกั๋วกงรู้แล้วว่าข้าไม่ใช่ซ่างกวานชิ่ง”
“ไม่เป็นไรหรอก เขาไม่มีทางแพร่งพรายออกไป” กู้เจียวเอ่ย ยามไร้คนนอก กู้เจียวพูดจาล้วนใช้เสียงสตรีของตัวเองดังเดิม
เซียวเหิงมองกู้เจียวอย่างฉงน “เจ้าไว้ใจเขาเพียงนี้เชียวรึ”
“อืม” กู้เจียวยอมรับโดยไม่ลังเล นางไว้ใจอันกั๋วกงมากทีเดียว ตั้งแต่เจอเขาคราแรกก็สัมผัสได้ไม่เช่นนั้นนางคงไม่ไปมุดผ้าห่มคนแปลกหน้าหรอก
เซียวเหิงขยับปากต่อ “เขาก็รู้ว่าเจ้าเป็นสตรี”
กู้เจียวลูบคาง “รู้จริงๆ ด้วยสินะ”
เซียวเหิงนิ่งอึ้ง “เจ้ารู้หรือว่าเขารู้”
กู้เจียวครุ่นคิด “ข้าก็แค่เคยเดาๆ ดู ตอนที่ข้าเพิ่งมาที่เซิ่งตูเคยจับพลัดจับผลูเข้าไปในจวนกั๋วกง ตอนนั้นอันกั๋วกงยังไม่ฟื้น ข้านึกว่าเขาไม่มีสติรู้ตัว ยามพูดจาจึงใช้น้ำเสียงเดิมของตัวเอง ต่อมาเขาโดนลอบสังหาร ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ตอนข้าทำแผลให้เขาพบว่าเหมือนเขาจะมีสติแจ่มชัดดี เพียงแต่ทำอย่างไรเขาก็ลืมตาไม่ได้ ข้าจึงคร้านแสร้งดัดเสียงเด็กหนุ่ม”
“เขาดีต่อเจ้าเช่นนี้เพราะเจ้าเคยช่วยเขาไว้หรือ” เซียวเหิงคล้ายกำลังหาเหตุผลที่ท่านกั๋วกงลำเอียงเข้าข้างกู้เจียว
กู้เจียวส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ต่อมาข้าก็ไปที่จวนกั๋วกงอย่างโจ่งแจ้งอีกสองสามหน เสียงของข้าไม่เหมือนเก่า ข้านึกว่าเขาจะจำข้าไม่ได้ ยามนี้ดูแล้ว เขารู้มาตลอดว่าเป็นข้า”
นางก็ไม่รู้ว่าเขาจำได้อย่างไร
ราวกับว่า…ขอแค่เจ้าเข้าใกล้ข้า ข้าก็ถูกชะตาเจ้า และรู้ว่าเป็นเจ้า
รถม้ามาถึงสำนักบัณฑิตหลิงโปแล้ว
เจ้าหนูน้อยทั้งสองเพิ่งจะออกมาจากชั้นเรียนเด็กอัจฉริยะ ยืนอยู่หน้าประตูอย่างน่าเอ็นดู
จางเต๋อเฉวียนก็มารับองค์หญิงน้อยกลับวังเช่นกัน ฮ่องเต้ทรงห่วงหามาทั้งวันแล้ว เป็นกังวลยิ่งว่าองค์หญิงน้อยกลับมาเรียนที่สำนักบัณฑิตเร็วเพียงนี้จะมีตรงไหนไม่คุ้นชินหรือไม่
ดวงเนตรของพระองค์เป็นประกายพลางเดินไปหาองค์หญิงน้อย
ไหนเลยจะรู้องค์หญิงน้อยกลับตรงไปขึ้นรถม้าของตำหนักกั๋วซือด้วยกันกับเสี่ยวจิ้งคง
“คารวะท่านอาจารย์ หลานชายน้อย ลาก่อนจางกงกง!”
จางเต๋อเฉวียน “…”
ณ เรือนไผ่ม่วง กั๋วซือนั่งจิบชาอยู่กับฮ่องเต้
ฮ่องเต้นั่งจนขาชา จึงลุกขึ้นเดินไปเดินมาในห้อง
เดิมทีฮ่องเต้ตรวจฎีกาในห้องทรงอักษร แต่เสด็จมาที่ตำหนักกั๋วซือโดยไม่ได้ตั้งใจ องค์หญิงน้อยก็ไม่ทราบว่าพระองค์อยู่ที่นี่ จางเต๋อเฉวียนก็ไม่รู้
แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ
ฮ่องเต้มายังห้องหนังสือของกั๋วซือ
ข้าวของของจิ่งยินยินภายในห้องหนังสือถูกกั๋วซือเก็บไป เหลือเพียงตำราและม้วนภาพจำนวนหนึ่งเท่านั้น
ฮ่องเต้ไม่มีทางลงมือรื้อค้นม้วนภาพของใต้เท้ากั๋วซืออยู่แล้ว
พระองค์เพียงมาหยุดอยู่หน้าชั้นวางของ ทอดพระเนตรรูปปั้นดินเหนียวของสามคนที่นั่งอยู่ในเรือนเล็ก
ตรงกลางของทั้งสามคนนั้นเป็นโต๊ะเตี้ยตัวยาว
หนึ่งในนั้นนั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง อีกสองคนนั่งอยู่อีกฝั่ง
“เจ้ายังเก็บไว้” ฮ่องเต้ตรัส
ใต้เท้ากั๋วซือหยุดฝีเท้าลงข้างกายฮ่องเต้ จ้องมองรูปปั้นคนขนาดเล็กทั้งสามนิ่งๆ พลางเอ่ย “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเก็บเอาไว้ตลอดมา หลายปีมาแล้วก็ยังตัดใจทิ้งไม่ลง”
ฮ่องเต้ตรัส “พวกเจ้าสองคนมักจะนั่งด้วยกัน ทำเอาเสียเราไม่เข้าพวก”
ใต้เท้ากั๋วซือทูล “ฝ่าบาทเป็นกษัตริย์ กระหม่อมมิบังอาจ”
ฮ่องเต้ไม่ได้สนทนาเรื่องนี้ต่อ พระองค์ลูบต้นท้อบนรูปปั้นดินเหนียวพลางตรัส “ผลการคัดเลือกครานี้ออกมาแล้ว มีหกคนเข้ารอบสุดท้าย เจ้าเดาสิว่ามีผู้ใดบ้าง”
ใต้เท้ากั๋วซือ “หันฉือ เฟิงอู๋หมิง มู่ชิงเฉิน เซียวลิ่วหลัง จวินซิวหัน”
ฮ่องเต้ดึงหัตถ์กลับ “อืม ห้าคนนี้เดาถูกแล้ว เหลืออีกคนหนึ่ง”
ใต้เท้ากั๋วซือ “อีกคนแม้ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด แต่ก็น่าจะเป็นคนตระกูลหัน”
ฮ่องเต้ “เจ้าเสี่ยงทายดูแล้วรึ”
ใต้เท้ากั๋วซือ “มิได้พ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่วิเคราะห์จากฝีมือเท่านั้น”
ฮ่องเต้ “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าผู้ใดสามารถผ่านการทดสอบรอบสุดท้ายไปได้”
ใต้เท้ากั๋วซือ “ยากจะบอกได้”
ฮ่องเต้มองเขาอย่างแปลกพระทัย “เพราะเหตุใด”
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ย “แต่ละคนล้วนมีข้อดีเป็นของตัวเอง กระหม่อมไม่ทราบกฎเกณฑ์การคัดเลือกรอบสุดท้าย ไม่อาจสรุปได้”
ฮ่องเต้หยุดอยู่ข้างหน้าต่าง ทอดพระเนตรป่าไผ่ม่วงสุดลูกหูลูกตา พลางตรัสเสียงนิ่ง “เฟิงอู๋หมิงกับจวินซิวหันมาจากสำนักบัณฑิตเจียหนาน เฟิงอู๋หมิงแม้จะออกบวชแล้ว แต่กลยุทธ์การรบเหล่านั้นล้วนได้ร่ำเรียนก่อนจะออกบวช พวกเขาสำนักบัณฑิตเจียหนานให้ความสำคัญกับการเรียนยุทธวิธีศึกมาก”
สีหน้าใต้เท้ากั๋วซือไร้การเปลี่ยนแปลงใดๆ “สำนักบัณฑิตเจียหนานมีศิษย์ได้เป็นจอหงวนสายบุ๋นหกคน จอหงวนสายบู๊อีกสี่คน สำนักบัณฑิตเจียหนานไม่เพียงบ่มเพาะนักปราชญ์และขุนพลยอดเยี่ยมให้แก่แคว้นเยี่ยน ทั้งยังมอบเสาหลักทางวิชาการเพิ่มให้กับราชสำนักอีกด้วย”
ฮ่องเต้แย้มยิ้ม “เราก็ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าเช่นนี้ไม่ดี เซียวลิ่วหลังอะไรนั่นเหตุใดจึงกลายมาเป็นบุตรบุญธรรมของอันกั๋วกงเสียได้ เราได้ยินว่าเจ้าเป็นคนกลางผูกสะพานให้ กั๋วซือทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
ใต้เท้ากั๋วซือทูล “มิได้มีหมายความเป็นอื่นใดพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่รู้สึกว่าเขาเป็นเหล็กที่ตีได้”
“เหตุใดจึงเป็นจวนกั๋วกง” ฮ่องเต้ถามอย่างสงสัย
ใต้เท้ากั๋วซือสบสายพระเนตรอันพินิจพิเคราะห์ของฮ่องเต้ พลางทูลอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เขามีคุณูปการในการรักษาองค์หญิง ซ้ำยังช่วยองค์หญิงน้อยกลับมาได้ เป็นหนามยอกอกของบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งหลาย นอกจากจวนอันกั๋วกงแล้ว กระหม่อมก็คิดไม่ออกว่ายังมีผู้ใดกล้ารับเผือกร้อนหัวนี้”
ฮ่องเต้เบนสายพระเนตรหนี ทอดพระเนตรชมป่าไผ่ม่วงต่อ “อาการอันกั๋วกงเป็นอย่างไรบ้าง”
ใต้เท้ากั๋วซือทูลเสียงราบเรียบ “ไม่ค่อยจะดีนักพ่ะย่ะค่ะ ปากพูดไม่ได้ ขาขยับไม่ได้ ชั่วชีวิตนี้คงเป็นเช่นนี้แล้ว ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลพระทัย”
ฮ่องเต้แค่นหัวเราะ “เหอะ แค่อันกั๋วกงคนหนึ่งจะกวนใจเราได้อย่างไร!”
ใต้เท้ากั๋วกงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบงัน
จู่ๆ ฮ่องเต้ก็แย้มยิ้ม ใต้เท้ากั๋วซือมองพระองค์ด้วยความฉงน ฮ่องเต้ทูลอย่างโล่งพระทัย “เรารู้แล้วว่าด่านสุดท้ายจะทดสอบอย่างไร เอาพู่กันมา!”
…
องค์หญิงน้อยมีค่ำคืนอันแสนสำราญและสนุกสนานที่ตำหนักฉีหลิน ลืมเรื่องที่ตัวเองต้องกลับวังไปจนสิ้น
ครั้นฮ่องเต้เสด็จผ่านตำหนักฉีหลินเห็นจางเต๋อเฉวียนยืนเป็นเสาอยู่ด้านนอก พระองค์ก็มุ่นคิ้ว “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ให้เจ้าไปรับองค์หญิงน้อยมิใช่หรือ”
จางเต๋อเฉวียนชี้หน้าประตูตำหนักฉีหลินหน้าแหยๆ
เจ้าหนูน้อยทั้งสองกำลังนั่งยองๆ อยู่บนพื้นก่อกองทรายอย่างไม่สนโลก
ฮ่องเต้ “…”
ฮ่องเต้คว้าตัวองค์หญิงน้อยมาขึ้นรถม้า “ให้เจ้าอยู่ที่วังแต่โดยดีมิใช่หรือ ไยจึงวิ่งไปทั่วเล่า”
องค์หญิงน้อยถูนิ้วกันไปมา “ข้า ข้า ข้ามาหาท่านลุงฝ่าบาทต่างหาก”
เช่นนั้นเจ้าก็มาหาสิ หากข้าไม่มาจับเจ้า เจ้าคงเล่นกับเจ้าหนูนั่นจนฟ้าแจ้งเลยเชื่อหรือไม่
องค์หญิงน้อยกะพริบตาปริบๆ อย่างประหม่า ขยับไปใกล้ข้างกายฮ่องเต้ ก่อนเอ่ยชมป้อยอโดยไม่สนความเป็นจริงใดๆ “วันนี้ท่านลุงฝ่าบาทหล่อมากๆ ”
ฮ่องเต้ “เฮอะ!”
องค์หญิงน้อยพะเน้าพะนอพระองค์ต่อ แสดงท่าไม้ตายอันน่ารักน่าเอ็นดูอย่างไร้เทียมทาน “ท่านลุงข้าชอบท่านที่สุดเลย”
ฮ่องเต้ “เฮอะ!”
จู่ๆ คนบางคนที่ชอบท่านลุงที่สุดก็ถูกดึงดูดด้วยกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ สองสามอันในพระหัตถ์ของฮ่องเต้ “เอ๊ะ นี่อะไรหรือ”
กระบอกไม้ไผ่งามเสียยิ่งกว่าท่านลุงอีก
ฮ่องเต้ “…”
แม่หนูน้อยกะพริบตากลมโตปริบๆ ปากก็อ้ากว้างหวอ น้ำลายแทบจะหกอยู่รอมร่อ
นางนึกถึงข้าวกระบอกไม้ไผ่มื้อเย็นวันนี้ ท่านอาจารย์ลงมือทำเอง ใส่ผลไม้เชื่อมกับถั่วแดง หอมฉุยเชียวล่ะ เหนียวหนึบด้วย ทั้งอร่อยและไม่เลี่ยนเลย
ฮ่องเต้มองน้ำลายนางที่หกไปสามบ้านแปดบ้าน มุมปากก็กระตุกยิกๆ “เป็นข้อสอบ กินไม่ได้”
แม่หนูน้อยเว้นระยะห่างกับข้อสอบทันที
นางยืดร่างน้อยๆ ขึ้นตั้งตรง เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ข้าไม่อยากสอบ!”
ฮ่องเต้ทั้งโมโหทั้งขัน “ไม่ได้จะให้เจ้า ให้พวกท่านอาจารย์ของเจ้าต่างหาก”
หกคน หกหัวข้อ ภารกิจของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ซ้ำระหว่างทั้งหกคนก็ไม่มีใครรู้ใครด้วย จึงส่งผลให้เกิดความแตกต่างของข้อมูลระหว่างกัน
และพวกเขาจะไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองพ่ายแพ้ได้อย่างไรด้วย
นี่ไม่ใช่การขี่ม้าระยะสามร้อยลี้ธรรมดาๆ แต่เป็นการแข่งขันเชิงกลยุทธ์
ผู้ที่ถึงเส้นชัยก่อนอาจไม่ใช่ผู้ชนะเสมอไป ผู้ใดทำความเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดได้เป็นคนแรกต่างหากที่จะผ่านด่านนี้
น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดถึงขั้นนี้
พวกเขาเอาแต่ควบทะยานอย่างต่อเนื่อง เพื่อมาถึงเส้นชัยโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น
ฮ่องเต้รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้มีความสามารถที่แท้จริง นึกไม่ถึงว่าจะคิดการทดสอบที่มีเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ออก
ข้อสอบของท่านอาจารย์อย่างนั้นหรือ องค์หญิงน้อยถูนิ้วกันไปมา ดวงตาขยับไหว
นางเอ่ยด้วยเสียงเด็กเล็ก “ท่านลุง ข้าอยากอึอึ!”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วมุ่น “ตอนนี้รึ” ออกจากตำหนักกั๋วซือมาแล้วด้วย
“ทนไม่ไหวแล้ว!” นางกลั้นหายใจอย่างเอาเป็นเอาตาย ใบหน้าดวงน้อยแดงก่ำ
ฮ่องเต้ตรัส “เจ้าอย่าดื้อ ตั้งใจโป้ปดเพื่อจะได้เล่นละสิ”
องค์หญิงน้อยกลายเป็นไก่ระเบิดในชั่วพริบตา “ข้าไม่ได้แกล้ง! ข้าไม่ได้ทำเพื่อเล่นนะ! ท่านลุงใส่ร้ายข้าแล้ว! ข้าเสียใจมาก!”
ฮ่องเต้นิ่งอึ้ง แม่หนูน้อยท่าทางน่าสงสารยิ่ง ราวกับพระองค์ใส่ความนางเข้าจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น
ฮ่องเต้กระแอมในลำคอ ตรัสกับจางเต๋อเฉวียน “กลับตำหนักกั๋วซือก่อน”
“อ่า… พ่ะย่ะค่ะ” จางเต๋อเฉวียนขานรับ แล้วให้สารถีขับรถกลับมาที่ตำหนักกั๋วซือ
องค์หญิงน้อยเชิดหน้าดวงน้อยขึ้นเอ่ยร้องขอ “ข้าจะไปอึอึที่ตำหนักฉีหลิน”
ฮ่องเต้พระพักตร์ทะมึนทันที “เจ้ายังมีหน้ามาบอกว่าเจ้าไม่อยากเล่นอีก”
องค์หญิงน้อยพยายามต่อสู้ด้วยเหตุผล “ตำหนักฉีหลินมีโถส้วมน้อย”
ฮ่องเต้ “…”
เจ้าช่างเรื่องมากเสียจริง
ฮ่องเต้จอดรถม้าหน้าตำหนักฉีหลิน
“ข้าอึอึนานนะ”
“เจ้าอยากไปเล่นก็บอกมาตรงๆ ”
“ข้าเปล่านะ”
ฮ่องเต้ “จางเต๋อเฉวียน”
องค์หญิงน้อย “ข้าจะให้ท่านลุงไปกับข้า”
ฮ่องเต้วางกระบอกไม้ไผ่น้อยไว้ในช่องลับของรถม้า แล้วจูงมือองค์หญิงน้อยลงจากรถม้า
“ข้าลืมของ ข้าไปเอาเอง!” นางปีนป่ายขึ้นไปบนรถม้า แอบเปิดช่องลับอย่างเงียบๆ ยัดกระบอกไม้ไผ่น้อยเข้ากระเป๋าหนังสือของตัวเอง
ฮ่องเต้ “เจ้าไปเข้าห้องสุขาจะเอากระเป๋าหนังสือไปด้วยเพื่อการใด”
องค์หญิงน้อย “ข้ามีของจะให้จิ้งคง”
“เจ้าแค่อยากเล่นนั่นแหละ” ฮ่องเต้จูงมือนางเข้าไปในตำหนักฉีหลิน “เราจะมองเจ้าไม่ออกรึ”
ห้องสุขาของตำหนักฉีหลินทั้งสะอาดทั้งเป็นระเบียบ ไม่ใช่ห้องสุขาธรรมดาๆ
องค์หญิงน้อยมาหยุดหน้าประตู ยื่นมือข้างหนึ่งไปหาฮ่องเต้ ก่อนทำท่าให้หยุด “เอาละ ข้าเข้าไปเอง ท่านลุงรอข้าอยู่ตรงนี้นะ!”
ฮ่องเต้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
องค์หญิงน้อยเข้าไปในห้องสุขา ลงกลอน เหยียบม้านั่งน้อยปีนไปบนหน้าต่าง ก่อนกระซิบเสียงเบา “เสี่ยวจิ่ว เสี่ยวจิ่ว”
เสี่ยวจิ่วกระพือปีกบินมาหา
องค์หญิงน้อยเทข้อสอบทั้งหกออกมา
“ไอ้หยา มากมายยิ่งนัก อันไหนเป็นของท่านอาจารย์กันละเนี่ย ข้า… ข้าอ่านหนังสือไม่ออกนะ เอา เอาไปหมดเลยแล้วกัน!”